ตอนที่แล้วผมได้รับพลังแห่งลิชมาพิชิตสาวงาม ตอนที่ 9
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปผมได้รับพลังแห่งลิชมาพิชิตสาวงาม ตอนที่ 11

ผมได้รับพลังแห่งลิชมาพิชิตสาวงาม ตอนที่ 10


ผมได้รับพลังแห่งลิชมาพิชิตสาวงาม ตอนที่ 10

หลิวเสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกกระวนกระวายใจ ช่วงนี้ปู่ของเธอมักจะตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะฝันร้ายอยู่เป็นประจำ เรื่องนี้ทำให้ทั้งครอบครัวของเธอต่างอยู่ไม่สุข เพราะเกรงว่าจะมีวิญญาณร้ายเข้ามาภายในบ้าน

พ่อของเธอต้องการจะพาปู่ของเธอไปตำหนักชิงหยางเพื่อจุดธูปไหว้พระสักการะสักครั้ง แต่คนที่คลานออกมาจากสนามรบอย่างปู่ของเธอมีหรือจะศรัทธาในศาสนาพุทธหรือลัทธิเต๋า? เขาจะไปก็ต่อเมื่อไปเพื่อท่องเที่ยวเท่านั้น แต่เขาจะไม่ยอมจุดธูปไหว้พระอย่างเด็ดขาด!

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะนิมนต์พระหรือเชิญนักพรตมาที่บ้าน

หลายวันมานี้คนในครอบครัวของเธอได้แอบไปซื้อพวกเครื่องรางต่างๆมาจากถนนเฟิงสุ่ยที่อยู่ข้างๆซุ้มประตูมัญชุศรีโดยไม่ให้ปู่ของเธอรู้ พวกเขาได้ใช้เงินไปมากมายมหาศาล กระนั้นของที่ทุ่มเงินซื้อมาเหล่านั้นกลับไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียวที่มีประโยชน์ พวกเขาได้แต่ก่นด่าสาปแช่งเจ้าคนที่ขายของเส็งเคร็งพวกนี้

นับตั้งแต่เด็ก ผู้ที่หลิวเสวี่ยเอ๋อร์สนิทด้วยมากที่สุดก็คือปู่ของเธอ ดังนั้นเธอก็เลยอยากจะลองช่วยปู่ของเธอดูบ้าง เธอได้ยินมาว่าวัตถุโบราณที่อยู่ในตลาดค้าของเก่าสะพานซ่งเซียนนั้นมีอยู่บางชิ้นที่เป็นเครื่องรางวิญญาณของแท้ ดังนั้นจึงหาเวลาแวะมาลองดู เธอตั้งใจจะซื้อกลับไปสักสองสามชิ้น หวังว่าของเหล่านี้จะช่วยให้คุณของเธอหายจากการฝันร้าย

เธอไม่รู้ว่าเหวินอี้ผิงรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร แต่เขาก็ได้รีบวิ่งแจ้นมาประกบติดเธอราวกับเงาตามตัว ชายหนุ่มคนนี้มักอาศัยบารมีของบิดาก่อเรื่องไปทั่ว และนิสัยของเขาก็น่าชิงชังมาก ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นหลิวเสวี่ยเอ๋อร์ เขาก็ตามติดเธอราวกับกาว มันแย่มาก แม้ตอนที่เธอจะไปเข้าห้องน้ำ เขาก็ยังอาสาจะตามไปด้วย หลิวเสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกราวกับกำลังตกนรกทั้งเป็น แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้เพราะอิทธิพลของครอบครัวอีกฝ่าย ในเมื่อพูดไปก็ไม่รู้เรื่อง เธอก็ได้แต่หงุดหงิดอยู่ในใจ คงจะดีถ้าเกิดบังเอิญมีสิบล้อเบรคแตกพุ่งมาชนเจ้าตัวน่ารำคาญนี่ให้นอนหยอดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาลสักหลายเดือน

เซี่ยเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ประเมินจากเครื่องแต่งกายของพวกเขาแล้ว เขาก็สรุปได้ทันทีว่าสองคนนี้คงเป็นพวกลูกคุณหนู 'สมาร์ทโฟนจ๋า พี่มาแล้วววว'

"นี่เป็นสร้อยหินเรเควี่ยมครับ มันช่วยทำให้จิตใจสงบ คุ้มครองวิญญาณ และขับไล่สิ่งชั่วร้าย" เซี่ยเยี่ยนอธิบาย

ดวงตาของหลิวเสี่วยเอ๋อร์ภายใต้แว่นกันแดดพลันเป็นประกาย เธอย่อตัวลงก่อนจะหยิบสร้อยหินขึ้นมาทั้งสองเส้น เธอถอดแว่นออกและมองดูมันอย่างละเอียด หลังจากมองดูงานแกะสลักและลวดลายอันวิจิตรงดงามบนเนื้อหินแล้ว เธอก็รู้สึกถูกใจพวกมันขึ้นมา

"ลวดลายพวกนี้คืออะไรเหรอคะ?" หลิวเสวี่ยเอ๋อร์ถามขึ้น

"อืมมันเป็น....ยันต์น่ะครับ" เซี่ยเยี่ยนลังเลไปครู่หนึ่ง เขาไม่สามารถบอกกับเธอได้ว่ามันเป็นวงเวทของเวทอันเดด เกิดบอกแบบนั้นไป หญิงสาวคงเดินหนีหายอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเขาจึงบอกออกไปว่ามันเป็นยันต์เพื่อที่พวกเขาจะได้นึกเชื่อมโยงว่ามันเป็นยันต์ของลัทธิเต๋าอะไรเทือกนั้น

"เนี่ยเหรอยันต์?" เหวินอี้ผิงเยาะเย้ย "ฉันเคยเห็นยันต์ที่นักพรตเต๋าวาดไว้ที่วัดชิงหยางมาก่อน มันไม่เห็นเหมือนของนายเลยสักนิด คิดจะต้มตุ๋มพวกเรารึไง?"

แม้ว่าหลิวเสวี่ยเอ๋อร์จะรู้สึกรำคาญเหวินอี้ผิง แต่เธอก็ยังพยักหน้าลงเล็กน้อยอย่างเห็นด้วย ลวดลายบนหินพวกนี้ไม่ได้เหมือนยันต์ของลัทธิเต๋าเลยสักนิด มันดูคล้ายกับลวดลายทางศิลปะมากกว่า

เมื่อเห็นหลิวเสวี่ยเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ความมั่นใจของเหวินอี้ผิงก็พุ่งทะยานฟ้า เขาเริ่มพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง "ร่องรอยพวกนี้มันดูใหม่มาก เป็นไปได้ว่าพวกมันเพิ่งจะถูกสลักขึ้นในวันนี้ ปลอมของขึ้นมาใหม่แบบนี้ไม่หากินง่ายไปงั้นเหรอ?"

เซี่ยเยี่ยนขมวดคิ้ว "คุณยังไม่ทันถามราคาก็จะใส่ความว่าผมเป็นพวกต้มตุ๋มแล้วงั้นเหรอครับ? มีอย่างนี้ที่ไหนกัน? ผมเคยพูดเหรอว่าสร้อยพวกนี้เป็นของโบราณ? ผมพึ่งแกะสลักพวกมันวันนี้เอง ไม่เคยบอกว่าเป็นของโบราณอะไรเลยด้วย แบบนี้เรียกว่าต้มตุ๋นเหรอ?"

"เอ๊อะ..." เหวินอี้ผิงพลันชะงัก คำพูดของเซี่ยเยี่ยนนับว่าจี้เข้าตรงจุด เพียงมองดูไม่กี่ครั้งก็วิจารณ์ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกต้มตุ๋นซะแล้ว

หลิวเสวี่ยเอ๋อร์รู้สึกสะใจไม่น้อยที่เห็นเหวินอี้ผิงถูกถามจนหน้าเสีย กระนั้นเธอก็ไม่อาจปล่อยให้เขาเสียหน้าได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าเด็กขาดความอบอุ่นคนนี้คงก่อปัญหาให้ชายหนุ่มเจ้าของร้านนี้แน่ๆ ดังนั้นเธอจึงพูดขัดขึ้น "มันราคาเท่าไหร่เหรอคะ?"

"อันละห้าพันหยวนครับ" เซี่ยเยี่ยนคิดไว้ก่อนแล้ว แม้ว่าตัวหินสำหรับแกะสลักจะเป็นหินทั่วไป แต่ทักษะแกะสลักและวงเวทนั่นก็มีคุณค่ามาก มันทั้งมีเอกลักษณ์และใช้งานได้จริง ราคาห้าพันหยวนนี้ไม่ได้เกินเลยแม้แต่น้อย

"เท่าไหร่นะคะ?" หลิวเสวี่ยเอ๋อร์ตกตะลึง เธอมั่นใจว่าเจ้าสิ่งนี้ต้องราคาไม่ถึงร้อยหยวนแน่ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าของร้านที่ดูเป็นนักศึกษามหาลัยผู้นี้จะเรียกราคาถึงห้าพันหยวน แม้ว่าเงินห้าพันหยวนจะไม่ต่างอะไรกับค่าอาหารมื้อหนึ่งสำหรับเธอ แต่เธอก็ยังไม่ต้องการใช้เงินอย่างซี้ซั้ว

"อันละห้าพันหยวนครับ" เซี่ยเยี่ยนทวนราคาอีกครั้งอย่างหนักแน่น

"แล้วแบบนี้ยังบอกว่าไม่ใช่พวกต้มตุ๋มอีกเหรอออ?!" เหวินอี้ผิงแสยะยิ้มอย่างโกรธจัด "ก็แค่หินแกะสลักธรรมดาทั่วไปไม่ใช่เหรอ? แม้แต่ของโบราณก็ยังไม่ใช่ ขายห้าสิบหยวนได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว แต่นี่แกกล้าเรียกราคามาห้าพัน เชื่อหรือเปล่าว่าฉันจะโทรเรียกตำรวจมาลากแกเข้าซังเต?"

การโต้ตอบนี้ทำให้พี่หูพูดไม่ออก เขาเห็นเสี่ยวเซี่ยแกะสลักหินสองก้อนนั้นกับตา แม้ว่าฝีมือการแกะสลักของเสี่ยวเซี่ยจะดูดีมาก แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าคงขายได้ราคาสักร้อยสองร้อย คิดไม่ถึงว่าแค่อ้าปากเสี่ยวเซี่ยก็เรียกราคาสูงถึงห้าพันหยวน

"นี่เป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว จะเรียกว่าต้มตุ๋นได้ยังไง? คุณค่าของหินพวกนี้ยังมากกว่าราคาที่ผมบอกอีก" เซี่ยเยี่ยนตอบ

"นี่เป็นฝีมือของอาจารย์แกะสลักท่านไหนเหรอคะ?" หลิวเสวี่ยเอ๋อร์ถามอย่างสงสัย ในใจเริ่มระมัดระวังขึ้นมา ชายหนุ่มที่เบื้องหน้าเธออาจจะเป็นลูกหลานของอาจารย์มีชื่อและได้ลอบนำของที่ผู้อาวุโสของเขาแกะสลักขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ออกมาขาย ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ ห้าพันหยวนก็ยังถือว่าไม่แพง