ตอนที่แล้วChapter 12 - อ่านฟรี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 14 - อ่านฟรี

Chapter 13 - อ่านฟรี


Chapter 13

I’m Not Interested In The Main Characters

“ชู่วว เจ้าพูดเรื่องอะไร ไม่เห็นเหรอว่าข้ากำลังมีแขกอยู่”

ถึงเสนาธิการจะแจ้งจักรพรรดิด้วยเสียงที่แผ่วเบาแค่ไหน แต่จักรพรรดิกลับตอบกลับเขาด้วยเสียงที่ดังก้องกังวาลราวกับไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดให้มันเป็นความลับ

แต่ต่อให้ถึงแม้พวกเขาจะกระซิบกันเบาแค่ไหน ยังไงมันก็มาถึงหูของเอลิเซียอยู่ดี

“องค์มกุฎราชกุมารรับสั่งให้กระหม่อมทูลฝ่าบาทให้ได้ ถึงแม้กระหม่อมจะทูลบอกเช่นนั้นไปแล้ว”

แคสเซียนมองไปที่ประตูทางเข้าของท้องพระโรง

“พวกกระหม่อมกำลังจะไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“งั้นตามพวกเจ้าสะดวก”

ทันที่แคสเซียนและเอลิเซียก้าวขาออกจากห้อง พวกเขาก็พบเรวอสยืนอยู่ตรงหน้า

“ถวายบังคมเพคะ มงกุฎราชกุมาร”

“ฮ่าๆ สุดท้ายเจ้าก็ใช้ไม้นี้สินะ”

เรวอสยังคงไม่เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นความจริง

การยอมรับว่าเขา คิดผิด ที่คิดว่าเธอพยายามเอาชนะใจเขาด้วยการใช้ชายอื่นเป็นเครื่องมือ เป็นเรื่องยาก ซึ่งนั่นเท่ากับว่า นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาถูกผู้หญิงปฏิเสธ

สายตาเรอสเปลี่ยนไปมองแคสเซียนแทน

“ดยุค ท่านคงรู้คำร้องขอที่เราทูลฝ่าบาทไปดี”

เขากำลังพูดถึงการแต่งงานกับเอลิเซีย

เรวอสมั่นใจว่าแคสเซียนรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน

เพราะจักรพรรดิต้องตรัสล่วงหน้ากับดยุคเอสเตบัน เพื่อขอให้ดยุคเอสเตบันคิดทบทวนเสียใหม่

“กระหม่อมไม่รู้ว่าฝ่าบาทกำลังพูดถึงอะไร”

อันที่จริง แคสเซียนทราบดีอยู่แล้ว แต่เขาไม่ได้ยินเรื่องนี้จากจักรพรรดิ

มันเป็นข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองในพระราชวัง

“นี่พวกเจ้ากำลังทำให้เราดูโง่”

“จักรพรรดิกำลังรอพระองค์อยู่พ่ะย่ะค่ะ”

เรวอสเดินเข้าไปท้องพระโรงอย่างไม่เต็มใจ

****

“จริงหรือ ทำไมใบอนุญาตสมรสถึงออกมาแล้วล่ะ”

“แบบนี้ฝ่าบาทก็เป็นโสดแล้วใช่ไหม”

ระหว่างทางที่พวกเขาเดินออกจากพระราชวังกลาง พวกเขาเห็นขุนนางที่ทำงานในพระราชวังบางส่วนพูดคุยกัน ซึ่งมันไม่ต่างจากตอนที่เขาเดินผ่านพวกข้าราชบริพารมากนัก

แคสเซียนโอบไหล่ของเอลิเซียและรีบเดินหนีก่อนที่พวกเขาเหล่านั้นจะเข้ามามีบทสนทนาด้วย

เอลิเซียเอ่ยปาก

“ที่เราต้องตกลงกันเรื่องวันแต่งงาน พ่อของฉันยังไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างเลยนะคะ”

“ฝ่าบาทจะทรงบอกคุณเองว่าต้องทำยังไงต่อ”

“นี่เป็นความผิดของฉันหรือไงเนี่ย? ทำไมทุกอย่างมันถึงดูรีบร้อนไปหมด”

“ต้องขอบคุณใครบางคน ที่ทำให้พวกเราอยู่ในรักสามเส้านี่ต่างหาก ตอนนี้มันมีหลายสิ่งที่กวนใจผมอยู่มาก ผมก็อยากจะเคลียร์ให้มันจบให้ไวที่สุด”

เอลิเซียเม้มปาก

‘ว้าว สนใจแต่ตัวเองจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนฉันต้องยอมอ่อนข้อให้ตลอดเลย’

ทุกวันนี้ เวลาเธอคุยกับแคสเซียน เธอจะรู้สึกเหมือนถูกเขาพูดดักไว้ตลอด และนั่นก็ทำให้ในใจเธอเดือดปุดๆ แถมยังมีบ่อยครั้งที่เขาทำให้เธอพูดไม่ออก

‘ไม่ ฉันจะเป็นแบบนี้ไม่ได้ ควบคุมสติไว้’

ก่อนที่เธอจะรู้ตัว เธอก็เดินมาถึงรถม้าแล้ว

ทันทีที่เธอเห็นคนขับม้าของตระกูล เธอก็ดึงมือตัวเองออกจากแคสเซียน

แล้วก้าวเข้าไปประชิดตัวเขา

ถึงไม่ได้ใกล้จนสัมผัสถึงลมหายใจได้เหมือนเคย แต่ก็ใกล้มากอยู่ดี

“แบบนี้ ตอนนี้เราก็ไม่จำเป็นจะต้องพบกันอาทิตย์ละครั้งต่อไปอีกแล้วถูกไหมคะ เพราะมันทำฉันเหนื่อยมากจริงๆ”

“ไม่ ยังไงเราก็ยังต้องเจอกันต่อไปอยู่ดี”

“แต่ฉันไม่พอใจ ยังไงคุณก็สามารถจับตาดูฉันได้ตลอดเวลาอยู่แล้วหลังเราแต่งงานกัน ก็แค่ส่งจดหมายถึงกันก็พอ โอเคนะคะ?”

เอลิเซียเอื้อมมือจัดปกคอเสื้อที่ย่นของเขาให้ตรง ก่อนจะหมุนตัวแล้วมุ่งหน้าไปที่รถม้าก่อนที่เขาจะทันเอ่ยปากพูดอะไรออกไป

****

หลายวันมานี้ เอลิเซียมีวันที่แสนสดใสตลอดทั้งวัน

แม้ว่าหลังจากที่เธอยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเธอตนเองเป็นคนรักของแคสเซียน ทั้งเมืองหลวงจะเต็มไปด้วยบรรยากาศที่อึกทึกครึกโครมก็ตาม แต่นั่นมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ

อย่างน้อยในคฤหาสน์แห่งนี้ ก็มีแต่ความสงบสุข

เธอสามารถเอาชนะเรวอส แถมยังไม่ต้องคอยกังวลว่าจะถูกเปิดโปงตัวตน อย่างน้อยก็เป็นเวลานานถึงสามปี

‘นานแล้วนะที่ฉันไม่ได้สงบสุขนานๆ แบบนี้’

เอลิเซียนอนบนเตียงพลางฮัมเพลงอย่างมีความสุข

“เลดี้ สินค้าที่คุณสั่งซื้อล่าสุดมาถึงแล้วค่ะ”

เกรย์ สาวใช้ของเธอเข้ามาในห้องพร้อมกล่องพัสดุที่ห่อหุ้มอย่างสวยงาม

เกรย์อดทนที่จะไม่จู้จี้กับนายหญิงของตัวเองที่ทำท่าเหมือนเธอจะไม่อยากลุกขึ้นจากเตียงไปทำอะไรสักอย่าง เธอจะอดทนไว้เพราะเห็นว่าก่อนหน้านี้ นายหญิงของเธอดูยุ่งมากตลอดเวลา

“วางไว้ตรงนั้นเลยค่ะ”

“เลดี้ วันนี้ดิฉันจะปล่อยเลดี้ไปก่อนหนึ่งวันนะคะ แต่ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เลดี้ต้องดูแลอย่างจริงจังมากกว่านี้”

“ฮะ ดูแลอะไรเหรอคะ?”

“ดูแลตัวเองไงคะ! ในระหว่างคบกัน เลดี้ก็ต้องดูแลตัวเองด้วยค่ะ!”

เอลิเซียเดาะลิ้นตัวเองขณะมองดูสาวใช้ที่กำลังโกรธเกรี้ยวเป็นน้ำเดือด

หากเป็นเอลิเซียคนก่อน ทุกครั้งที่เธอมีนัดกับเรวอส เธอจะน้ำตาคลอและดูตื่นเต้นเสมอ

“คุณเกรย์ ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วค่ะ ออกไปได้แล้ว”

เกรย์บ่นพึมพำกับตัวเองก่อนเดินออกจากห้องไป

เอลิเซียลุกขี้นมาดูของที่เกรย์วางไว้บนโต๊ะ

‘ฉันเกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย’

เมื่อเธอเปิดฝา เธอเห็นเสื้อผ้าสีดำทั้งหมดด้านใน

วันนี้เธอจะออกไปข้างนอก

เพื่อช่วยชีวิตอัศวินที่ตายอย่างน่าสลดใจในเนื้อเรื่องเดิม

***

ในเนื้อเรื่องเดิม บทบาทของเอลิเซียนั้นสำคัญมาก แต่มันก็มีตัวละครอื่นอีกตัวที่ทำให้เธอกำลังเป็นกังวลอยู่ในตอนนี้

ไรอัน

เขาเป็นอัศวินที่เสียชีวิตขณะปกป้อง ลูเมียร์ นางเอกของเรื่อง

หากดูเผินๆ ด้วยลุคของเขา ไรอันควรจะอยู่ในสมาคมข่าวกรอง แต่เขากลับถูกกำหนดให้อยู่ในที่ที่การลอบสังหารกลายเป็นเรื่องปกติ เขากับน้องสาวเป็นสามัญชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้สลัม เพื่อประทังชีวิต เขาจึงจำเป็นที่จะต้องเข้าร่วมกับสมาคมลอบสังหารก่อนวัยที่เหมาะสม

พี่ชายและน้องสาวช่วยกันเก็บหอมรอมริบเพื่อเตรียมย้ายออกไปอยู่ประเทศอื่น แต่หัวหน้าสมาคมกลับลักพาตัวพี่สาวเพื่อข่มขู่ไรอัน ผู้เป็นพี่ชาย

ในตอนนั้น ลูเมียร์ นางเอกของเรื่อง ถูกล้วงกระเป๋าระหว่างแวะพักอยู่แถวสลัม เธอบังเอิญเห็นการลักพาตัวของน้องสาวไรอันเข้า เธอจึงให้ความช่วยเหลือน้องสาวของไรอันถึงขนาดกวาดล้างสมาคมจนหมดสิ้น

ไรอันจึงขอปฏิญานตนว่าจะจงรักภักดีต่อลูเมียร์ ผู้ช่วยชีวิตน้องสาวของตัวเองในเวลาต่อมา

ในอนาคตอันใกล้นี้ เขาจะไต่ระดับจนได้เป็นปรมาจารย์และจะเสียชีวิตในขณะปกป้องลูเมียร์จากเอลิเซียในตอนท้ายของนิยาย

‘เขาจะไม่ตาย ตราบใดที่ฉันคือเอลิเซีย’

เซีย ตัวเธอในชีวิตเดิม มักจะรู้สึกเสียใจเสมอ เมื่ออ่านนิยายเรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อเธอรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้า การแค่มองข้ามมันไปจึงเป็นเรื่องยาก

“ไปตอนนี้ยังเร็วไปไหมนะ?”

เอลิเซียสวมเชิ้ตสีดำและกางเกงหนัง เธอมองเข้าไปในกระจก

อย่างที่คิด สีผมของเธอโดดเด่นมากเกินไป เธอจึงรวบผมขึ้นสูง ขมวดรวมกันแล้วสวมเสื้อตัวยาวมีฮู้ดคลุมทับ

เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้ท้องฟ้าถูกย้อมไปด้วยสีแดงสด

เธอจึงรีบออกจากคฤหาสถ์

ถึงแม้ว่าในเนื้อเรื่องเดิม ไม่มีการกล่าวไว้อย่างแน่ชัดว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นตอนไหน แต่เธอก็ยังแอบโทษตัวเองที่จำไม่ได้ชัดๆ ตอนนี้เธอกำลังกังวลว่าตัวเองอาจจะไปสาย

เธอเช่ารถม้าที่อยู่ค่อนข้างห่างไกลจากคฤหาสถ์ของตัวเอง

“ไปเขต 4 นอกเมืองหลวงค่ะ”

คนขับรถม้ายังคงชำเลืองมองเจ้าของเสียงที่อ่อนหวานอย่างต่อเนื่องไม่ขยับ แม้เธอจะสวมชุดสีดำทั้งหมดก็ตาม

เอลิเซียถอนหายใจและยื่นเหรียญเงินให้คนขับรถม้า

เธอกำลังจะไปที่สลัม เธอไม่ต้องการจะเกิดปัญหาอะไรทั้งสิ้น

“ฉันกำลังรีบ”

“ขอรับๆ”

ตั้งแต่เอลิเซียก้าวขาออกมาจากคฤหาสถ์ เธอรู้สึกได้ว่ามีใครกำลังจ้องมองอยู่ แต่ไม่สามารถระบุตำแหน่งได้

‘มันจะเป็นใครได้นะ? เรวอสคงเป็นไปไม่ได้แน่... แคสเซียนงั้นเหรอ?’

เธอกอดอกพลางครุ่นคิดอย่างหนัก มันไม่มีทางเลือกนอกจากตรวจสอบด้วยตัวเอง

‘ไม่นานมานี้ เรื่องของฉันกลายเป็นข่าวดังในเมืองหลวง หรือว่า..คนที่สะกดรอยตามฉันอยู่จะเป็นนักข่าว?’

ตราบใดที่ไม่กระทบกับภารกิจในวันนี้ เธอก็ไม่ต้องการก้าวขาออกไปค้นหาว่าใครเป็นใคร

ภารกิจในวันนี้สำคัญกว่ามาก

ถนนหนทางแย่ลงเมื่อพวกเขาเข้าสู่เขตชานเมืองของเมืองหลวง

***

หลังลงจากรถม้า เอลิเซียพยายามนึกถึงรายละเอียดต่างๆ ของต้นฉบับให้มากที่สุด

แต่เธอก็คิดอะไรไม่ออก นอกจากจำได้ว่า เป็นตรอกที่หันหน้าไปทางสลัม เธอคิดไม่ออกแม้กระทั่งคำบรรยายของสถานที่นี้

‘ดูเหมือนจะเป็นตรอกนี้นะ’

ถ้าลูเมียร์ผ่านมาและเห็นเหตุการณ์ลักพาตัวเข้า มันก็น่าจะเป็นบ้านที่อยู่ไม่ไกลจากปากทางมากนัก

วันนี้นางเอกจะถูกล้วงกระเป๋า เธอจึงหวังว่าเธอจะได้พบลูเมียร์อย่างที่ใจคิด

ขณะที่เอลิเซียกำลังกะด้วยสายตาของมนุษย์ (แวมไพร์กับมนุษย์ไม่เหมือนกัน) เธอก็เดินเข้าไปตามตรอก อาคารเก่าแก่เรียงรายอยู่รอบข้าง มันเก่ามากเสียจนเธอคงไม่แปลกใจ หากมันพังทลายลงมา

แม้จะเป็นช่วงเย็น แต่เธอกลับไม่เห็นใครสักคน มันแปลกมาก

ขณะที่เธอกำลังงุนงงเพราะตรอกเงียบเกินไป เธอก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแว่วๆ ผ่านหู

บ้านจะต้องเก่ากว่านี้ และต้องเป็นบ้านสองชั้น ซึ่งดูจะหายากในตรอกนี้

‘ฉันคิดว่าน่าจะเป็นที่นี่’

เสียงกรีดร้องของหญิงสาวยังคงดำเนินต่อไปพร้อมกับเสียงข้าวของที่แตกกระจาย

อาจเป็นเพราะแบบนี้ ถึงไม่มีใครอยู่บนถนนสักคน

เอลิเซียยิ้มอย่างขมขื่นและเปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบๆ

เธอนึกขึ้นได้ว่ามีใครบางคนสะกดรอยตามเธออยู่ เธอจึงร่ายเวทมนตร์ไว้ที่ประตูและเวทมนตร์กันเสียงทั่วทั้งบ้าน

บ้านหลังนี้ออกได้ แต่เข้าไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าคุณจะเป็นคนที่สามารถทำลายเวทมตร์ได้

“อย่านะ....!!”

“เลดี้ ข้าก็แค่พยายามสนุกด้วยแค่นั้น ข้าขอโทษที่มันดูโหดร้าย”

เอลิเซียรีบเดินเข้าไปด้านใน เธอมั่นใจว่านี่คือบ้านของสองพี่น้องนั่น และตอนนี้มันยังไม่สายเกินไป

เมื่อเธอเดินเข้าไปถึง เธอพบผู้หญิงคนหนึ่งที่ร่างเกือบเปลือยเปล่า มีดวงตาสีเขียวเข้มและผมสีน้ำตาลเข้ม

ชายคนหนึ่งด้านหลังกำลังจับแขนเธอ อีกคนอยู่ด้านหน้ากำลังจับข้อเท้า อีกสองคนอยู่ชั้นบน

เสียงปิดของบานประตูดังขึ้นพร้อมกับส้นรองเท้า ทำให้พวกเขาหันมองไปที่เอลิเซีย

“นั่นใคร!”

“สวัสดีค่ะ?”

เสื้อคลุมสีดำปกปิดใบหน้า แต่เสียงที่ทักทายออกมาเป็นเสียงของผู้หญิง

ดวงตาของชายผู้นั้นเปลี่ยนไปพร้อมน้ำเสียงทุ้มและนุ่มนวล

“เอ่อ ข้าไม่ยักรู้ว่ามีเพื่อนมาด้วยเหรอ?”

หากพวกเขาสังเกตเสื้อคลุมที่เธอสวมอยู่สักนิด คงจะไม่มีทางพูดว่าเธอเป็นเพื่อนกับน้องสาวของไรอันอย่างแน่นอน

เธอเดาะลิ้น

“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย!”

หญิงสาวหันไปทางเอลิเซีย ดึงข้อเท้าของตัวเองออกจากมือของชายหนุ่มร่างยักษ์

เมื่อเอลิเซียเปิดเผยใบหน้าตัวเอง ใบหน้าของชายพวกนั้นก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดง

‘หืม ทำไมน้องสาวของไรอันถึงต้องหน้าแดงด้วยละเนี่ย?’

เอลิเซียรู้สึกงงเล็กน้อย เมื่อเห็นหญิงคนนั้นจ้องมองที่ตัวเองแล้วอ้าปากค้าง

ต่อให้ไม่ว่าหญิงสาวผู้นั้นจะสังเกตเห็นว่าเอลิเซียเป็นขุนนางหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ใบหน้าของชายเหล่านั้นล้วนต่างแสดงออกถึงความรู้สึกผิดหวัง

‘ไม่เห็นจำเป็นจะต้องใช้เวทมนตร์เยอะแยะกับเจ้าพวกนี้เลย’

เอลิเซียร่ายเวทย์เป็นใบมีดแหลมคมเขวี้ยงใส่ชายคนหนึ่ง

“อ๊ากกกกกกกกก!”

ชายคนนั้นถูกโจมตี 2 ที่ ที่ต้นขาและไหล่ เขากรีดร้องแล้วล้มลงกับพื้น

ใบมีดเวทมนตร์หายไปหลังจากแทงเข้าร่างกายและทิ้งรอยแผลไว้

กลิ่นคาวเลือดคลุ้งทำให้มือของเอลิเซียขยับเร็วขึ้น

วันนี้เธองดอาหาร เธอจึงไม่อยากต้องใช้เวลานานมากนัก

ชายอีกคนถือดาบขนาดเท่าตัวเองปรี่เข้ามาหาเธอ

เธอเดาะลิ้นและร่ายเวทย์เหมือนก่อนหน้า

“อั้กก!”

เขาร้องแล้วล้มลง เอลิเซียเดินเข้าไปใกล้ชายคนนั้นแล้วยิ้มให้

“ร้องดังๆกว่านี้หน่อยสิ... อ๊ะ ฉันควรลองขึ้นไปเหยียบบนนี้ดูนะ?”

______________________________________________________________________

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด