ตอนที่แล้ว659-660
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป663-664

661-662


5/10

Ep.661

ระหว่างทาง ซูเฉินนึกบางเรื่องขึ้นมาได้ หันมาเอ่ยถามเฉินเฟิงว่า “พี่เฉิน ก่อนหน้านี้ฉันได้ข่าวมา ว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดของราชวงศ์เฝิงซีคือผู้วิวัฒนาการขั้น 7 แต่ทำไมซือถูห่าวหนานที่เป็นแค่เจ้าเมือง ถึงอยู่ในขั้น 8 ได้?”

ข่าวนี้ เขาได้มันมาจากเฉินเมิ่งเฟยในตอนแรก ต่อมาก็ได้รับการยืนยันจากผู้อาวุโสคนหนึ่งของวิหารศักดิ์สิทธิ์หมานหยู

ซึ่งตามหลักเหตุผลแล้ว การที่ทั้งสองคนพูดเหมือนกัน ข้อมูลก็ไม่ควรจะผิดพลาด

เฉินเฟิงยิ้มและอธิบายว่า “เฮียซูอาจยังไม่รู้ ว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งราชวงศ์เฝิงซี คือเฝิงหลี่จากตระกูลเฝิง แม้เขาจะอยู่แค่ขั้น 7 แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เพียงพอแล้วที่จะบดขยี้ผู้ฝึกตนขั้น 8 นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ผู้แข็งแกร่งที่สุดของราชวงศ์เฝิงซี จึงหมายถึงกำลังรบ มิใช่ระดับฝึกตน”

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้”

ซูเฉินพยักหน้าเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเฝิงหลี่คือยอดฝีมือที่สามารถสังหารข้ามขั้น เรื่องนี้เขาต้องจดจำใส่ใจเอาไว้

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาได้สังหารสมาชิกของราชวงศ์เฝิงซีไปไม่น้อย แม้แต่ลูกชายของเฝิงหลี่เองก็ตายด้วยน้ำมือเขา

และเขายังเกิดข้อสงสัยบางอย่างเช่นกัน ว่าคราวก่อนที่หานซานเฉียนเล่นตุกติกกับค่ายกลเคลื่อนย้าย เป็นไปได้ไหมว่าเฝิงหลี่อาจสั่งการอยู่เบื้องหลัง?

ต่อมา ซูเฉินเอนตัวลงบนเก้าอี้คนขับ และเริ่มจัดระเบียบชิ้นส่วน

[รถศึกอัจฉริยะ] ขับออกจากเมืองตู่ลี่ มุ่งหน้าไปยังหุบเขาซีหยา

แต่ผ่านไปได้ราวๆหนึ่งชั่วโมง จู่ๆเฉินเฟิงก็ตะโกนขึ้นอย่างกะทันหัน “เฮียซู ช่วยให้รถฐานทัพของเฮียจอดสักพักได้ไหม”

“เสี่ยวจือ หยุดรถ”

ซูเฉินออกคำสั่ง หันมาถามว่า “พี่เฉิน มีเรื่องอะไรงั้นหรอ?”

เฉินเฟิงยื่นมือและชี้ออกไปนอกรถ อธิบายว่า “เฮียซู คนที่อยู่ด้านหน้าคือเหลิงมู่เย่จากวังสุริยันจันทราของพวกเรา หรือก็คือศิษย์พี่เหลิง”

ซูเฉินมองตามทิศทางที่นิ้วของเฉินเฟิงชี้ไป แล้วก็พบกับชายที่มีแผ่นหลังเหมือนเสือ เอวเหมือนหมีกำลังเดินเหินอย่างไม่รีบร้อน สะพายขวานใหญ่สีดำเอาไว้เบื้องหลัง

“ในเมื่อเป็นศิษย์พี่จากวังสุริยันจันทรา งั้นก็เชิญเขาขึ้นรถเถอะ” ซูเฉินกล่าวเสียงเรียบ

เฉินเฟิงพยักหน้า ลงจากรถและวิ่งไปข้างๆเหลิงมู่เย่อย่างรวดเร็ว

หลังจากคุยกันหลายคำ ทั้งสองก็กลับขึ้นมายัง [รถศึกอัจฉริยะ]

เฉินเฟิงแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน เหลิงมู่เย่ประสานมือคารวะ กล่าวกับซูเฉินว่า “ถ้าอย่างงั้นคงต้องรบกวนน้องซูแล้ว”

ตัวเขาเองก็กำลังจะไปหุบเขาซีหยาอยู่พอดี ดังนั้นเลยขอติดรถไปพร้อมกันเฉินเฟิง

ทั้งสองเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันอยู่แล้ว เลยไปด้วยกันจะได้ช่วยประหยัดเวลา

“พี่เหลิงเกรงใจเกินไปแล้ว” ซูเฉินยิ้ม จากนั้นหยิบเอาผลไม้และเครื่องดื่มออกมา ต้อนรับเหลิงมู่เย่

“พี่เหลิงเองก็ออกมาตามหาปรมาจารย์อู๋หยาจื่อ เพื่อขอให้ช่วยสร้างอาวุธเหมือนกันหรอ?”

หุบเขาซีหยาคือสถานที่ที่อู๋หยาจื่ออาศัยอยู่ ใครก็ตามที่เดินทางไปที่นั่น ส่วนใหญ่ก็เพื่อให้อู่หยาจื่อสร้างอาวุธกันทั้งนั้น ซูเฉินเลยเดาว่าน่าจะเป็นแบบนี้

แต่เหลิงมู่เย่กลับส่ายหัว ดวงตาทอประกายคมกริบออกมา กล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “การสร้างอาวุธเป็นแค่เหตุผลหนึ่ง เหตุผลที่สำคัญกว่าคือต้องการหาคู่ต่อสู้”

หาคู่ต่อสู้?

ซูเฉินนิ่งงันไปครู่หนึ่ง เหลิงมู่เย่ดูมีอุปนิสัยที่ซื่อตรง ไม่คล้ายอันธพาลที่ชอบสร้างปัญหาเลย เป็นไปได้ไหมว่าภายใต้สีหน้าอันสงบเสงี่ยม จะมีหัวใจอันบ้ารำห่ำซ่อนอยู่

เฉินเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวโน้มน้าว “ศิษย์พี่เหลิง แม้วังสุริยันจันทราของพวกเราจะเป็นนิกายใหญ่ แต่ท่านประมุขได้เตือนพวกเราเสมอว่าให้ทำตัวสงบเสงี่ยมเวลาออกมาข้างนอก อย่าได้สร้างปัญหา .. การหาคู่ต่อสู้ของศิษย์พี่ เกรงว่าจะไม่เหมาะสมนัก”

“ศิษย์น้องเข้าใจผิดแล้ว” เหลิงมู่เย่หัวเราะ จากนั้นอธิบายว่า “ชื่อเสียงของปรมาจารย์อู๋หยาจื่อแพร่สะพัดมาอย่างยาวนาน มีผู้คนมากมายไปหาเขาเพื่อต้องการให้สร้างอาวุธ ก่อนหน้านี้ก็แค่ต้องจ่ายหินพลังงานจำนวนหนึ่งเพื่อเข้าพบ แต่ตอนนี้ กฏได้เปลี่ยนไปแล้ว”

กฏเปลี่ยนไปงั้นหรือ?

แล้วตอนนี้ กฏที่ว่าคืออะไร?

เฉินเฟิงมองเหลิงมู่เย่ด้วยความสงสัย รอคำอธิบายจากเขา

6/10

Ep.662

เหลิงมู่เย่กระแอม เกริ่นว่า “เนื่องจากมีผู้คนแวะเวียนไปคารวะปรมาจารย์อู๋หยาจื่อมากเกินไป ทำให้หลายครั้งต้องเสียเวลารอ ดังนั้นพวกเขาเลยแก้ปัญหานี้โดยการจัดการประชันศิลปะการต่อสู้ขึ้น ผู้ใดแข็งแกร่งกว่า ผู้ใดได้อันดับสูงกว่า ก็จะมีสิทธิพิเศษในการเข้าคารวะก่อน”

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือนี่?”

เฉินเฟิงเดาะลิ้น เอ่ยถามด้วยท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่า “แต่ถ้าพูดแบบนี้ หมายความว่าคนอ่อนแอก็ไม่มีโอกาสเจอท่านเลยน่ะสิ?”

“ไม่ถึงขนาดนั้น ต่อให้ไม่แข็งแกร่ง แต่ถ้าสามารถจ่ายค่าตอบแทนจำนวนมากพอที่ทำให้ปรมาจารย์อู๋หยาจื่อพึงพอใจได้ ก็มีโอกาสได้พบเช่นกัน” เหลิงมู่เย่อธิบาย

เฉินเฟิงลอบส่ายหัว ผู้ที่มีฐานฝึกตนต่ำ สมบัติดีๆบนตัวก็ย่อมน้อยตามไปด้วย

หรืออีกความหมายนึงก็คือ ด้วยสายตาของอู๋หยาจื่อ สมบัติธรรมดาไม่มีทางเข้าตา ด้วยเหตุนี้ เท่ากับว่าผู้ที่มีกำลังรบอ่อนแอ คงแทบไม่มีโอกาสได้พบกับอู๋หยาจื่อเลย

“ศิษย์พี่เหลิง แล้วทำไมคุณต้องไปสู้กับพวกเขา?” เฉินเฟิงถามด้วยน้ำเสียงสับสน

ในความทรงจำของเขา เหลิงมู่เย่แข็งแกร่งมากก็จริง แต่ขณะเดียวกันเขาเป็นคนรู้จักวางตัว ไม่อาละวาดโดยง่าย

แต่ในสถานการณ์ที่ต้องโยนตัวเองออกไปต่อสู้ ทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น มันไม่เข้ากับบุคลิกของเหลิงมู่เย่เลย

“หนึ่งเดือนให้หลัง จะมีการประลองรอบคัดเลือกบนขุนเขาหวังเฉียว นายน่าจะรู้เรื่องนี้ใช่ไหม” เหลิงมู่เย่ถามแทนคำตอบ

เฉินเฟิงพยักหน้า แสดงท่าทีไปว่าเขารู้

งานประลองรอบคัดเลือกในขุนเขาหวังเฉียว จะจัดขึ้นทุกๆ 3 ปี เพื่อเลือกผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่ง ไปเข้าร่วมงานประลองของทวีปเสวียนเทียนในอีกหนึ่งปีจากนี้ เพื่อช่วงชิงโควต้าในการเข้าสู่มิติท้ารบ

นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ขุมกำลังใหญ่จึงให้ความสำคัญกับงานประลองในครั้งนี้เป็นอย่างมาก และมักจะเตรียมตัวก่อนงานจะเริ่มขึ้น

เฉินเฟิงตระหนักได้ในทันที แต่งานประลองรอบคัดเลือกของขุนเขาหวังเฉียว มันเกี่ยวข้องอะไรกับการหาคนสู้ของศิษย์พี่?

เหลิงมู่เย่ยิ้ม และอธิบายว่า “ในรอบคัดเลือก มันเกี่ยวพันธ์ถึงเรื่องที่ว่าพวกเรามีโอกาสจะได้เข้าสู่มิติท้ารบได้หรือไม่?”

“ซึ่งนายคงรู้ถึงความสำคัญของมันดี และโควต้าสำหรับรอบคัดเลือกในแต่ละครั้งก็มีจำนวนจำกัด การประลองจึงดุเดือดรุนแรงเป็นพิเศษ จนแม้แต่ฉันเองก็ยังไม่มั่นใจ ดังนั้นเลยถือโอกาสนี้ตามหาคนเก่งๆซักคนมาต่อสู้เพื่อเรียนรู้ฝึกฝน แล้วนำมาต่อยอดเพิ่มพูนความแข็งแกร่ง”

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้” เฉินเฟิงค่อยเข้าใจในที่สุด

ซูเฉินที่อยู่ข้าง ๆเดิมไม่สนใจอะไรมากนัก แต่เมื่อได้ยินเกี่ยวกับมิติท้ารบ ดวงตาเขาเปล่งประกายขึ้นมาทันที

การเข้าสู่มิติท้ารบ มีโอกาสที่จะสามารถปลุกพลังพิเศษขึ้นมาได้ และนั่นจะช่วยเสริมความสามารถในใการต่อสู้เป็นอย่างมาก ซึ่งเขาควานหาโอกาสที่จะเข้าไปตั้งนานแล้ว

ซูเฉินสูดหายใจลึก เอ่ยถามอย่างใจเย็น “พี่เหลิง ถ้าอยากได้โควต้าเพื่อเข้าสู่มิติท้ารบ ฉันสามารถเข้าร่วมประลองในฐานะส่วนบุคคลได้ไหม?”

“ส่วนบุคคล? หมายถึงไม่ได้อยู่ฝ่ายไหนน่ะเหรอ?”

เหลิงมู่เย่อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนส่ายหัวและกล่าวว่า “ฉันเกรงว่าแบบนั้นคงไม่ได้ เพราะโควต้าสำหรับการเข้าสู่มิติท้ารบ จำเป็นต้องผ่านการคัดเลือกทีละขั้นทีละตอน นี่คือกฏเกณฑ์ที่กำหนดไว้โดยเหล่าผู้แข็งแกร่งระดับเทวะ ไม่มีใครกล้าฝ่าฝืน”

“ถ้าอย่างนั้น ก็เข้าร่วมแบบส่วนตัวไม่ได้น่ะสิ?” ซูเฉินขมวดคิ้ว

เนื่องจากกฏเกณฑ์ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าผู้แข็งแกร่งระดับเทวะ งั้นก็ไม่มีทางแหกกฏได้ด้วยกำลังรบในปัจจุบันของเขา

ด้วยเหตุนี้ ไม่ได้หมายความว่าในช่วงเวลาสั้นๆ เขาไม่มีโอกาสเข้าสู่มิติท้ารบหรอกหรือ?

“อันที่จริงก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเลย” เหลิงมู่เย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอบกลับว่า “ถ้านายแข็งแกร่งมาก ก็น่าจะสามารถเข้าร่วมกับขุมกำลังอื่นๆได้ จากนั้นก็ผ่านการคัดเลือกและชิงโควต้ามา”

ได้ยินแบบนั้น ดวงตาของซูเฉินเป็นประกายขึ้นมาทันที ด้วยความแข็งแกร่งของเขา ไม่น่าจะมีปัญหาหากต้องการเข้าร่วมกับขุมกำลังใดขุมกำลังหนึ่ง แบบนี้เขาก็จะมีโอกาสเข้าสู่มิติท้ารบแล้ว

กระนั้น เมื่อย้อนคิดไปถึงเรื่องที่ว่าซูเฉินล่วงเกินผู้คนมามากเกินไป ขุมกำลังเล็กๆทั่วไปคงไม่กล้าอ้าแขนรับเขา มีเพียงขุมกำลังใหญ่เท่านั้นที่จะทำได้

คิดไปคิดมา–

–ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงวังสุริยันจันทรา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด