ตอนที่แล้วบัลลังก์โลหิต
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปกลับจากการแข่งขัน

เซราฟ ดาร์เซีย


“ดีนะที่ข้าผสมเลือดของข้ารวมไปกับเลือดของพวกที่ตายด้วยเผื่อว่ามีตัวตนทรงพลังอยู่ที่นี่จัดการข้าไปจะได้ใช้มันฟื้นฟูร่างของข้า แต่ไม่คิดเลยว่าตัวตนทรงพลังที่คิดไว้จะเป็นเพียงเด็กน้อยอายุ 17 ปีเท่านั้น…” เสียงดังออกมาจากไอเลือด

“เจ้าผมเทานั่นมันเป็นใครกันแน่ มันสามารถใช้วิชาปั่นป่วนโลหิตได้ดีกว่าข้า เมฟิสโตผู้นี้เสียอีก แถมยังสามารถสังหารผู้อาวุโสจางที่แข็งแกร่งเป็นอันดับ 23 ของแดนมารได้อีก หรือมันจะเป็นศิษย์ลับของท่านอาจารย์กัน? เพราะถึงจะน้อยนิด แต่ข้ามั่นใจว่าข้าสัมผัสได้ถึงไอมารจากร่างของมัน แต่ถ้าไม่ใช่มันก็ต้องมีพลังหรือฝึกวิชาที่สามารถดูดซับไอมารหรือพลังผู้อื่นเพื่อเพิ่มพลังได้ หรือจะเป็น…ยอดวิชากลืนฟ้าในตำนาน!? เป็นไปไม่ได้! นอกจากจักรพรรดิปีศาจกลืนฟ้าก็ไม่มีใครที่ใช้วิชานี้ได้ เพราะเขาได้ทำลายคัมภีร์ทันทีที่ฝึกสำเร็จเพื่อไม่ให้มีใครใช้วิชากลืนฟ้าได้นอกจากเขา ถ้างั้นมันเป็นเพราะอะไรกัน? บัดซบ ยิ่งคิดยิ่งงง ไว้ไปถามท่านอาจารย์ดีกว่า” สิ้นเสียง เมฟิสโตก็บังคับให้บัลลังค์โลหิตสลายไปเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าเขายังอยู่อย่างแนบเนียน ก่อนจะใช้ร่างไอเลือดลอยไปเรื่อยๆเพื่อมองหาอะไรบางอย่าง

“เอาตัวนี้ล่ะ” พูดจบเมฟิสโตก็พุ่งตัวเข้าปากเหยี่ยวกลายพันธ์ธรรมดาตัวหนึ่งที่กำลังบินผ่านมา จากนั้นดวงตาของมันก็เปลี่ยนจากสีเหลืองทองกลายเป็นสีแดงเลือด

“ถึงจะรู้สึกผิดกับศิษย์น้องหญิง แต่ข้าคงต้องกลับไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นกับท่านอาจารย์ก่อน และดูเหมือนพวกมันจะไม่ได้ต้องการสังหารนาง เพราะงั้นคงวางใจได้สักพักล่ะนะ” เมฟิสโตกล่าวก่อนจะสบถออกมา

“ไอ้การแข่งขันบัดซบนี่! ถ้ามันอนุญาติให้นำแหวนเทเลพอร์ตมาได้ข้าก็คงใช้มันกลับไปตำหนักเทพโลหิตได้ทันทีแล้ว ฮึ่ม!” เมื่อบ่นจบเหยี่ยวที่ถูกมารหนุ่มสิงจนกลายเป็นอสูรเหยี่ยวโลหิตก็บินออกจากเกาะแห่งนี้ไป

.

.

.

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

[ยานรบของแอนนา]

ภายในห้องฟื้นฟูความเหนื่อยล้า ปรากฏร่างของชายหญิงห้าคนนอนอยู่ในแคปซูลรูปร่างเตียง หรือที่คนบนโลกนี้มักจะเรียกกันติดปากว่าเตียงฟื้นฟูคนละหนึ่งเครื่อง พวกเขาคือ ราฟ พัคแทยัง ซายะ เรเชล และหญิงสาวผมน้ำเงินที่ราฟเคยช่วย(?)ไว้

“พวกเรากลับมาถึงโรงเรียนไอรีนแล้ว” เสียงของแอนนาดังขึ้นผ่านลำโพงภายในห้องฟื้นฟู

“ถึงซะที” ราฟลุกขึ้นจากเตียงฟื้นฟูบิดขี้เกียจก่อนจะหาวออกมา

“สบายสุดๆไปเลยแฮะ” พัคแทยังตบไปที่เตียงเบาๆ ความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาจากการต่อสู้กับเมฟิสโตหายไปหมดมันทำให้เขารู้สึกดีมากๆจนยิ้มออกมา เพราะถึงแม้เขาจะใช้แสงอาทิตย์รักษาอาการบาดเจ็บได้ แต่ความเหนื่อยล้านั้นฟื้นฟูได้ด้วยการพักผ่อนอย่างการนอนเท่านั้น และเจ้าเตียงนี่ได้ทำให้การฟื้นฟูความเหนื่อยล้าเร็วขึ้นหลายเท่า

“ถ้านายยิ้มอย่างนี้ให้ไป๋เสวี่ยฉี หรือไม่ก็ชเวซูจีดู ฉันว่าพวกเธอได้คลั่งรักนายจนตายแน่ ยังไม่ต้องพูดถึงสมาคมคนรักพัคแทยังอีกนะ เหอๆ” ราฟหยอกล้อเพื่อนของเขาอย่างสนุกปาก

“นายก็พูดเกินไป” พัคแทยังยิ้มเขินๆ

“ชิ พวกนายสองคนคุยกันไม่สนใจพวกฉันเลยนะ” เรเชลมุ่ยปากบ่นออกมา ส่วนซายะก็กอดอกมองเตียงฟื้นฟูอย่างครุ่นคิด

“ถ้ากลับบ้านไปแล้วขอให้ท่านพ่อซื้อให้สักตัวดีกว่า” หญิงสาวผมขาวเอ่ยออกมาเสียงเรียบ

“ใช่มะ ฉันก็ว่าจะขอให้ท่านแม่ซื้อให้เหมือนกัน ถ้าขอท่านพ่อคงอีกนานกว่าจะได้ เพราะเงินทั้งหมดถูกท่านแม่เก็บไว้หมดเลย คิกๆ” เรเชลพูดอย่างมีความสุข

“พวกเธอเนี่ยร่าเริงกันจังเลยนะ” หญิงสาวผมน้ำเงินที่ฟื้นขึ้นมาพูดพร้อมกับยิ้มให้ทุกคน ยกเว้นราฟที่เธอยังโกรธอยู่ เขาเป็นคนที่ทำให้เธอถูกอายเอซิสสิงร่าง ถึงจะได้เขาช่วยไว้ แต่เธอก็ยังโกรธอยู่ดี

เพราะเขาทำให้เธอต้องทนทุกข์ทรมานมาตั้งหลายวันเชียวนะ

“เธอยังโกรธฉันอยู่เหรอ งั้นก่อนกลับโรงเรียนของเธอเดี๋ยวฉันทำอาหารให้กินนะ เดี๋ยวทำให้สุดฝีมือเลยเอ้า แล้วฉันก็จะทำตามที่เธอขอหนึ่งอย่าง...ถ้าฉันทำได้นะ” ราฟที่เห็นท่าทีของหญิงสาวก็ยิ้มแห้งๆด้วยความรู้สึกผิดแล้วคิดว่าตอนนั้นเขาน่าจะตรวจสอบต้นไม้ดีๆก่อน เขาเลยอยากจะชดใช้ให้เธอ

“เชอะ ใครจะไปอยากกินข้าวฝีมือนายกันล่ะ ส่วนคำขอที่นายบอกก็น่าสนใจอยู่นะ” หญิงสาวหันหน้าหนีพลางคิดว่าจะสั่งให้เขาทำเรื่องน่าอายยังไงดี แต่ก็ต้องลังเลใจเพราะเรเชลพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า

“เธอตอบตกลงไปก่อนเลย เชื่อฉัน! กับข้าวฝีมือของหมอนี่อร่อยกว่าเชฟห้าดาวที่ตระกูลราธของฉันจ้างไว้อีกนะ”

“ราธ? ขอโทษนะ...เธอเป็นคนของหนึ่งในสิบตระกูลหลักอย่งนั้นเหรอ?”

“ใช่แล้ววว อ๊ะ ลืมแนะนำตัวไปเลยแฮะ” เรเชลพึ่งนึกขึ้นได้ก่อนจะตบอกของตัวเองแล้วพูดต่อว่า

“ฉันชื่อ เรเชล เดอ ราธ ส่วนผู้หญิงที่ทำหน้าเย็นชานั่นคือ ชิโรคามิ ซายะ คนที่หน้าตาอย่างกับเทพบุตรนั่นชื่อ พัคแทยัง ส่วนเจ้าบ้าหน้ากวนนั่นคือ ราฟ...ส่วนนามสกุล...จริงสิ นายนามสกุลอะไรอ่ะ” เรเชลหันมาเอียงหัวถามราฟ พัคแทยังก็หันหน้ามาฟังด้วยด้วยอยากรู้ ส่วนซายะนั้นรู้อยู่แล้ว เพราะเคยเห็นประวัติของเขามาก่อนเลยไม่สนใจอะไรมาก และคิดแค่ว่าจะตกแต่งเตียงฟื้นฟูในห้องของเธอยังไงดี

“เธอนี่นะ ทำไมแนะนำให้พัคแทยังได้เป็นเทพบุตร ส่วนฉันได้เป็นเจ้าบ้าหน้ากวนฟะ!?” ราฟเบะปากก่อนจะตอบคำถามของเรเชล

“ดาร์เซีย...ชื่อเต็มของฉันคือ เซราฟ ดาร์เซีย”

[ดาร์เซีย แปลว่า ความมืด]

“นี่พวกเธอสองคนเป็นคุณหนูจากสองตระกูลหลักอย่างนั้นเหรอ!? ตายแล้ว! โปรดยกโทษให้กับการล่วงเกินของฉันด้วยนะคะ!” หญิงสาวที่ได้ยินว่าเรเชลและซายะเป็นทายาทของตระกูลหลักทั้งสอง เธอก็รีบโค้งตัวให้ทั้งสองทันที

ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะถึงแม้ในโลกที่ถูกอสูรยึดครองเสียส่วนใหญ่จนทำให้ระบบกษัตริย์หายไปจากโลก แต่ความน่าเกรงขามและพลังรบของตระกูลหลักทั้งสิบที่เป็นผู้พิทักษ์ของมวลมนุษยชาติมาหลาบพันปีนั้นกลับยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์และขุนนางสมัยก่อนเสียอีก ดังนั้นหญิงสาวผมน้ำเงินจึงเลือกที่จะแสดงความอ่อนน้อมแก่สองสาวเพราะกลัวทั้งสองจะไม่พอใจในการกระทำของเธอ

“โหย พวกเธอน่ากลัวซะจนผู้หญิงคนนี้ถึงกับต้องก้มหัวให้เลยเหรอ งั่มๆ...เอามะ” ราฟถามขณะยื่นมือไปหยิบขนมในมิติส่วนตัวที่เอามาจากตู้เย็นของโลแกนมาเคี้ยวกินตุ้ยๆก่อนจะยื่นถุงขนมให้พัคแทยังที่ยื่นมือหยิบขนมไปเคี้ยวแก้มป่องอย่างเอร็ดอร่อย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด