ตอนที่แล้วWS บทที่ 247 ก่อนเข้าสู่ความโกลาหล PART 1
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปWS บทที่ 249 การเปิดเผย

WS บทที่ 248 ก่อนเข้าสู่ความโกลาหล PART 2


ในไม่ช้าเสียงฝีเท้าก็ได้ยินจากภายนอก เลอแรนก้ากำลังเดินอยู่ข้างหน้า ตามด้วยนักเวทย์ที่ดูอ่อนเยาว์ซึ่งสวมเสื้อคลุมของพ่อมดสีดำ

เหล่านักเวทย์ในห้องเพ่งความสนใจไปที่เสื้อคลุมสีดำของนักเวทย์หนุ่มทันที เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นเครื่องหมายบนเสื้อคลุม สายตาของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

นั่นคือเสื้อคลุมที่มีลักษณะเฉพาะของสมาชิกทางการของดินแดนมนต์ดำ หากไม่มีอะไรผิดพลาดนักเวทย์ที่ตามหลังเลอแรนก้าเข้ามาต้องเป็นพ่อมดจากดินแดนมนต์ดำอย่างแน่นอน

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ พ่อมดไรนด์ก็แสดงรอยยิ้มเล็กน้อยและลุกขึ้นยืน “เลอแรนก้า ทำไมลูกไม่แนะนำเขาให้พวกเรารู้จักล่ะ พ่อมดนี้เป็นใคร เขามาจากดินแดนมนต์ดำใช่มั้ย?”

เลอแรนก้าเหลือบมองเมอร์ลินและพยักหน้า เธอตอบอย่างนุ่มนวล “ท่านพ่อ นี่คือพ่อมดเมอร์ลิน เขาเพิ่งเป็นสมาชิกทางการของดินแดนมนต์ดำ เขามาที่นี่เพื่อพาลูกกลับไปที่ดินแดนมนต์ดำเจ้าค่ะ”

“พาลูกกลับไปที่ดินแดนมนต์ดำ?”

ไรน์ตกตะลึงเล็กน้อย เขารู้ว่าเลอแรนก้าเคยเป็นสมาชิกชั่วคราวของดินแดนมนต์ดำแต่เธอถูกไล่ออกจากที่นั่นเพราะเธอไม่สามารถเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่งได้ภายในสามปี เขาไม่คิดว่าเธอจะกลับไปที่นั่นได้อีก

เมอร์ลินก้าวไปข้างหน้าและอธิบายสถานการณ์อย่างใจเย็น “พ่อมดไรนด์ ผมสัญญากับเลแรนก้าไว้ ถ้าผมเป็นสมาชิกทางการ ผมจะมารับรับเธอเพื่อไปเป็นบริวาร”

พ่อมดไรนด์เข้าใจสถานการณ์ในทันที เขารู้ดีว่า ‘บริวาร’ หมายถึงอะไร แม้ว่าจะมีสถานะทางสังคมที่ต่ำแต่เธอก็อาจมีโอกาสพัฒนาในอนาคต หากเธอรับใช้พ่อมดที่เพิ่งเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่ง มันก็ดีกว่าอยู่ในตระกูลมาก

ดังนั้นไรนด์จึงพยักหน้าโดยไม่ลังเล “ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันจะไม่ห้ามพวกคุณ ฉันจะปล่อยให้เลอแรนก้าอยู่ในมือพ่อมดเมอร์ลิน! แต่ถ้าคุณต้องการที่จะไปตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้ พวกคุณต้องอยู่ที่นี่เป็นเวลาสองวัน หลังจากที่ตระกูลเอาชนะวิกฤตได้ จากนั้น คุณจะออกจากเมืองโทลเล่ได้ ฉันเชื่อว่าเลอแรนก้าจะสามารถเข้าใจสิ่งนี้ได้ ในฐานะนักเวทย์แห่งชาเดอสันนี่เป็นความรับผิดชอบของลูก!”

จากนั้นไรนด์โบกมือเพื่อไล่เมอร์ลินกับเลอแรนก้าเพื่อให้ออกไป เมอร์ลินก็โค้งคำนับเล็กน้อยอย่างสงบ เห็นได้ชัดว่าไรนด์ไม่รู้ว่าเมอร์ลินเป็นใคร ข่าวที่เมอร์ลินฆ่าไวส์ในเมืองโฟลตติ้งอาจยังไม่ได้เดินทางไปยังเมืองโทลเล่

‘วิธีนี้ดีกว่าเพราะจะทำให้ลำบากน้อยลง…แม้ว่าฉันจะต้องรออีกสองวันแต่ก็ดีที่ฉันจะได้ดูหนังสือแห่งนิดันดร์ในตำนาน’

ความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัวของเมอร์ลิน แล้วเขาก็จากไปพร้อมกับเลอแรนก้า

“เอาล่ะ ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม จับตาดูตระกูลดอเร็ตให้ดี เราไม่ต้องการให้เกิดเรื่องผิดพลาดได้ภายในสองวันนี้!” ไรนด์กล่าวอย่างจริงจัง

นักเวทย์คนอื่นๆ พยักหน้าตามลำดับ หลังจากนั้นไรนด์ก็โบกมือส่งสัญญาณเลิกประชุม

เมื่อเหล่าพ่อมดกำลังจะจากไป นักเวทย์ผู้มีผมสีขาวและชรากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่หยาบกระด้างของเขา

“โอ้ พ่อมดโลบิซ คุณมีคำถามอะไรหรือไม่?” ไรนด์ถามในขณะที่เขามองไปที่พ่อมดชราในห้อง

พ่อมดโลบิซส่ายหัวเล็กน้อย เขาแสดงสีหน้าไม่แน่ใจในขณะที่ตอบ “ท่านหัวหน้าตระกูล ฉันไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ นักเวทย์ที่ชื่อเมอร์ลินซึ่งถูกพามาโดยเลอแรนก้า ฉันเกรงว่าเขาจะมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น!”

“หืม? พ่อมดโลบิซ คุณรู้จักพ่อมดเมอร์ลินคนนี้ด้วยหรือ?”

พ่อมดไรน์ถามเบา ๆ พ่อมดที่เริ่มออกจากห้องหยุดฝีเท้าตามลำดับ สายตาของพวกเขาเพ่งไปที่พ่อมดโลบิซ

โลบิซพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้รับข้อมูลจากพ่อมดพเนจรว่าสมาชิกอย่างเป็นทางการของออซมู นักเวทย์ระดับสาม ไวส์ เขาไปที่เมืองโฟลตติ้งเพื่อชักจูงนักเวทย์อัจฉริยะที่นั่น ในที่สุด เขาก็ถูกนักเวทย์จากดินแดนมนต์ดำสังหารและชื่อของนักเวทย์ที่ทำการสังหารไวส์ก็คือเมอร์ลินจากดินแดนมนต์ดำ!”

“อะไรนะ แม้แต่ไวส์ตายแล้ว?”

สีหน้าของไรนด์เปลี่ยนไปทันที สายตาของเขาจ้องมองไปนอกประตู มุ่งไปยังทิศทางที่เมอร์ลินและเลอแรนก้าจากไป แววตาที่ร้อนรนฉายแววฉงนออกมา…

ณ ตระกูลดอเร็ต ที่ห้องแห่งหนึ่งมีนักเวทย์ระดับสามจำนวนมากรวมตัวกันในที่นี่ คนที่เป็นผู้นำการประชุมคือพ่อมดไรมุนโดที่สูงโปร่งและดูจริงจังซึ่งสวมเสื้อคลุมของพ่อมดสีน้ำเงิน

“ท่านหัวหน้าตระกูล เราเหลือเวลาอีกสองวัน ก่อนที่ตระกูลชาเดอสันะเปิดเผยเล่มแรกของหนังสือแห่งนิดันดร์นี่เป็นผลเสียสำหรับเรามาก หลังจากข้อมูลนี้ออกไป พ่อมดพเนจรที่เคยติดต่อกับเราก่อนหน้านี้จะยกเลิกข้อตกลงพวกนั้นไปทันที พวกเขาไม่มาต่อสู้กับตระกูลชาเดอสันกับพวกเรา”

“ใช่แล้ว ท่านหัวหน้าตระกูล หากยังคงเป็นเช่นนี้ ฉันเกรงว่าตระกูลชาเดอสันจะสามารถเอาชนะวิกฤตินี้ได้ ตระกูลของเราจะเสียเปรียบมาก หากพวกเขามีคาถาในหนังสือแห่งนิดันดร์ครบถ้วน พวกเขาจะนำหน้าพวกเราจนไม่สามารถตามพวกเขาทันได้”

นักเวทย์หลายคนแสดงความกังวลต่อหัวหน้าตระกูล พ่อมดไรมุนโดตามลำดับ

พ่อมดไรมุนโดก็ขมวดคิ้วเช่นกัน ในตอนแรกที่ได้ทราบข่าวการครอบครองหนังสือแห่งนิดันดร์ เขาก็สั่งให้แพร่กระจายข่าวนี้ทันที และติดต่อพ่อมดพเนจรที่แข็งแกร่งหลายคนเพื่อกดดันตระกูลชาเดอสัน

หากตระกูลชาเดอสันตอบโต้ เขาสามารถชักชวนพ่อมดพเนจรทำลายตระกูลชาเดอสันให้สิ้นซาก ในเวลานั้น ตระกูลดอเร็ตจะสามารถยึดครองเมืองโทลเล่ทั้งหมดได้

อย่างไรก็ตาม ตระกูลชาเดอสันต้องการเปิดเผยหนังสือเล่มนี้ต่อสาธารณชนจึงทำให้แผนการของเขาต้องหยุดชะงักไปและไม่มีพ่อมดคนใดที่เต็มใจที่จะเสี่ยงและต่อสู้กับตระกูลชาเดอสัน

หากไม่มีพวกเขา ตระกูลดอเร็ตก็ไม่สามารถทำลายตระกูลชาเดอสันได้

“อย่ารีบร้อน ฉันมีแผน!” ไรมุนโดกล่าวออกมาด้วยเสียงต่ำ นักเวทย์ทั้งหมดเงียบไปในทันที

“แผนอะไรหรือ ท่านหัวหน้าตระกูล?”

ไรมุนโด้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้ว่าเขาจะทำให้เกิดความไม่พอใจของนักเวทย์หากเขาเลือกที่จะเงียบ สถานะทางสังคมของเขาในตระกูล ดอเร็ตนั้นห่างไกลจากความมั่นคงในเวลานี้

ดังนั้นไรมุนโดจึงยิ้มและกล่าวว่า "ฉันเพิ่งติดต่อกับพ่อมดพเนจรระดับสี่ที่เพิ่งมาถึงเมืองโทลเล่ เขาคือพ่อมดอูบิก ชายชราคนนั้นเขาตกลงที่จะต่อสู้กับตระกูลชาเดอสันกับพวกเราแต่เขามีเงื่อนไขคือ เขาต้องได้หนังสือแห่งนิดันดร์เล่มแรกไป”

“นักเวทย์ระดับสี่? หนังสือเล่มนั้นมีเพียงคาถาระดับหนึ่งถึงระดับสามเท่านั้น อูบิกเป็นนักเวทย์ระดับสี่ ทำไมเขาถึงต้องการเล่มแรก?”

เหล่านักเวทย์เหล่านี้พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบและเข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกลี้ยกล่อมนักเวทย์ระดับสี่

ไรมุนโดยิ้มอย่างกะทันหันและพูดช้า ๆ “โดยปกติแล้วเล่มแรกของหนังสือแห่งนิดันดร์จะไม่ดึงดูดความสนใจนักเวทย์ระดับสี่แต่ถ้าฉันบอกว่าภายในเล่มแรกมีเบาะแสของเล่มที่สองหรือแม้แต่เล่มที่สามล่ะ เมื่อได้ร็เช่นมีหรือที่นักเวทย์ระดับสี่หรือระดับที่สูงกว่านี้จะไม่สนใจ?”

หลังจากที่เขาพูดจบ เหล่านักเวทย์สูดหายใจเข้าลึกๆ และเบิกตากว้าง สายตาของพวกเขาเพ่งไปที่ไรมุนโดในขณะที่มองอย่างไม่เชื่อสายตา

"มีเบาะแสของเล่มที่สองหรือแม้แต่เล่มที่สามในเล่มแรก ทำไมพวกเรายังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"

หากมีเบาะแสเกี่ยวกับเล่มที่สองหรือสามของหนังสือแห่งนิดันดร์เป็นเรื่องจริง มันจะดึงดูดนักเวทย์ระดับสี่จำนวนมากได้

ไรมุนโดเผยรอยยิ้มที่ซ่อนเร้นและพูดช้า ๆ "มันไม่สำคัญหรอกว่าจะมีเบาะแสถึงเล่มที่สองในเล่มแรกของหนังสือแห่งนิดันดร์หรือไม่ ที่สำคัญที่สุด พวกเราตระกูลดอเร็ตได้รับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้...ฮิฮิ ด้วยข้อมูลนี้เราอาจจะทำให้นักเวทย์ระดับสี่สนใจ ถึงมันจะเป็นเรื่องโกหกแต่พวกเราไม่ต้องการหนังสือแห่งนิดันดร์  เราต้องการเพียงการทำลายล้างตระกูลชาเดอสันให้สิ้นซาก” สีหน้าของไรมุนโดแสดงให้เห็นถึงความบ้าคลั่งและความปิติยินดี

ในห้องภายในตระกูลชาเดอสัน เมอร์ลินถามเลอแรนก้าด้วยน้ำเสียงที่สงบ "พ่อของคุณไปแล้วหรือยัง"

เลารินก้าแสดงท่าทางเคอะเขินแต่พยักหน้า “อืม ฉันบอกท่านพ่อเกี่ยวกับคำตอบของคุณแล้ว ฉันเชื่อว่าเขาจะไม่มาอีกแล้ว”

เมอร์ลินพยักหน้า เขาจำได้ว่าพ่อของเลอแรนก้าเป็นหัวหน้าตระกูลชาเดอสัน พ่อมดไรนด์ได้ค้นพบตัวตนของเขาและรู้ว่าเขาได้ฆ่านักเวทย์จากออสมู ไวส์ ดังนั้นพ่อมดไรนด์จึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อขอความช่วยเหลือจากเมอร์ลิน ในระหว่างการเปิดเผยหนังสือแห่งนิดันดร์

อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินปฏิเสธคำขอ เขาอยู่ในตระกูลชาเดอสันเพื่อตามหาเลอแรนก้าเท่านั้น เขาไม่สนใจที่จะมีส่วนร่วมในความขัดแย้งระหว่างตระกูลนักเวทย์

เมอร์ลินเพียงต้องการรออย่างเงียบ ๆ และดูหนังสือแห่งนิดันดร์ในตำนานในอีกสองวันถัดมา จากนั้นเขาจะออกจากเมืองโทลเล่และกลับไปยังดินแดนมนต์ดำ

ข้างนอกเงียบลงตั้งแต่พ่อมดไรนด์จากไป อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเอกลักษณ์พิเศษของเมอร์ลิน เขาจึงได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็น ‘แขกพิเศษ’ เช่นกัน จึงไม่มีใครกล้ารบกวนเมอร์ลินกับเลอแรนก้า

แทนที่จะนั่งสมาธิ เมอร์ลินลุกขึ้นและถอดเสื้อคลุมออกเผยให้เห็นร่างกายที่กำยำของเขา เมื่อเทียบกับร่างกายของนักเวทย์ ร่างกายของเมอร์ลินถือได้ว่าแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด

เมอร์ลินได้รับรูปปั้นลึกลับสี่อันและฝึกฝนมาสองสามปีแล้ว หลังจากเพียรพยายามมาเป็นเวลานาน ร่างกายของเมอร์ลินก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างน่ากลัว ร่างกายของเขาเปรียบได้กับนักดาบธาตุระดับสาม

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เมอร์ลินเริ่มฝึกฝนกระบวนท่าลึกลับจากรูปปั้นอันที่สี่ ร่างกายของเขาก็พัฒนาขึ้นด้วยความเร็วที่ช้ามาก ในขั้นต้น เมอร์ลินไม่สนใจเรื่องนี้แต่เขายังคงฝึกฝนมันทุกวัน

หลังจากฝึกฝนต่อเนื่องมาสองสามปี การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นในที่สุด เมื่อเร็ว ๆ นี้ เมอร์ลินมักจะกระฉับกระเฉงราวกับรู้สึกถึงความแข็งแกร่งไม่รู้จบอยู่ในร่างกายของเขา บางครั้งร่างกายของเขาก็ร้อนขึ้น

ในตอนแรก เมอร์ลินไม่ได้คิดอะไรมากแต่ความรู้สึกนั้นกลับแข็งแกร่งขึ้นตามกาลเวลา ความรู้สึกนั้นชัดเจนที่สุดเมื่อเมอร์ลินกำลังฝึกกระบวนท่าของรูปปั้นอันที่สี่

ดังนั้น เมอร์ลินจึงรู้สึกว่าร่างกายของเขาเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากฝึกกระบวนท่ามาเป็นเวลานาน!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด