ตอนที่แล้วKill the Dragons ตอนที่ 1 : สถาบันฝึกไซเกอร์ ‘อาร์ค’
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปKill the Dragons ตอนที่ 3 : เด็กพลังจิต (3)

Kill the Dragons ตอนที่ 2 : เด็กพลังจิต (2)


บนเกาะจำลองที่ตั้งอยู่สักมุมหนึ่งในมหาสมุทรแปซิฟิก

สมาชิกอาวุโสของคณะรัฐมนตรีและกองกำลังทหารแอบพบปะกันอย่างลับ ๆ เป็นครั้งคราวเพื่อเปลี่ยนพิกัดของเกาะจำลองแห่งนี้ สถานที่ซึ่งไซเกอร์ อาวุธลับสุดท้ายของมวลมนุษย์กำลังฝึกฝนกันอย่างหนัก

อาร์ค เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง ในเวลาเดียวกันก็เป็นแหล่งรวมความขัดแย้งและการแก่งแย่งอำนาจระหว่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง

วู่มมมม–

อีฮันสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเครื่องจักรทำงาน ทิวทัศน์ด้านนอกเปลี่ยนไปแล้ว จากที่มีเพียงมหาสมุทรไกลสุดลูกหูลูกตา เริ่มมีสิ่งก่อสร้างสีเทาเข้ามาให้เห็นประปรายด้านล่าง

นี่คือเกาะที่มนุษย์สร้างขึ้น และเกาะนี้เองคืออาร์ค

“ตื่นได้แล้ว!”

ผู้พันคังตะโกนเสียงลั่น เด็กน้อยใหญ่สะดุ้งตื่นขึ้นมาขยี้ตาป้อย ๆ

จำนวนประชากรโลกลดลงมากจากสงครามครั้งล่าสุด ทำให้สหประชาชาติต้องร่วมมือกัน ถึงกระนั้นก็ยังหาเด็กที่เป็นไซเกอร์ได้แค่ 21 คน ยิ่งไปกว่านั้นกว่าครึ่งยังมีแนวโน้มจะถอนตัวเพราะทนการฝึกอันแสนสาหัสที่อาร์คไม่ไหว

‘ให้ตายสิ จำนวนเด็กไซเกอร์พวกนี้น้อยลงทุกปี’

ผู้พันคังแค่นหัวเราะ

ไซเกอร์ที่อายุถึงเกณฑ์ถูกส่งตัวเข้าอาร์คไปหมดแล้ว เด็กที่ฉายแววความสามารถ พออายุได้ 5-6 ปีก็ถูกส่งเข้าฝึก บางคนถูกพาตัวไปตั้งแต่ยังไม่รู้ประสีประสาด้วยซ้ำ

เด็กกลุ่มนี้อาจจะเป็นไซเกอร์รุ่นสุดท้ายที่หาได้ในช่วงเวลานี้

‘ฉันก็ไม่ได้เห็นด้วยนักหรอกนะที่จะใช้เด็กเป็นอาวุธแบบนี้ แต่พวกเราจำเป็นต้องทำทุกวิถีทางเหมือนกัน’ ผู้พันคังชำเลืองมองเด็ก ๆ ‘ยังไงซะก็คงไม่มีใครคาดหวังกับเด็กที่เพิ่งเข้ามาพวกนี้นักหรอก’

เหลือเวลาอีกแค่ 3 ปีก่อนสงครามจะเริ่มต้นอีกครั้ง เด็กไซเกอร์จำเป็นต้องใช้เวลาบ่มเพาะร่างกายและความสามารถ นี่อาจเป็นปีสุดท้ายที่จะสามารถฝึกเด็กไซเกอร์ให้ทันใช้งาน หลังจากนี้ไม่ว่าจะเจอเด็กที่มีพลังมากแค่ไหนก็คงไม่เหลือเวลามากพอให้ฝึกฝนได้อีก

‘ต้องฝากอนาคตไว้กับเด็กพวกนี้แล้ว’

ผู้พันคังเหลือบมองอีฮัน เด็กชายที่ห้าวหาญเกินวัย

‘แต่เด็กที่อยู่ระดับ D แบบเขาก็แทบไม่ต่างจากคนทั่วไปที่ไร้พลังนั่นแหละ ไอ้เด็กนี่จะมีโอกาสเป็นไซเกอร์ที่เก่งกาจได้รึเปล่าหรอก…’

ไม่นานหลังจากนั้นเครื่องก็ลงจอด

เจ้าหน้าที่ประจำอาร์ครอให้ผู้พันคังตรวจสอบทุกอย่างให้เสร็จสิ้นอีกครั้ง เมื่อทำเรื่องส่งตัวเสร็จเรียบร้อย ผู้พันคังก็ย่างเท้ากลับเข้าไปในเครื่องบิน

เด็กหลายคนน้ำตารื้นขึ้นมาเมื่อมองไปรอบตัว พวกเขาอยู่ไกลจากบ้านเกิดเหลือเกิน ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นเพียงทะเลไม่มีที่สิ้นสุด แม้แต่จุดที่ไกลลับสายตาก็ยังไม่เห็นวี่แววของเมืองที่พวกเขาจากมา

“เราต้องทำให้ดี น้อง ๆ จะได้อยู่สบายไปทั้งชีวิต” อีฮันพึมพำกับตัวเอง พยายามข่มความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เอ่อล้นในใจ

สำหรับเขา ไม่ว่าจะเป็นมังกรหรือสงครามก็ล้วนเป็นเรื่องที่ไกลเกินจับต้อง สิ่งสำคัญคือการที่น้อง ๆ ได้อยู่กินสุขสบาย แม้แต่ละคนจะเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแม้แต่น้อย แต่พวกเขาก็ผ่านช่วงเวลายากลำบากมาด้วยกันราวกับเป็นครอบครัวแท้ ๆ

‘เราเป็นพี่โตนะ จะมาเสียเวลาร้องไห้ไม่ได้ เราจะต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้’

อีฮันย้ำกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า

เจ้าหน้าที่ประจำอาร์คตรวจสอบเอกสารแล้วเดินสำรวจเด็กทีละคนอย่างละเอียด ราวกับกำลังศึกษาตัวอย่างสัตว์ประหลาดก็ไม่ปาน เด็กส่วนใหญ่ไม่ทันรู้ตัวว่าโดนจับตามองอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว แต่อีฮันคอยสังเกตท่าทีของผู้ใหญ่ทุกคนในที่นี้เงียบ ๆ อยู่คนเดียว

“เข้ามาเลยเด็กใหม่ทั้งหลาย” ชายในชุดกาวน์สีขาวสะอาดสะอ้านพูดเสียงดัง พร้อมอ้าแขนเชิญชวน “ได้เวลาตรวจสุขภาพแล้ว”

ก่อนที่จะเข้าสู่อาร์คอย่างเป็นทางการ ทุกคนต้องเข้ารับการประเมินร่างกายและสุขภาพจิต รวมถึงประเมินระดับพลังจิตด้วย

แม้ว่าเด็กแต่ละคนจะเข้ามาพร้อมข้อมูลจากหน่วยงานที่รับผิดชอบอยู่แล้ว แต่ข้อมูลส่วนใหญ่ทั้งผิดพลาดและเกินจริงจนไร้ความน่าเชื่อถือ เพราะพวกเขายินดีทำทุกหนทางเพื่อเพิ่มจำนวนไซเกอร์ในประเทศให้ได้มากที่สุด

“เฮ้อ คนเรามันสิ้นหวังถึงขนาดส่งระดับ D เข้ามาแล้วสินะ”

“ไม่เกี่ยวหรอกน่า ฝึก ๆ ไปเดี๋ยวระดับก็สูงขึ้น แค่มีพลังจิตก็ถือว่าโอเคแล้ว”

การเข้าร่วมกองทหารไซเกอร์ต้องมีพลังอยู่ที่ระดับ B เป็นอย่างต่ำ เช่นเดียวกัน ไซเกอร์ที่จะแสดงพลังออกมาได้ ส่วนใหญ่ก็ต้องอยู่ระดับ B ขึ้นไป

แต่การเข้าร่วมสงครามเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไซเกอร์ที่อยู่ระดับ A เท่านั้นจึงจะสามารถใช้พลังจิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าร่วมสงครามได้

มีเพียงคนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมกองทัพไซเกอร์ได้เป็นกรณีพิเศษแม้ว่าจะอยู่ต่ำกว่าระดับ B แต่นั่นเป็นเพราะเขามีพลังจิตที่เป็น ‘ข้อยกเว้น’ ส่วนใครที่ไม่ผ่านคุณสมบัติเป็นทหารไซเกอร์ก็อย่าได้หวังสิทธิพิเศษใด ๆ

“แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ระดับ D จะผ่านคุณสมบัติ”

“ก็แค่ แทบ ไม่ได้แปลว่าเป็นไปไม่ได้นี่”

อีฮันรู้ตัวว่าตกเป็นเป้าของบทสนทนา เขาไม่ได้ตอบโต้กลับไป แต่ตะโกนเถียงอยู่ในใจ ‘ฉันไม่ยอมแพ้หรอก ฉันจะทนให้ได้’

คนแล้วคนเล่าผ่านไป จนในที่สุดการประเมินก็เสร็จสิ้น ผู้ประเมินวางมือจากเอกสารก่อนจะเดินนำพวกเขาเข้าไปยังที่พัก

พวกเด็ก ๆ แสดงท่าทีกระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด เพราะต่างคนต่างไม่มีใครรู้จักกัน จนกระทั่งผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งเข้ามาจัดระเบียบ แยกพวกเขาตามเชื้อชาติและสังกัดที่ส่งเข้ามา

แม้ทั้งโลกจะเคยจับมือกันสู้กับศัตรูที่มีร่วมกัน แต่เมื่อศัตรูหายไป มือที่จับไว้ก็คลายลงตามไปด้วย ความแตกต่างทางเชื้อชาติที่ฝังรากลึกถึงกระดูกก็พุ่งสูงกลับมาเหมือนกำแพง

“ดูนั่น คนญี่ปุ่นอะไรตัวดำปี๋เลย ตลกชะมัด”

เด็กชายชาติพันธุ์มองโกลอยด์ยืนเด่นอยู่กลางดงเด็กที่ถูกคัดเลือกจากสหภาพเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ท่ามกลางเด็กทั้งหมด มีเขาคนเดียวที่ผิวสีดำ

การแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ตอนนี้เขากลับเข้ากับที่ไหนไม่ได้เลย

“ไม่เห็นตลกตรงไหน” อีฮันพึมพำ ลุกขึ้นตรงไปหาเด็กที่เป็นเป้านินทา

เขาเริ่มแนะนำตัวก่อน “ฉันชื่ออีฮัน นายล่ะ?”

“คุโระ” เด็กผิวดำพึมพำตอบ

“คุโระที่แปลว่าสีดำน่ะหรอ นั่นชื่อจริงของนายหรอ”

“เปล่าหรอก แค่ชื่อที่ทุกคนเรียกน่ะ”

คุโระผิวดำแต่เป็นคนญี่ปุ่น เขาเองก็เป็นเด็กกำพร้าจากสงครามเหมือนกัน ทั้งสองจึงเข้าหากันได้ไม่ยาก

เด็กที่เกิดหลังการรวมตัวของสหภาพเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือล้วนพูดได้ทั้งภาษาเกาหลีและญี่ปุ่นคล่องราวกับเป็นภาษาแม่ ส่วนภาษาจีนยากเกินไปจนหลายคนเลี่ยงที่จะใช้มัน

“ชื่อฮัน นามสกุลอีใช่ไหม” คุโระถามด้วยความสงสัย

“ไม่รู้สิ ฉันอาจจะชื่ออีฮัน แล้วไม่มีนามสกุลก็ได้ ตอนที่ถูกทิ้งไว้ที่สถานเด็กกำพร้าก็มีแค่กระดาษเขียนชื่อนี้ทิ้งเอาไว้”

อีฮันเล่าพลางนึกถึงสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เขาเติบโตมา ที่นั่นไม่มีอะไรนอกจากหนี้กับหนี้จนสุดท้ายก็ถูกยึดไป อีฮันกับเด็กคนอื่นไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกมาใช้ชีวิตข้างถนน

“เห้ย ดูไอ้ลิงเหลืองกับไอ้เด็กดำนั่นอยู่ด้วยกันสิ นึกว่าอาร์คเป็นถังสีให้มานั่งเล่นหรือไง” เด็กจากสหภาพยุโรปหัวเราะกันคิกคัก

ถึงพวกเขาจะพูดเป็นภาษาอังกฤษแต่เด็กส่วนใหญ่ก็ฟังเข้าใจ เพราะทุกคนได้เรียนภาษาอังกฤษเบื้องต้นกันมาตั้งแต่ยังไม่รู้ความ

“แล้วมันจะทำไม หา?”

เด็กชาวจีนคนหนึ่งลุกพรวดขึ้นมาตะคอกเสียงสูง เขาไม่ชอบใจนักที่เห็นอีฮันกับคุโระอยู่รวมกลุ่มกัน แต่ก็ทนไม่ได้เหมือนกันที่จะโดนพวกคนขาวดูถูก

“เฮอะ ฉันไม่เหมือนพวกกระจอกอย่างพวกแกที่ถูกพามาไม่รู้เรื่องรู้ราวซะหน่อย ฉันน่ะฝึกเป็นไซเกอร์ตั้งแต่เกิดแล้ว”

เด็กผิวซีดปากดีคนนั้นดีดนิ้วหนึ่งที ทันใดนั้นรองเท้าที่ใครสักคนถอดไว้ก็ลอยขึ้นบนอากาศ แล้วพุ่งเข้ากลางหน้าของเด็กจีนดัง ปั้ก!

“อึ่ก!”

เขาไม่ได้ร้องเพราะเจ็บ แต่เพราะทึ่งที่ฝ่ายตรงข้ามควบคุมพลังได้อย่างเป็นธรรมชาติมากกว่า มันเป็นข้อพิสูจน์อย่างดีว่าเด็กผิวขาวคนนี้ได้รับการฝึกฝนมาแล้วจริง ๆ

“ฉันชื่อไซมอน เดลล์ จำไว้ให้ดีล่ะ คิกคิก”

อีฮันเองก็ตกใจไม่น้อยที่ได้เห็นพลังจิตด้วยตาตัวเอง

แม้ว่าพลังจิตเคลื่อนย้ายจะเป็นความสามารถพื้นฐานที่สุดของไซเกอร์ แต่ในปัจจุบันก็ยังมีแค่ไม่กี่คนที่ควบคุมพลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ดังใจ



0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด