ตอนที่แล้วChapter 37 : กำไลแห่งพลังระดับสมบูรณ์!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 39 : ปราสาท? บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป?

Chapter 38 : มีผู้เล่นอื่นล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของไคลน์!


อึก…

ไคลน์จัดการดื่มเลือดอุ่นๆของไนท์วิสเลอร์แก้วสุดท้ายเข้าไป

หลังจากต้มมันจนเดือดรสชาติของมันก็ไม่เลวเลย อย่างน้อยก็ไม่ได้น่าสะอิดสะเอียนเหมือนกับเลือดของกิ้งก่าที่เขาคิดครั้งล่าสุดแล้วกัน

“ไม่มีการเปลี่ยนแปลง?”

ไคลน์นั่งนิ่งๆรอดูผลอยู่ซักพักแต่ก็พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆในร่างกาย

“ควรจะรอจนกว่าจะกลางคืนดีไหม?”

“หรือยังไงมันก็ไม่มีผลอะไรพิเศษอยู่แล้ว?”

จากที่เขารู้เขาคงทำได้เพียงรอจนกว่าจะถึงกลางคืนถึงจะยืนยันได้

ไคลน์ยกหม้อหินออกไปและหยิบขวดเลือดขวดใหญ่ออกมาแทน

นี่คือเลือดของจระเข้เกราะหินปริมาณมากกว่า1.2ลิตร

และมันสามารถใช้เพื่อยกระดับอาวุธได้

นอกจากนี้ยังมีโอกาสเล็กน้อยที่คุณภาพของอาวุธจะเพิ่มขึ้นไปด้วยเช่นกัน

จากนั้นไคลน์ก็หยิบเอาใบดาบรูนความเร็งสูงออกมา

วิธีการยกระดับอาวุธโดยใช้เลือดของจระเข้เกราะหินก็ง่ายดายมาก เขาไม่จำเป็นต้องนำเลือดไปต้มให้ร้อนแต่อย่างใดสิ่งเดียวที่เขาจำเป็นต้องทำก็แค่ฉาบเลือดลงไปบนอาวุธเท่านั้น

ไคลน์นำเอาเลือดของจระเข้เกราะหินมาทาลงบนใบดาบรูนความเร็วสูงทีละนิดๆ

หลังจากทาไปได้ซักพักเลือดของจระเข้เกราะหินก็เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวแล้ว

ในทุกๆครั้งที่เขาทาลงไปเลือดพวกนั้นก็จะจางหายไปอย่างรวดเร็วราวกับถูกใบดาบดูดกลืนเข้าไป

ตัวของใบดาบรูนความเร็วสูงกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

“ล้มเหลวหรอ?”

ไคลน์เกาหัว

“ลองกับอาวุธชิ้นอื่นดูซิ”

จากนั้นเขาก็หยิบมีดมาเชเต้ออกมาแล้วเริ่มละเลงเลือดลงไปบนมีดมาเชเต้เช่นเดียวกับที่เขาทำกับดาบรูน

[แจ้งเตือนจากระบบ : ยกระดับมีดมาเชเต้ชั้นยอดสำเร็จ]

[แจ้งเตือนจากระบบ : มีดมาเชเต้ชั้นยอดยกระดับเป็นมีดมาเชเต้ระดับสมบูรณ์]

“ปัญหาอยู่ที่โอกาสสำเร็จไม่เท่ากันงั้นหรอ? หรือว่าอาวุธรูนมันอัพเกรดยากกว่ากันแน่?”

ไคลน์คิดอยู่ซักพักและตัดสินใจใช้เลือดของจระเข้เกราะหินที่เหลือทาลงบนใบดาบรูนความเร็วสูงจนหมด

แต่ใบดาบรูนความเร็วสูงกลับไม่มีการตอบสนองแต่อย่างใด

น่าจะเป็นเพราะว่าอาวุธรูนถือเป็นอาวุธระดับสูงล่ะมั้ง

เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการไคลน์ก็จัดการเก็บข้าวเก็บของแล้วเตรียมตัวมุ่งหน้าไปยังสุสานแห่งถัดไป

...

...

ตู้ม!

ร่างของสัตว์อสูรแห่งสุสานที่มีขนาดลำตัวราวๆสองเมตรครึ่งล้มลงตรงหน้าไคลน์

ลักษณะของมันดูคล้ายกับเสือดาวแต่กลับมีรอยแผลเป็นสีแดงปรากฏอยู่ตรงกลางศรีษะ

พร้อมกับเสียง ‘คว้าก’ หัวของมันก็ถูกแยกเป็นสองส่วน

ไคลน์ในตอนนี้ไม่ได้ลอยตัวกลางอากาศหรือใช้หน้าไม้รูนแต่อย่างใด

แต่เขาเลือกที่จะเผชิญหน้ากับมันตรงๆแทน

ในช่วงเวลาอันตรายนี้แม้แต่จิ้งจอกน้อยก็ยังอยากจะเข้ามาช่วยโจมตีด้วย

“เสือดาวทรายระดับความอันตรายคือ26แต่ก็แค่นั้น”

ไคลน์เก็บดาบรูนไปอย่างช้าๆ

หลังมือของเขามีรอยแผลสองรอยปรากฏอยู่

ชัดเจนว่านี่คือรอยข่วนที่เสือดาวทรายมันฝากเอาไว้ก่อนตาย

ณ ตอนนี้เขาอยู่ในสุสานแห่งที่ยี่สิบเก้าแล้ว

วันนี้เขาทำการขุดมาเจ็ดรอบแล้ว

เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงแล้วที่ไคลน์ออกมาจากสุสานแห่งที่ยี่สิบสาม

ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขาขุดมาตามคำใบ้เรื่อยๆ

แต่เพื่อฝึกทักษะการใช้มีดและการต่อสู้เขาจึงเลือกที่จะลงมือต่อสู้คนเดียวมาตลอด

เขาไม่ได้พึ่งพาจิ้งจอกน้อยหรือใช้หน้าไม้รูนแต่อย่างใด

จนถึงตอนนี้ความแข็งแกร่งที่ไคลน์แสดงออกมาจัดได้ว่าน่ารับชมจริงๆ เลือดของกิ้งก่าทำให้ปฏิกริยาตอบสนองของเขาฉับไวขึ้นมา

เมื่อบวกกับดาบรูนที่สามารถตัดผ่านแผ่นเหล็กได้ด้วยแล้วการเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรแห่งสุสานที่มีระดับความอันตรายไม่ถึง25จึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

เสือดาวทรายตัวนี้มีระดับความอันตรายอยู่ที่26และมันก็รวดเร็วพอจะฝากรอยแผลเอาไว้ให้ไคลน์ถึงสองรอยแต่นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด บาดแผลสองรอยนี้ก็แค่บาดแผลตื้นๆและมีเลือดออกเล็กน้อยเท่านั้น

ไคลน์หยิบเอาชามใส่ยารักษาออกมาและเริ่มทามันลงบนหลังมือซ้าย

หลังจากทายารักษาไปได้ราวๆครึ่งชามความเจ็บปวดก็จางหายไป

“เกือบจะบ่ายแล้ว หลังจากจัดการทรัพยากรเสร็จก็พักผ่อนที่สุสานแห่งนี้ก่อนแล้วกัน”

ไคลน์ลูบท้องที่ส่งเสียงร้องโครกครากออกมาเบาๆ

การต่อสู้ในวันนี้เขาทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจดังนั้นจึงเสียพลังงานไปค่อนข้างมหาศาล

หลังจากวนไปวนมารอบสุสานเพื่อเก็บเกี่ยวทรัพยากรจนหมดก็ทำให้เขาได้ทรัพยากรมาอีกกองหนึ่ง

นับตั้งแต่สุสานแห่งที่ยี่สิบสี่จนถึงสุสานแห่งที่ยี่สิบเก้าหลักๆเลยที่เขาได้มาก็คือพิมพ์เขียวสำหรับสร้างไอเทมสองเล่มและรูนอีกหกก้อน

เป็นรูนลมสอง , รูนไฟหนึ่ง , รูนน้ำสองและรูนดินอีกหนึ่ง

พิมพ์เขียวที่ได้มาหนึ่งในนั้นก็คือพิมพ์เขียวของมาเชเต้ชั้นเยี่ยมซึ่งเขาเคยเรียนรู้มาแล้วดังนั้นไคลน์จึงตัดสินใจว่าจะเอาพิมพ์เขียวเล่มนี้ไปวางขายเอาไว้บนตลาดเพื่อแลกกับพิมพ์เขียวอย่างอื่น

ส่วนพิมพ์เขียวอีกเล่มคือพิมพ์เขียวระดับสมบูรณ์สำหรับสร้างเกราะเบาซึ่งวัตถุดิบเองก็ไม่ได้ยุ่งยากนัก เกราะเบานี้สร้างขึ้นมาจากทองแดงและเหล็กบวกกับรูนลมและรูนดินเท่านั้น

และไคลน์ในตอนนี้ก็กำลังสวมใส่เกาะบางๆที่เหมือนกับเศษเสื้อผ้าอยู่นั่นเอง

แต่อย่างได้ดูถูกมันเชียวเพราะเกราะนี้สามารถป้องกันบริเวณ หน้าอก ท้อง หลังและจุดตายอื่นๆได้

ยิ่งไปกว่านั้นพลังป้องกันของเกราะรูนยังน่าทึ่งมากอีกด้วย ดาบธรรมดาทั่วๆไปไม่อาจทิ้งรอยขีดข่วนเอาไว้บนตัวเกราะได้ด้วยซ้ำและแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเจาะทะลุชั้นเกราะ

พอจัดการเรื่องทรัพยากรเสร็จไคลน์ก็เรียกฐานรูนออกมาแล้วเดินเข้าไปภายใน

จิ้งจอกน้อยเองก็ตามมาติดๆ

“วันนี้ทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินแล้วกันแต่เพิ่มเนื้อเข้าไปดีกว่า ฮ่าๆๆ!”

ไคลน์ได้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาจากสุสานแห่งที่แล้วถึงสองแพ็ค

ถ้าจิ้งจอกน้อยกินด้วยเขาก็จะใส่เนื้อเข้าไปเพิ่มอีกหน่อยไม่งั้นเจ้าหล่อนก็คงจะไม่อิ่มเป็นแน่

“โฮ่ง! โฮ่ง!”

เมื่อจิ้งจอกน้อยได้ยินว่าถึงเวลากินข้าวแล้วดวงตาของเจ้าหล่อนก็เปล่งประกายระยิบระยับออกมา

ส่วนว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคืออะไรน่ะหรอ?

เจ้าหล่อนเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

สิ่งเดียวที่เธอรู้ก็คืออาหารของนายท่านของเธอไม่เคยมีอะไรไม่อร่อย ทุกอย่างนั้นอร่อยเลิศทั้งนั้น!

ไคลน์ขึ้นมาจัดแจงเตาบาบิคิวเอาไว้บนระเบียงจากนั้นก็เติมถ่านเติมไม้และเริ่มจุดไฟและเทน้ำลงไปในหม้อหินที่วางอยู่ด้านบนของเตาบาบิคิวเพื่อทำการต้มน้ำให้เดือด

ในเวลาเดียวกันเขาก็เริ่มทำการหั่นเนื้อหลายๆชนิดเป็นชิ้นๆ

ตอนนี้ไคลน์มีเนื้ออยู่ในมือเป็นจำนวนมาก เนื้อและเลือดของสัตว์อสูรแห่งสุสานที่ไม่ค่อยอร่อยนักและไม่มีความสามารถพิเศษใดๆเขาก็จะเอามันไปวางขายไว้บนตลาดแลกเปลี่ยน

พิมพ์เขียวสำหรับสร้างอุปกรณ์รูนหรืออุปกรณ์รูนแบบผลิตสำเร็จรูปเขาก็เอาทั้งนั้นแหละ...

แน่นอนว่าผู้เล่นส่วนใหญ่ยินดีจะแลกเปลี่ยนกับรูนทั่วไปมากกว่า ส่วนพิมพ์เขียวสำหรับสร้างอุปกรณ์รูนคงไม่มีใครคิดจะนำมาแลกในช่วงเวลานี้ แม้ว่าราคาที่เขาเสนอจะค่อนข้างน่าดึงดูดไม่น้อยก็ตาม

ดังนั้นแล้วก็คงไม่จำเป็นต้องพูดถึงอุปกรณ์รูนที่ผลิตสำเร็จรูปแล้ว ผู้เล่นส่วนใหญ่คงจะเก็บพวกมันเอาไว้ใช้เองเสียมากกว่ายกเว้นแต่ว่าพวกเขาจะมีวัตถุดิบพอสร้างพวกมันได้อีกเครื่อง

ในขณะที่ไคลน์กำลังตั้งใจทำอาหารอยู่นั้นกำแพงดินทางด้านซ้ายของสุสานก็พังทลายลงมา

สองบุรุษหนึ่งสตรีก้าวเข้ามาสู่สุสานแห่งเดียวกันกับไคลน์!

และพวกเขาทั้งสามยังมีอาวุธครบมืออีกด้วย

เมื่อเข้ามาพวกเขาก็ยังไม่ได้ขยับไปไหนแต่เลือกที่จะตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างระมัดระวังเสียก่อน

“ดูนั่น”

สิ่งที่พวกเขาเห็นคือปราสาทที่อยู่ไม่ห่างไกลออกไปมากนักซึ่งมันก็ดึงดูดสายตาของคนทั้งสามไม่น้อย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด