ตอนที่แล้วบทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 8 บ้านของราชสีห์ผู้หยิ่งผยอง (Home of arrogant lion)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 10 อัญมณีที่มีชีวิตแห่งท้องทะเล (A living jewels of the sea)

บทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 9 เรารู้น้อยแค่ไหน (How little we know)


เรารู้น้อยแค่ไหน

 (How little we know)

“อย่าเสียงดังในร้านสิ ยัยสมองนก!” ขุนนางหนุ่มนั้นกล่าวด้วยนํ้าเสียงตะคอกขู่สร้างความไม่พอใจแก่สาวครึ่งนกผู้ถูกต่อว่าอย่างมาก

   ฮึ่ม!  ลีอาสะบัดหน้าหนีพร้อมเค้นเสียงในลำคออย่างไม่หงุดหงิด เธอไม่คิดจะพูดขอโทษแต่อย่างไร กลับกันลีอานั้นแสดงท่าทีเหมือนเด็กสาวเอาแต่ใจ แต่ว่าชายหนุ่มผู้เป็นคนดุก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะง้อ ตัวเขาไม่ได้ผิดเสียหน่อย ทำไมต้องไปเอาใจใส่กับเรื่องแค่เนี่ยกัน?

“ลีอา… เธอลืมฉันที่นั่งอยู่ตรงหน้าไปได้ยังไง มารยาทในที่สาธารณะนั้นสำคัญมากช่วยจำหน่อยจะได้ไหม… สงสัยฉันคงต้องอบรมพิเศษเธอเพิ่มนะ” แอเรียลกล่าวด้วยสำเนียงอ่อนหวานนุ่มนวล แต่ใจความนั้นประชดประชันแผงด้วยความนํ้าเสียงที่เย็นเหมือนภูเขานํ้าแข็ง

“อ่ะ! ลีอาขออภัยค่ะ คุณหญิงแอเรียล” เธอชะงัก “จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแน่นอนค่ะ” สิ้นเสียงเธอก็ก้มหัวเล็กน้อย ก่อนจะเดินคอตกเข้าไปร่วมโต๊ะกับทั้งสองคน แต่ขณะที่ลีอากำลังจะนั่งฝั่งตรงข้าม แอเรียลก็ยิ้มเบาๆพร้อมตบที่นั่งข้างๆของเธอเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าให้ลีอามานั่งตรงนี้แทน ลีอาไม่แม้แต่จะคิดว่าหญิงสาวต้องการอะไร ร่างกายของเธอก็รีบเข้าไปนั่งข้างๆหญิงผู้ที่เธอเคารพรัก

“สมควรแล้วที่จะโดนดุ เอานี่ฉันสั่งเค้กไว้ให้” ไม่ทันได้ตั้งตัว จากเด็กสาวที่น่าสงสารก็กลายเป็นร่าเริงอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ

“ระหว่างกินฉันอนุญาตให้พูดได้นะ” แอเรียลลูบหัวลีอาด้วยความเอ็นดู

ส่วนสูงของสายพันธุ์ฮาร์พีนั้นไม่ได้มีความสูงมากนัก ถ้าจะให้ภาพในหัว ร่างกายของฮาร์พีส่วนมากนั้นเหมือนเด็กอย่างมาก เมื่อพวกเธออายุเต็มวัยจะเท่ากับวัยรุ่นแรกของมนุษย์ ไม่ก็มีส่วนสูงที่เท่ากับวัยทำงานของหญิงสาวทั่วไปซึ่งก็หาได้ยากอย่างมาก ส่วนลีอาที่อายุน้อยกว่าแอเรียลและชอมเบิร์ก ตัวเธออยู่วัยกำลังโตส่วนสูงของเธอเพียง 119 ซม. เท่านั้น เรียกได้ว่าเด็กสาวก็ยังได้

“ขอบคุณค่ะ” ลีอาเอ่ยขอคุณอย่างไร้เดียงสา

เธอพยายามใช้ปีกทั้งสองข้างหยิบจานขึ้นมาจนทำให้เค้กในจานนั้นเอียงจนเกือบตกลงบนโต๊ะ สุดท้ายลีอาก็วางเค้กลงก่อนจะเอาหน้าเข้าไปใกล้ๆเค้ก แต่ก็ถูกหญิงสาวข้างหลังดักเอาไว้เสียก่อน

ลีอาฉันรู้ว่าใช้ปีกจับสิ่งของมันลำบากจริง แต่ถ้ายังไม่ถนัดก็ควรให้ฉันป้อนนะ 

“แฮะๆ ขอความกรุณาด้วยค่ะ”

แอเรียลป้อนเค้กป้อนนกน้อยบนตักของเธออย่างช้าๆ เธอรอให้ลีอาที่กำลังกินเค้กอย่างมีความสุข ก่อนจะกล่าวถามนกน้อย “แล้วเป็นไงบ้างกับเครื่องจักรใหม่จากสำนักพิมพ์แกรนด์เฮสซิเชอร์?”

“ลีอาไม่เคยเห็นแท่นพิมพ์เหล็กที่สามารถพิมพ์หนังสือได้รวดเร็วแบบนี้มากก่อนเลย!” เธอชะงัก “ต้องขอบคุณแกรนด์เฮสซิเชอร์จากแบร์นฮาร์ท ลีอาคาดว่าโครงการสำนักพิมพ์วิตอเรียสามารถขจัดขจายหนังสือพิมพ์ได้ทั่วลีโอแน่นอนค่ะ!” ลีอากล่าวอย่างภูมิใจ

“ฉันคิดว่าแกรนด์เฮสซิเชอร์จะไม่ยอมขายเครืองพิมพ์ให้เสียอีก? โครงการที่ลอกเลียนแบบชาวแบร์นฮาร์ทแบบนั้นใครๆก็ไม่อยากช่วยคู่แข่งใช่ไหมล่ะ” ขุนนางหนุ่มกล่าวถามหญิงตรงหน้า หากเขาจำไม่ผิดไอเจ้าสำนักพิมพ์ที่ว่านั้น เขียนหนังสือและตีพิมพ์เผยแพร่ในราคาถูกจนเรียกว่าใครๆก็สามารถเข้าถึงได้ จู่ๆจะมีคนมาลอกเลียนแบบแล้วมาขอเครืองมือที่ตนใช้อยู่ ก็ต้องไม่มีใครอยากให้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

“พวกเขายอมให้จริงๆนะ! ลีอารู้ว่ามันแปลก แต่ลีอาสืบค้นข้อมูลคร่าวๆมาแล้ว” ลีอาหยุดชะงักเพราะท่านหญิงข้างหลังตักเค้กป้อนให้เธอเสียก่อน เมื่อกินหมดไปคำหนึ่งเธอก็กล่าวต่อ “สำนักพิมพ์แกรนด์เฮสซิเชอร์ไม่ได้ขึ้นตรงกับกระทรวงใดๆ แต่เป็นเอก- ลีอาไม่แน่ใจว่าชาวแบร์นฮาร์ทเรียกกันว่าอะไร… แต่ว่ามันคล้ายๆกับที่พวกพ่อค้าเป็นคนก่อตั้ง!”

ชายหญิงทั้งสองที่ได้ฟังคำพูดจากปากของฮาร์พีน้อย ต่างพากันแสดงสีหน้าแปลกใจกับเรื่องที่กล่าวมา ใครจะไปคิดว่าจักรวรรดิที่ป่าเถื่อนจะเปิดพื้นที่กว้างกว่าที่คิด ขนาดสำนักพิมพ์ที่ลอกเลียนแบบยังเป็นของราชการเลย ในครั้งแรกที่เคยได้ยินชื่อเสียงของสำนักพิมพ์ตอนอยู่ในสถาบันการศึกษาแห่งฟาโรร่า ทั้งสองก็คิดว่าแกรนด์เฮสซิเชอร์เป็นของราชวงศ์ด้วยสำ หรือว่าสำนักพิมพ์นั้นควรเป็นของพวกพ่อค้ากัน?

“พวกเราพลาดเรื่องข้อมูลของเพื่อนบ้านบนทวีปนี้จริง ฉันน่าจะคุยกับวิลเลียมตั้งแต่จบการศึกษาจริงๆ” แอเรียลกล่าวอย่างจนปัญญา ก่อนจะพูดรําลึกความหลัง แต่ก็ถูกขัดโดยชายตรงข้ามกับเธอ

!!ทุบ “เจ้าบ้านั้นไม่รู้เรื่องอะไรหรอกครับ!” ตามด้วยเสียงนํ้าเสียงคำรามสนับสนุน “ใช่ๆ วิลเลียมชอบรังแกลีอา!”

เฮ้อ… “พวกเธอไม่เข้ากับวิลเลียมสักที อย่างน้อยเขาก็เป็นชายที่พึ่งพาได้ ยกเว้นเรื่องเรียนอ่ะนะ”

ชอมเบิร์และลีอาต่างหัวเราะกับคำพูดนินทาของแอเรียล ยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นภาพชายผู้ชื่อวิลเลียมหนีเรียนไปนอนกลางวันอยู่ที่ไหนสักแห่ง พอถึงเวลาทดสอบก็ก้มหน้าก้มตาขอร้องให้ช่วยเหลือเรื่องที่เรื่องไม่ทัน เป็นชายที่เรียกได้ว่าไม่สนใจเรื่องเรียนจนเป็นปัญหาก็ว่าได้ ท้ายที่สุดหัวข้อเรื่องงานก็กลายเป็นการคุยรำลึกความหลังในสถาบันการศึกษาแทน ทั้งสามต่างคุยกันจนลืมเรื่องอื่นไปจนหมด อย่างน้อยพวกเธอก็รู้สึกคลายเครียดกับการสนทนาบนโต๊ะแห่งนี้…

……

.

.

.

.

.

.

1 กุมภาพันธ์ ศักราชแห่งอองโทรานที่ 3925

กองเรือขนส่งจากอาริกาเซียหลังจากเติมเสบียงจากกองโจรใบเรือดำก็ได้เดินทางด้วยความเร็วคงตัว เข้าสู่น่านนํ้าของมหาอำนาจสหจักรวรรดิลีโอเนียที่ยิ่งใหญ่ เรือชั้นต่างๆจอดเข้าท่าเรืออย่างช้าๆ ท่าเรือแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของฐานทัพเรือเมืองเบอร์เกนหนึ่งในหัวเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนลีโอ เรือธงของขบวนขนส่งเคลื่อนตัวเข้าท่าจอด เสียงหวูดเรือดังกึกก้อง เป็นการบอกกล่าวบัดนี้กองกำลังจากโลกใหม่หวนคืนสู่บ้านเกิดเป็นที่เรียบร้อย

ชายหนุ่มหน้าหวานผู้มีนามว่าดักลาสจับจองมองไปยังเมืองท่าที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์ ต่างกับเมืองบอสตันที่สามารถนับเผ่าพันธุ์ได้ หากมองไปบนฟ้าก็จะพบสิ่งมีชีวิตที่คล้ายมนุษย์บินอยู่บนท้องฟ้าและเมื่อมองไปยังนํ้าทะเลก็พบเจอมนุษย์ครึ่งปลา หากเป็นโลกเดิมแล้วสิ่งที่ลาสเห็นนั้นคืออมนุษย์ตามความเชื่อนิยายปรัมปรา หากเขาเอาเรื่องที่เห็นกับตาไปเล่าแล้วคงจะถูกหาว่าเป็นบ้าแน่ๆ

‘ สมกับเป็นดินแดนแห่งแฟนตาซีจริงๆ ’ ชายหนุ่มคิดในใจ

ขณะที่ลาสกำลังหลงใหลเลอะเลือนอยู่ในห้วงความคิดส่วนตัวอยู่นั้น เฟลิเซีย สกาเล็ต คุณหนูแห่งตระกูลสกาเล็ตก็เดินมายื่นข้างๆของชายหนุ่ม ไม่มีใครเอ่ยกล่าวอะไรตั้งแต่ที่กองเรือเดินทางเข้าใกล้ทวีปอัลชลาฟไวส์ ทั้งสองต่างหมกมุ่นอยู่กับการสัมผัสบรรยากาศทีี่สวยงามของเมืองท่าแห่งนี้อยู่ มองไกลๆจากอีกฝั่งของมหาสมุทรก็สามารถเห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองได้ และยิ่งได้มาเห็นกับตาทั้งสองข้างในระยะใกล้ก็เป็นอันต้องตะลึงกับความสวยงาม ทั้งสองต่างยื่นมองสถาปัตยกรรมของเมืองท่าด้วยความตื่นเต้น ขนาดที่ว่าเมืองหลวงบอสตันไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้แม้แต่น้อย

“ถ้าแค่เมืองท่ายังยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เมืองหลวงคงไม่เป็นสวรรค์บนดินเลยหรือ?” ลาสเอ่ยอย่างติดตลกพร้อมยิ้มเบาๆ

“ถ้าหากเราเป็นได้อิสรภาพแล้ว พวกเราเองก็สามารถสร้างสรวงสวรรค์ได้เช่นกัน!  ” เฟลิเซียกล่าวตอบด้วยเสียงทุ้มแฝงไปด้วยอุดมการณ์ของเธอ

“ผมก็หวังว่าอิสรภาพที่คุณหนูโหยหาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง” ลาสชะงัก “หากเป็นไปได้ผมก็อยากได้อิสรภาพที่ได้โดยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อผู้ใด ไม่ว่าจะชาวอาณานิคมหรือชาวลีโอ” ประวัติศาสตร์ของการเรียกร้องอิสรภาพนั้นไม่น่าอภิรมย์มากนัก ไม่ว่าจะใช้กำลังต่อต้านหรือต่อให้เลือกไม่ใช้ความรุนแรงก็มีคนตายเพราะถูกปราบปรามอยู่ดี จะทางไหนก็ประชาชนก็รับเคราะห์อยู่ดี ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะปฏิรูปอย่างช้าๆตามหลังสหจักรวรรดิยังจะดีกว่า

“การเจรจาระหว่างเจ้าอาณานิคมมันเป็นไปไม่ได้หรอก เจ้าเป็นคนบอกเองมิใช่หรือ?”

“ก็ไม่เชิงครับ” ลาสตอบอย่างรวดเร็ว เขาไม่อยากจะพูดถึงเรื่องการให้เอกราช[1]สุดจะไร้ความรับผิดชอบในโลกเก่า ยิ่งคิดถึงความวุ่นวายหลังได้รับเอกราชของอดีพอาณานิคมในประวัติศาสตร์ก็ยิ่งปวดหัว

เมื่อเรือที่ทั้งสองอยู่ค่อยๆเคลื่อนตัวจอดเทียบท่า ลาสและเฟลิเซียต่างแยกย้ายเตรียมตัวเข้าตัวเมืองท่าทันที เหล่าเจ้าหน้าที่ข้าราชการและขุนนางต่างพากันรอนายทหารชั้นสูงและผู้แทนจากอาณานิคมเดินลงจากเรือเหล็กกล้า

เซอร์ กาย ดิ ดับลินท์และสุภาพสตรี เฟลิเซีย สกาเล็ต เดินคู่กัน โดยมีพันโทแดเนียลและผู้แทนอาณานิคมเดินตามหลังมา ขุนนางต่างๆพากันต้อนรับพันเอกกายอย่างรวดเร็วด้วยเหตุผลการเข้าหาเพื่อผลประโยชน์ของตน แต่พันเอกกายก็หันไปคุยกับผู้หญิง(?)อาณานิคมแทน ซึ่งมันทำให้ผู้ที่พยายามทักทายขายหน้ากันไปทั่ว

สายของเหล่าขุนนางชายหญิงต่างจับจ้องไปยังชาวอาณานิคมผู้ซึ่งเป็นตัวแทนของอาณานิคมเขตที่ 6 พวกเขารู้ว่าหญิงข้างๆเซอร์กายนั้นเป็นคู่หมั้น ฉะนั้นอีกคนก็น่าจะเป็นผู้แทนที่ถูกแต่งตั้งโดยสภาสูง หน้าต่างที่ดูยังไงก็เป็นหญิงสาว ส่วมหมวกไทรคอร์นติดขนนกสีขาว ส่วมชุดที่ทำจากฝ้ายแบบชาวอาณานิคม แม้ว่าสายตาของขุนนางบางกลุ่มนั้นจะมองด้วยความรังเกียจไม่พอใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าขุนนางที่ถูกพันเอกเมินเฉย อย่างไรก็ตามมีขุนนางหลายคนก็ต้องการที่จะเข้าไปพูดคุยกับตัวแทนอาณานิคมพอสมควร

พันเอกกายที่ยื่นเอกสารให้ลาส หันกลับมากล่าวกับเหล่ากลุ่มขุนนาง “หากพวกคุณต้องการที่จะพูดคุยก็ให้ไปที่คฤหาสน์เจ้าเมืองแทน ไม่ใช่มาคุยเรื่องสำคัญในสาธารณะ” เขาชะงัก “ช่วยทำตัวให้เหมือนขุนนางแห่งลีโอนะครับ”

“เช่นนั้นผมขอตัวก่อน” สิ้นเสียงพันเอกกายและกลุ่มของเขาพากันเดินผ่านขุนนางอย่างไร้เยื่อใย

ไม่นานนักเหล่านายทหารชั้นสูงต่างแยกตัวไปทำหน้าที่ของตน เหลือไว้เพียง พันเอกกาย เฟลิเซีย ดักลาส และ พันโทแดเนียล ซึ่งรอรถม้าเดินทางไปศาลากลางเมืองเบอร์เกน

ลาสใช้สายตาสาดส่องมองไปทั่วๆตัวเมือง ตึกที่ไม่สูงมากเรียงกันมากมาย แต่สิ่งที่ลาสสนใจยิ่งกว่าชาวเมืองหลากหลายเผ่าพันธุ์ก็คือ ควันสีขาวบ่นดำที่ลอยอยู่จากที่ห่างไกลตัวเมือง หากเป็นคนอื่นคงคิดว่าเป็นควันไฟบ้านเรือน แต่สำหรับลาสแล้วมันคือควันจากโรงงานอุตสาหกรรม ใช่แล้วอุตสาหกรรม! ร่างกายของลาสรู้สึกตื่นเต้นอย่างช่วยไม่ได้ ดินแดนแห่งนี้ช่างต่างกับอาริกาเซียเหลือเกิน

ขณะที่กำลังเพลิดเพลินอยู่ในห้วงความคิด เสียงเรียกถามของผู้ชายคนหนึ่งก็ได้ดังขึ้น

“คุณคือ พันเอก กาย ใช่ไหมครับ?” ทั้งสี่คนต่างหันไปหาเสียงที่ว่าก็พบกับขุนนางชั้นสูงคนหนึ่งที่เดินเข้าหาพวกเขาอย่างไม่รีบร้อน

“ใช่นั้นผมเอง แล้วคุณคือ?”

“เอิร์ล ชอมเบิร์ก แอเชอร์ แห่งริชาร์ดเบิก เรามีเรื่องที่จะอยากคุยเป-” เขาหยุดชักงักเล็กน้อยมองไปยังเพื่อนร่วมทางของพันเอกกายสักครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “เป็นการส่วนตัวสักหน่อยครับ”

“ขออภัยท่านเอิร์ล แต่ผมจำเป็นต้องไปรายงานตัวกับท่านเจ้าเมืองที่ศาลากลาง หากเป็นไปได้หลังเสร็จงานแล้วจะได้ไหมครับ” พันเอกกายเปลี่ยนนํ้าเสียงถ่อมตัวเมื่อรู้ว่าชายตรงหน้ามีบรรดาศักดิ์มากกว่าตน และน่าจะเป็นหนึ่งในสภาสูง

“งั้นเป็นคุยระหว่างทางแทนดีไหม แต่คงต้องแยกกับคนของคุณ” เอิร์ล ชอมเบิร์กชี้ไปยังรถม้าส่วนตัวของเขาก่อนจะกวักมือเรียกพันเอกแยกตัวออกจากทั้งสามคน

“ท่านหญิงแอเรียลต้องการติดต่อกับคุณ… ไม่ต้องกังวลว่าทางกองทัพผมคุยกับขุนนางระดับสูงในสภาให้แล้ว ลาพักสักสัปดาห์ก็ยังได้” พันเอกกายได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขาเคยคิดว่าพวกสภาสูงจะทำอะไรก็ได้ แต่พอมาเจอจริงๆแล้วก็ยังไม่ชินอยู่ดี เขาไม่ชอบพวกสภาสูงจริงๆ พันเอกคิดในใจ ท้ายที่สุดเขาก็พยักหน้าตกลงกับเอิร์ลชอมเบิร์ก แต่ก่อนที่ขุนนางหนุ่มจะเดินไปรอข้างในรถม้าของเขา

เขากระซิบถามออกมาเบาๆ

สถานการณ์ในเมืองหลวงถึงขั้นย่ำแย่สุดๆแล้วใช่ไหมครับ?

เอิร์ลชอมเบิร์กพยักหน้าก่อนจะแยกตัวไปรอพันเอกที่รถม้าส่วนตัว

เมื่อเสร็จธุระพันเอกกายก็กล่าวขอโทษคนรักของตน “เอาไว้พรุ่งนี้ จะพาไปเยี่ยม- ไม่สิไปเที่ยวบ้านเกิดผมนะเฟลิเซีย วันนี้ก็ลองเดินดูเมืองเบอร์เกนไปก่อนอยากได้อะไรก็ซื้อได้ผมจะให้เงินเอาไว้”

สิ้นเสียงเขาก็ยื่นถุงเงินให้เฟลิเซียก่อนจะหันไปหาชายอีกสองคน

“พันโทถ้าหากไม่มีงานอะไรฝากดูแลเฟลิเซียด้วย หรือไม่ก็หาคนคุมให้เธอ เข้าใจไหม” แดเนียลส่ายหน้ากับความห่วงใยคู่หมั้นของหัวหน้าของเขาก่อนจะตอบรับทราบคำสั่ง

“ส่วนนาย ลาส นายไปรอที่ศาลากลาง จะมีขุนนางจากกองทัพเธอชื่อโรซาลินด์ แคมเดน จากกองทหารรักษาการณ์ เธอจะแนะนำสถานที่ให้ ถ้าเสร็จแล้วนายจะไปไหนก็ได้ จะเยี่ยมเยียนทหารใต้อำนาจของนาย หรือจะเดินชมเมืองก็ไม่มีใครว่า ถ้าจะเที่ยวก็อย่างลืมไปกับเฟลิเซีย ฉันเชื่อว่านายเป็นเพื่อนที่ดีกับเธอได้แน่นอน” เขาชะงัก “เอาล่ะ ดักลาส แมรี่แลนด์…” พันเอกกายทําความเคารพก่อนจะกล่าวด้วยนํ้าเสียงที่จริงจัง

“ร้อยเอก ดักลาส ต่อไปนี้คุณไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจผมแล้ว แต่อย่าได้ลืมว่าตัวตนของตัวเองเป็นใครมาจากไหน จงรับใช้สหจักรวรรดิลีโอเนียต่อไปจนกว่าจะจบสงคราม และยินดีต้อนรับสู่อัลชลาฟไวส์”

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

[1] การให้เอกราช (Decolonization) คือการที่เหล่าเจ้าอาณานิคมเริ่มที่จะให้อิสรภาพในการตั้งรัฐบาลปกครองตัวเองของอาณานิคม และการล้มล้างลัทธิล่าอาณานิคม ผ่านการเมืองและข้อตกลงต่างๆ หรือผ่านการต่อสู้ ตัวอย่างเช่น ล่มสลายของจักรวรรดิอังกฤษและจักรวรรดิฝรั่งเศสหลังสงครามโลก หรือ การล่มสลายของจักรวรรดิสเปนในคริสต์ศตวรรษที่ 19

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด