Chapter 29 : จู่โจมยามราตรี!
ยังมีเวลาเหลืออีกสิบชั่วโมงกว่าที่จะถึงเวลากลางคืน
ไคลน์นั่งอยู่เฉยๆไม่ได้ทำอะไร
วันนี้เขายังเหลือโควตาที่สามารถขุดได้อีกเจ็ดครั้งแต่ก็ไม่รู้เลยว่าจะได้ใช้พวกมันทั้งหมดไหม
ตามปกติแล้วกลางวันและกลางคืนในสุสานหรือถ้ำในโลกที่แล้วของเขาจะเป็นเหมือนกับคนละโลกกันเลยก็ว่าได้เพราะในช่วงเวลากลางคืนมักจะมีสัตว์ดุร้ายมากมายปรากฏตัวออกมา
บางทีในโลกแห่งสุสานเองก็คงเป็นเช่นเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อถึงเวลากลางคืน....
ดวงตาของคนเราก็จะยิ่งมองได้จำกัดลง แม้ว่าการมองเห็นในที่มืดของไคลน์จะถูกยกระดับขึ้นมาแต่ก็ยังไม่ได้สะดวกอะไรขนาดนั้นเมื่อถึงยามกลางคืน
ในความเป็นจริงแล้วด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันของไคลน์ต่อให้เขาอยู่เฉยๆไปอีกเดือนหนึ่งก็ไม่มีปัญหา
ด้วยเครื่องกลั่นน้ำและฟาร์มเพาะเนื้อของเขาก็สามารถทำให้เขาอยู่ไปได้อีกนานแสนนานแล้ว
แต่ไคลน์กลับไม่พอใจในสถานการณ์ของตัวเองในปัจจุบัน
เขาต้องการยกระดับชีวิตและเพิ่มความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้อ่านคู่มือชีววิทยาสิ่งมีชีวิตในสุสานซึ่งเป็นฉบับไม่สมบูรณ์ด้วยแล้ว
ภายในคู่มือนั้นมีสัตว์อสูรแห่งสุสานทรงพลังมากมายถูกบันทึกเอาไว้
และก็ไม่ใช่ว่าพวกมันเดินไม่ได้เสียหน่อย
ถ้าวันใดวันหนึ่งพวกมันมาบังเอิญเจอกับเขาเข้าและความแข็งแกร่งของเขามีเพียงน้อยนิดเท่านี้ถ้างั้นแล้วการที่เขากับจิ้งจอกน้อยจะรอดไปได้คงเป็นเรื่องยากอย่างมาก
หลังจากคิดได้ดังนี้ไคลน์ก็ทนอยู่เฉยๆไม่ไหวอีกต่อไป
เขาเริ่มจากยัดไม้40ท่อนเขาไปในเครื่องกลั่นน้ำเพื่อทำการกลั่นน้ำเป็นลำดับแรก
จากนั้นเขาก็ไปรดน้ำฟาร์มเพาะเนื้อ
ส่วนเวลาที่เหลือก็ใช้ไปกับการฝึกฝนร่างกาย
ฝึกความแข็งแกร่ง : วิดพื้น , ซิทอัพ
ฝึกหอกฝึกมีด : แทง , ฟัน , ตั้งท่า
ฝึกการใช้อุปกรณ์รูน : ฝึกความแม่นยำ , บรรจุกระสุน , ยิงต่อเนื่อง...
พอเขาเหนื่อยเขาก็จะหยุดและมานั่งเล่นกับจิ้งจอกน้อยหรือเข้าไปในช่องแชทเพื่อตรวจสอบข้อความส่วนตัว
ไคลน์ยังได้ข้อมูลมาจากช่องแชทโลกและช่องแชทเฉพาะภูมิภาคไม่น้อยอีกด้วย
หลักๆเลยก็คือข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันของผู้เล่นส่วนใหญ่
พวกเขาส่วนใหญ่ขุดไปได้ห้าหรือหกสุสานแล้วขณะที่พวกที่เจนจัดหน่อยก็จะอยู่ที่ราวๆสุสานแห่งทิ่สิบ
คงต้องพูดว่าพวกเขาไม่เหมือนกับไคลน์
ทุกๆครั้งที่พวกเขาขุดก็เหมือนการปิดตาเปิดกล่องและไม่รู้เลยว่าจะพบอะไรภายในนั้น
ผู้เล่นที่บ้าระห่ำบางคนก็ต้องหยุดพักรักษาตัวเนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับสัตว์อสูรแห่งสุสาน
พวกเขาส่วนใหญ่จะไปต่อก็ต่อเมื่อน้ำและอาหารหมดลงเท่านั้น
วันนี้มีผู้เล่นจำนวนมากเลยทีเดียวที่พบเจอกันและกันและส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกร่วมมือกันมากกว่า
แน่นอนว่าพวกที่เลือกจะปล้นอีกฝ่ายก็มีเหมือนกัน!
ซึ่งกรณีนี้จะมีเหตุการณ์สืบเนื่องได้สามรูปแบบ
หนึ่งคือโดนสวนก็เสียท่าซะเองกับสองคือปล้นเพียงทรัพยากรแต่ไม่สังหารและสุดท้ายก็คือสังหารและขโมยทุกอย่างไป
ในบรรดาพวกเขามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เลือกสังหารและขโมยทุกอย่าง กล่าวอีกอย่างก็คือมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่คนภายนอกรู้
ยังไงซะพวกฆาตกรมันก็คงไม่เอ่ยปากออกมาก่อนหรอกว่าพวกมันเป็น
ก่อนที่ผู้เคราะห์ร้ายจะเสียชีวิตมีหลายครั้งที่พวกเขาส่งข้อความขอความช่วยเหลือมาทางช่องแชทแต่เมื่อคนอื่นๆถามกลับก็ไม่มีการตอบสนองเสียแล้ว
เหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้เกิดขึ้นในสุสานหลายๆแห่ง
ดังนั้นจึงมีผู้เล่นหลายคนออกมาบอกว่าอยากให้ทุกๆคนร่วมมือกันและอย่าได้มีปัญหากันเมื่อพบเจอ
“มีเพียงร่วมมือกันเท่านั้นถึงจะมีโอกาสรอดมากขึ้น ยังไงซะสองหัวก็ดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้วและยังทำให้ไม่เหงาอีกด้วย”
“ขอสนับสนุนให้ร่วมมือกันและห้ามปล้น”
“การสังหารคือการกระทำที่ผิดกฎหมาย อย่าได้ทำอะไรล้ำเส้นเลยดีกว่า!”
และอื่นๆอีกมากมาย
หลังจากไคลน์อ่านเสร็จเขาก็คงพูดได้เพียงว่าผู้เล่นจำนวนน้อยพวกนี้เป็นเพียงคนไร้เดียงสาเท่านั้น
พวกเขากลับยกเอาศีลธรรมและกฏหมายในสังคมที่เจริญแล้วในโลกใบที่แล้วมาใช้กับโลกแห่งสุสานอันโหดร้ายแห่งนี้ซะอย่างนั้น
ผู้คนส่วนใหญ่ในช่องแชทไม่ได้ตอบสนองแต่อย่างใด
พวกเขาส่วนใหญ่เขาใจหลักตรรกะดี ถ้ามีน้ำและอาหารเหลือก็คงพอร่วมมือกันได้
แต่ถ้าน้ำและอาหารเริ่มหมดลงถึงตอนนั้นใครจะเป็นใครจะตายคิดว่าพวกเขาจะสนไหม?
ยังไงซะต่อให้พวกเขาฆ่าคนที่นี่ก็ไม่มีใครรู้อยู่แล้วและไม่จำเป็นต้องไปขึ้นศาลด้วย
“ถ้าผู้เล่นเริ่มจับกลุ่มกันมากขึ้นถ้างั้นทรัพยากรในตลาดจะมากขึ้นหรือลดลงกันนะ?”
ไคลน์ไม่อาจคาดเดาได้เลย
การจับกลุ่มกันทำให้การขุดค้นปลอดภัยขึ้นเนื่องจากมีคนคอยระวังหลังให้กันและยังร่วมทีมกันเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรแห่งสุสานได้อีกด้วย
แต่ถ้าร่วมทีมกันพวกเขาก็ต้องมุ่งหน้าไปยังสุสานแห่งเดียวกันและจำนวนการขุดก็ไม่ได้เอามารวมกันแต่อย่างใด จำนวนการขุดของพวกเขาก็ยังคงอยู่ที่10ครั้งต่อวันเช่นเดิม
ถ้าพวกเขาไม่ร่วมทีมกันก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งปันทรัพยากรกับใคร จำนวนการขุดก็สามารถสะสมได้แต่ก็อันตรายมากเช่นกันเนื่องจากต้องลุยคนเดียว
แต่ละแบบต่างก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป
เพียงเสี้ยวพริบตาเวลาก็ล่วงเลยเข้าช่วงกลางวันแล้ว
อาหารกลางวันในวันนี้คือสตูเนื้อ
เนื้อพวกนี้ก็คือเนื้อของจระเข้เกราะหินและกิ้งก่าตาเดียวนั่นเอง
เพื่อให้เนื้อของพวกมันมีความหลากหลายมากขึ้นเขาจึงใส่น้ำของผลเถาวัลย์สีดำลงไปเพื่อเพิ่มความหวานอมเปรี้ยว
หลังจากปรุงเสร็จอาหารกลางวันมื้อนี้ก็กลายเป็นมื้ออาหารที่อร่อยที่สุดนับตั้งแต่ที่ไคลน์เข้ามายังสุสานเลยก็ว่าได้
เนื้อของจระเข้เกราะหินสามารถเพิ่มความต้านทานการโจมตีได้ในระดับหนึ่ง
ไคลนร์ไม่มั่นใจนักว่ามันมีผลกับจิ้งจอกน้อยด้วยรึเปล่า
ไม่ช้าไม่นานท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง (มีท้องฟ้าด้วย?)
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จไคลน์ก็จัดการเตรียมตัวเป็นครั้งสุดท้าย
ตรวจสอบอาวุธ
เขาให้คำสั่งสำคัญมากๆกับจิ้งจอกน้อยไปและเริ่มวอร์มร่างกายเล็กน้อยเช่นกัน
ในเวลาเดียวกันเขาก็มักจะตรวจสอบความเคลื่อนไหวของสัตว์อสูรแห่งสุสานในสุสานแห่งถัดไปอยู่เรื่อยๆผ่านทางคำใบ้
บางทีหมาในซากศพอาจจะออกจากสุสานไปเองก็เป็นได้
...
ไม่นานนักยามราตรีก็มาเยือนในที่สุด
ชัดเจนแล้วว่าการมองเห็นในที่มืดของไคลน์ยกระดับขึ้นไปอีกขั้น
ในอดีตเขามองไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือของตัวเองด้วยซ้ำแต่ตอนนี้เขากลับสามารถมองเห็นออกไปได้ไกลถึงสิบห้าเมตร
ส่วนระยะการมองเห็นในที่มืดของหมาในซากศพนั้นแทบจะเป็น0เลยทีเดียว นอกจากนี้พวกมันยังไม่มีสัมผัสทางด้านการดมกลิ่นและการได้ยินเองก็ค่อนข้างแย่
ตราบใดที่เขาอยู่ห่างจากมันเกินสิบเมตรไคลน์ก็มั่นใจว่าเขาสามารถยิงเข้าจุดตายมันได้แน่นอน!
เมื่อเวลามาถึงไคลน์ก็ตรวจสอบสุสานทางด้านหน้าอีกครั้ง
[มีหีบสมบัติเงินอันน่าดึงดูดอยู่ในสุสานทางด้านหน้าแต่มีหมาไนซากศพสองตัวรอต้อนรับท่านอยู่ ตอนนี้คือช่วงเวลาดีที่จะจู่โจม ท่านสามารถจัดการพวกมันได้อย่างง่ายดาย]
คำใบ้มัน...
จัดการได้อย่างง่ายดาย!
ไคลน์กับจิ้งจอกน้อยเดินเข้าไปในอุโมงค์ด้านหน้าและเริ่มทำการขุดต่อไป
ไม่นานนักพวกเขาก็ขุดมาจนถึงหลุมดำ
ไคลน์มองไปที่จิ้งจอกน้อยเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “ระวังตัวด้วยและอย่าทำให้ศัตรูแตกตื่นล่ะเข้าใจนะ?”
ไคลน์ไม่ได้กังวลกับจิ้งจอกน้อยมากนักก็จริงอยู่แต่ก่อนที่จะเข้าไปในสุสานเขาก็ย้ำอีกครั้ง “ถ้าฉันไม่สั่งก็อย่าเพิ่มโจมตีนะ”
“งืมๆๆ!”
จิ้งจอกน้อยยกขาหน้าน้อยๆขึ้นมาตบอกราวกับจะบอกว่า ‘ไว้ใจฉันได้เลย’
ไคลน์เดินเข้าไปในหลุมดำเป็นคนแรกโดยมีจิ้งจอกน้อยตามมาติดๆ
...
สุสานแห่งที่สิบเก้า
ที่แหงนึ้เงียบเป็นอย่างมาก
ไคลน์ตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบ เขาพยายามมองหาตำแหน่งของหมาไนซากศพด้วยระยะสายตาที่มีจำกัด
แง่ม!
จิ้งจอกน้อยดึงขากางเกงของไคลน์เบาๆ
เมื่อมองลงไปไคลน์ก็เห็นจิ้งจอกน้อยทำท่าทีเหมือนให้มองดูไปในทิศทางหนึ่ง
ต้องรู้ด้วยว่าระยะการมองเห็นในที่มืดของจิ้งจอกน้อยเหนือกว่าไคลน์มากดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เธอจะพบตำแหน่งของศัตรูก่อนไคลน์
ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อยและเดินไปในทิศทางที่จิ้งจอกน้อยบอก
ในทุกๆครั้งเขาจะลงน้ำหนักเท้าให้เบาที่สุด
ระยะทางเพียงสิบกว่าเมตรแต่เขากลับใช้เวลาเดินถึงสองนาทีเต็ม
เมื่อเริ่มเห็นอะไรบางอย่างไคลน์ก็ชะงักเท้า
ที่เขามองเห็นอยู่ลางๆก็คือเค้าร่างของหมาไนซากศพทั้งสองตัวที่อยู่ท่ามกลางความมืด
เวลาแห่งการล่าเริ่มต้นขึ้นแล้ว!