ตอนที่แล้วบทที่ 460 ออกกำลังกายต่อไป
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 462 เหนือกว่าคนอื่น?

บทที่ 461 ยังคงเหมือนเดิม(ตอนฟรี)


บทที่ 461 ยังคงเหมือนเดิม

หลังจากการ ‘ฝึกปฏิบัติ’ เซียวหยูซวนและถงเล่ยก็หลับยาวจนมาถึงเช้าอีกวันก็ยังไม่ตื่น ในช่วงเย็นของเมื่อวานจี้เฟิงไม่ได้ไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับพวกเธออีก เขาเพียงแค่อธิบายให้พวกเธอฟังอย่างละเอียดเกี่ยวกับการกระตุ้นพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในชีวิตประจำวัน

ในขณะที่พวกเธอกำลังนั่งสมาธิเพื่อทำความคุ้นเคยกับพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของตัวเอง จี้เฟิงก็นั่งอยู่ข้างหลังพวกเธอและใช้กระแสไฟฟ้าชีวภาพเพื่อกระตุ้นร่างกายของเซียวหยูซวนและถงเล่ย

แต่การกระตุ้นพลังภายในให้กับเซียวหยูซวนและถงเล่ยนั้นแตกต่างจากตอนจี้เฟิงช่วยเหลือคุณปู่ของเขาอย่างมาก เพราะจุดประสงค์ของทั้งสองนั้นไม่เหมือนกัน

จุดประสงค์ของการรักษาผู้อาวุโสเฒ่าก็เพื่อช่วยฟื้นฟูเซลล์และให้เซลล์ทำหน้าที่รักษาสมดุลภายในร่างกาย เพื่อให้ร่างกายของผู้อาวุโสเฒ่าเป็นไปตามธรรมชาติโดยไม่ต้องถูกรุกรานโดยเชื้อโรคหรือมีอาการบาดเจ็บ

ซึ่งแตกต่างไปกับจุดประสงค์ของเซียวหยูซวนกับถงเล่ย จี้เฟิงต้องการให้กระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของพวกเธอสมดุลกับพลังงานธรรมชาติจากโลกภายนอก และเมื่อทำได้แบบนั้นแล้วร่างกายของพวกเธอจะดูดซับพลังงานจากภายนอกได้โดยอัตโนมัติและทำให้กระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของพวกเธอแข็งแกร่งขึ้น เหมือนอย่างกับที่จี้เฟิงเป็นอยู่ตอนนี้ ซึ่งมันต้องผ่านการฝึกฝนและอดทนมาอย่างหนักหน่วง

อย่างน้อยจี้เฟิงก็ต้องการให้พวกเธอเข้าใจถึงวิธีการควบคุมกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายก่อนที่จะใช้กระแสไฟฟ้าชีวภาพเพื่อรักษาสมดุลในร่างกายหรือดูดซับพลังงานจากภายนอกและค่อยๆเรียนรู้ที่จะพัฒนาได้ด้วยตัวเอง

ดังนั้นตั้งแต่ตอนเย็นจนเกือบจะเช้า จี้เฟิงช่วยหญิงสาวทั้งสองคนได้รู้จักกับพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของพวกเธอให้มากขึ้นและสอนให้พวกเธอได้เรียนรู้ที่จะควบคุมมัน

ในขั้นตอนนี้สิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่วิธีการรับรู้กระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของตัวเอง แต่คือวิธีการที่จะควบคุมมัน เพราะตอนนี้หญิงสาวทั้งสองเพิ่งจะตั้งสมาธิและรู้สึกถึงมันได้เท่านั้น แต่ปัญหาคือพวกเธอไม่รู้ว่าจะควบคุมพลังงานไฟฟ้าชีวภาพอย่างไร

นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ไขได้เพียงชั่วข้ามคืน เพราะจี้เฟิงได้ผ่านกระบวนการควบคุมพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพทั้งหมดด้วยตัวเองมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ว่ามันยากแค่ไหนที่จะควบคุมพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายได้

ด้วยเหตุนี้จี้เฟิงจึงบอกวิธีการควบคุมกระแสไฟฟ้าชีวภาพให้กับแฟนสาวทั้งสองคนของเขา จากนั้นก็ช่วยพวกเธอควบคุมกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของพวกเธอ

……………

เมื่อจี้เฟิงตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เซียวหยูซวนและถงเล่ยก็นอนหลับสนิท นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเธอรู้สึกถึงพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพและได้ลองพยายามที่จะควบคุมพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เรียกได้ว่ามันยากและลำบากมาก เมื่อนึกถึงความพยายามของพวกเธอจี้เฟิงจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มและก้มลงจูบบนหน้าผากของพวกเธอด้วยความรัก

เซียวหยูซวนค่อยๆลืมตาขึ้นและถามอย่างงัวเงียว่า “กี่โมงแล้ว...”

จี้เฟิงพยายามกลั้นหัวเราะและตอบว่า “ท้องฟ้ายังไม่สว่างเลย นอนต่ออีกหน่อยเถอะ!”

“อ่า... โอเค” เซียวหยูซวนพึมพำอย่างสะลึมสะลือก่อนจะเอนตัวลงนอนและหลับไป

จี้เฟิงหัวเราะออกมาทันที หลังจากทดลองฝึกตอนกลางดึก เขาเชื่อว่าตอนนี้มีพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพจำนวนหนึ่งอยู่ในร่างกายของเซียวหยูซวนและถงเล่ย แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นในยามค่ำคืนพวกเธอจึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ และมองเห็นแทบไม่ต่างจากตอนกลางวัน

ด้วยเหตุนี้เซียวหยูซวนจึงคิดว่าตอนนี้เป็นเพราะพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของตัวเองที่ทำให้ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน เธอก็จะมองเหมือนเป็นตอนกลางวันอยู่ดี และเชื่อคำพูดของจี้เฟิงที่บอกว่าตอนนี้ฟ้ายังไม่สว่าง

เมื่อนึกถึงท่าทางประหลาดใจของเซียวหยูซวนกับถงเล่ยเมื่อเย็นวานนี้ จี้เฟิงก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ จี้เฟิงก็เดินเข้าห้องนอน แต่ก็พบว่าในเวลานี้เซียวหยูซวนและถงเล่ยลุกขึ้นจากเตียงแล้ว ดวงตาคู่สวยของพวกเธอยังคงปรือจากอาการง่วงนอน

เมื่อเห็นจี้เฟิงเดินเข้ามา ใบหน้าอันงดงามของทั้งสองสาวก็เผยรอยยิ้มกว้างออกมาทันที

“จี้เฟิง! พวกเราสามารถมองเห็นได้ชัดมากเลยแม้ว่าฟ้าจะยังไม่สว่าง!” ถงเล่ยยิ้มกว้าง เธอยื่นมือเล็กๆสีขาวออกมาและโบกไปโบกมาตรงหน้า “ดูสิ ฉันสามารถมองเห็นหน้าตาของนายได้...”

ก่อนที่เธอจะทันได้พูดจบประโยค จี้เฟิงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

เขาหยุดหัวเราะและกระแอมไอ “เล่ยเล่ย ตอนนี้ก็สว่างแล้ว…”

“ห๊าา!”

เซียวหยูซวนและถงเล่ยร้องออกมาพร้อมกัน ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและต้องกรีดร้องอีกครั้ง “ตอนนี้มัน.. มันเจ็ดโมงเช้าแล้ว?!”

ขวับ—!

สองสาวหันไปมองหน้าจี้เฟิงอย่างพร้อมเพรียงกัน

“ฉัน.. ฉันไม่ได้โกหกพวกเธอนะ!” จี้เฟิงอมยิ้ม “รีบลุกขึ้นเถอะ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะตื่นกันแล้วก็ได้!”

“นายนี่กวนโอ๊ยชะมัดเลย!” เซียวหยูซวนและถงเล่ยพูดอย่างโกรธจัด “นายมันคนเลว กล้าดียังไงมาโกหกพวกเราแบบนี้? ฉันก็นึกว่าตอนนี้ยังเป็นตอนกลางคืนอยู่ซะอีก!”

“ฮ่าๆๆ~!” จี้เฟิงหัวเราะโดยที่ไม่รู้สึกผิดสักนิด และกระโจนลงไปบนเตียง

เซียวหยูซวนกับถงเล่ยตกใจและกรีดร้องออกมาทันที พวกเธอรีบใส่เสื้อผ้าและปัดมือใหญ่ๆของจี้เฟิงให้พ้นออกจากตัว หลังจากที่พวกเขาหยอกล้อและเล่นกันอยู่สักพัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“พวกนั้นมาแล้ว!” จี้เฟิงยิ้มและเดินลงมาจากเตียง เพื่อไปเปิดประตู

เซียวหยูซวนและถงเล่ยก็หยุดเล่นกันและรีบจัดเตียงอย่างรวดเร็วจากนั้นก็เดินไปที่ห้องนั่งเล่น

เมื่อทั้งสองสาวมาที่ห้องนั่งเล่นก็พบว่าพวกฮั่นจงเข้ามากันแล้ว

จางเล่ยยิ้มและพูดว่า “จี้เฟิง วันนี้พวกเราว่าจะไปเที่ยวที่หยุนซาน มันอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองหยุนเฉิง อาจจะกลับมาเย็นๆค่ำๆ”

“หยุนซาน?” จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “มาหยุนเฉิงครั้งแรกก็จะไปเที่ยวภูเขาเลยเหรอ พวกนายไม่เหนื่อยเหรอ?”

จางเล่ยแบมือออก “แล้วจะเหนื่อยอะไรล่ะ? อีกอย่าง ภูเขาหยุนซานเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดี แล้วถ้าระหว่างทางได้จีบสาวๆก็ยิ่งดีใหญ่ ฮิฮิ...”

ฮั่นจงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ถูกต้องที่สุด!”

จี้เฟิงได้แต่หัวเราะอย่างโง่งม ถงเล่ยจ้องจางเล่ยอย่างดุร้าย “พี่ชาย ถ้าพี่กล้าทำอะไรสิ้นคิดล่ะก็ เรื่องได้ถึงหูคุณพ่อแน่!”

จางเล่ยหดหัวลงและหัวเราะแห้งๆ “โธ่น้องรัก ฉันก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย มัวแต่เคร่งเครียดจะเรียกว่าเที่ยวได้ยังไง เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามสิ!”

ฮั่นจงที่อยู่ข้างๆหัวเราะและพูดว่า “ใช่แล้วๆ มันเป็นแค่การเที่ยวเล่นสนุกๆเท่านั้น! จี้เฟิง นายเป็นคนที่อิ่มอกอิ่มใจอยู่ตลอดเวลา นายไม่รู้หรอกว่าผู้ชายที่กำลังหิวโหยความรักมันเป็นยังไง นายมีแฟนที่ทั้งสวยและน่ารักทั้งสองคน แต่พวกเราเป็นกลุ่มชายฉกรรจ์ที่โสดสนิท!”

จี้เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่ได้ห้ามพวกนายไม่ให้มีแฟนนี่นา แต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆที่ฉันมันหล่อ...”

ฮั่นจงและคนอื่นๆอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะยกนิ้วกลางให้เขา “เหอะ! ผมว่าผมไปดีกว่า แล้วเจอกัน!” จ้าวไคโบกมือและเป็นคนแรกที่เดินออกไป จากนั้นคนอื่นๆก็เดินไปตามๆกัน

จี้เฟิงอดหัวเราะไม่ได้

เมื่อเห็นเพื่อนๆของจี้เฟิงออกจากห้องไป เซียวหยูซวนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “นักเลงน้อย เพื่อนของนายทุกคนนิสัยดีนะ และฉลาดมากด้วย!”

จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า แน่นอนว่าเขารู้ว่าเซียวหยูซวนหมายถึงอะไร

ที่จริงตั้งแต่เมื่อวานหลังจากที่กินข้าวเที่ยงเสร็จ ในตอนที่ฮั่นจงและคนอื่นๆ บังคับให้เขาบอกความจริงถึงสถานะทางบ้าน จี้เฟิงรู้ว่าเพื่อนของเขาอาจจะรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาอยู่ก่อนแล้ว แต่อาจจะไม่ถึงกับรู้ว่าเขาเป็นลูกชายของจี้เจิ้นหัว แต่รู้ว่าจี้เจิ้นกั๋วเป็นอารองของเขา และเรื่องนี้ไม่สามารถปกปิดพวกเขาได้

จี้เฟิงเดาว่าเพื่อนของเขาน่าจะพอรู้อยู่แล้วว่าเขากับอารองจี้เจิ้นกั๋วนั้นมีความสัมพันธ์กันในฐานะญาติ แต่อาจจะไม่ถึงกับรู้ว่าเขาเป็นลูกชายของจี้เจิ้นหัว ดังนั้นพอพวกเขามาถาม จี้เฟิงจึงไม่อาจปิดบังได้อีกว่าอาจี้เจิ้นกั๋วเป็นอารองของเขา

เนื่องจากทุกคนรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของอารองเป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นเลขาธิการคณะกรรมการเทศบาลนครเจียงโจว จึงมีชื่อเสียงในเจียงโจวมากและเมื่อเทียบกับพ่อของเขาแล้วพ่อของเขาดูไม่สะดุดตานัก

แต่ถึงอย่างนั้นจี้เฟิงก็รู้ดีว่าตัวตนของเขานั้นใหญ่พอสำหรับฮั่นจงและเพื่อนคนอื่นๆ

ด้วยเหตุนี้จี้เฟิงจึงกังวลว่าสถานะที่แท้จริงของเขาจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฮั่นจงและคนอื่นๆ เพราะสถาบันการศึกษาไม่ได้เป็นแหล่งที่ใสสะอาดบริสุทธิ์เหมือนดังแต่ก่อนแล้ว สถาบันการศึกษาในปัจจุบันเรียกได้ว่าเป็นสังคมเล็กๆ ที่ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมชั้น ครูอาจารย์ เจ้าหน้าที่ต่างๆ ได้มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันด้วยผลประโยชน์

โดยเฉพาะฐานะของฮั่นจงและคนอื่นๆยิ่งทำให้ผลประโยชน์นี้เกิดขึ้นได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่น ฮั่นจงเป็นคุณชายของฮั่นกรุ๊ป ส่วนจ้าวไคก็มาจากครอบครัวสายเลือดข้าราชการ หากสองตระกูลนี้เกิดมีปัญหาอะไรขึ้นมา หรือมีเรื่องที่อยากจะทำแล้วต้องการใช้เส้นสาย พวกเขาจะต้องนึกถึงจี้เฟิงเป็นคนแรก

และด้วยผลประโยชน์ในลักษณะนี้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาและจี้เฟิงจะไม่สามารถปฏิบัติต่อกันเหมือนอย่างปกติได้อีกต่อไป มันจะไม่บริสุทธิ์เหมือนแต่ก่อน

นี่เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ แต่มันก็เป็นความจริงที่ต้องยอมรับ

แต่สิ่งที่จี้เฟิงคาดไม่ถึงก็คือ ฮั่นจง จ้าวไคและคนอื่นๆกลับถามออกมาตรงๆ นี่หมายความว่าพวกเขายินดีที่จะเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงสถานะของพวกเขาอย่างเปิดเผย และเป็นการส่งข้อความให้จี้เฟิงรับรู้ว่า ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ทุกคนก็จะยังคงเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ไม่ว่าจะมีเชื้อพระวงศ์ จะเป็นลูกคนรวย หรือจะเป็นอันธพาล ในเมื่อพวกเขาตัดสินใจที่จะเป็นเพื่อนกันแล้ว ก็ย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

อย่างเช่นเมื่อครู่นี้ ฮั่นจง จ้าวไคและคนอื่นๆ มาบอกกับจี้เฟิงว่าพวกเขาจะไปเที่ยวกัน กิริยาท่าทางและทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อจี้เฟิงยังคงเหมือนเดิม มันดูสบายและเป็นกันเองกว่าแต่ก่อนเสียอีก อันที่จริงการทำแบบนี้มันก็คือการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไม่ให้มันกระทบกระเทือน

ดังนั้นเมื่อเซียวหยูซวนพูดขึ้น จี้เฟิงจึงเห็นด้วยอย่างมาก

ตัวจี้เฟิงเองก็ไม่ต้องการสูญเสียเพื่อนดีๆหลายคนไปเช่นกัน เพราะตั้งแต่เล็กจนโตเขาเป็นคนที่มีเพื่อนน้อย มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้ากันได้

ตอนนี้ฮั่นจงและพรรคพวกถามอย่างตรงไปตรงมาและแสดงท่าทีอย่างเปิดเผยแล้ว แบบนั้นก็ย่อมดีกว่า ส่วนเรื่องการช่วยเหลือกันระหว่างเพื่อน จี้เฟิงยิ้มน้อยๆเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาตัดสินใจว่าถ้าถึงตอนนั้น เขาจะลงมือช่วยก่อนที่ฮั่นจงและคนอื่นๆจะเอ่ยปากพูดเสียอีก ไม่อย่างนั้นจะมีเพื่อนไปทำไมหากไม่ช่วยเหลือกันเท่าที่จะทำได้?

“เอาล่ะ พวกเขาไปกันแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่เราสามคน พวกเธออยากไปเที่ยวเล่นที่ไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า?” จี้เฟิงถามด้วยรอยยิ้ม

เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีเป้าหมายใดๆ จี้เฟิงจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ในโรงแรมตลอดเวลา เพราะสิ่งที่ต้องทำตอนนี้มีเพียงแค่รอข่าวจากพี่รองเท่านั้น เขาจึงตั้งใจจะพาเซียวหยูซวนและถงเล่ยออกไปเที่ยวเล่น

เมื่อตอนอยู่ที่เจียงโจว มันมักจะมีเรื่องที่ทำให้จี้เฟิงไม่ค่อยมีเวลาพาสองสาวไปเที่ยวเท่าไหร่นัก แต่ในเมื่อตอนนี้ว่าง จี้เฟิงก็ต้องอยู่กับแฟนสาวทั้งสองของเขาให้มากที่สุด

“ที่นี่ไม่ใช่เจียงโจว พวกเราไม่รู้เหมือนกันว่ามีที่ไหนน่าสนใจ...” เซียวหยูซวนส่ายหัวเล็กน้อย

ถงเล่ยเสนอความคิดเห็นว่า “ทำไมพวกเราไม่ไปซื้อแผนที่ท่องเที่ยวกันล่ะ? มันน่าจะช่วยเราได้เยอะเลย!”

จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า “โอเค! แต่เดี๋ยวฉันขอไปบอกพี่รองก่อนแล้วกัน แล้วพอฉันกลับมา พวกเราก็ออกเดินทางกันได้เลย!”

“อื้ม!” ทั้งสองสาวพยักหน้าพร้อมกัน

จี้เฟิงหัวเราะและจูบไปที่แก้มอันงดงามของพวกเธอทีละคนย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงบ่นอุบอิบของพวกเธอ จี้เฟิงหัวเราะและเดินออกจากห้องไป

...จบบทที่ 461~❤️

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด