ตอนที่แล้ว80Y-ตอนที่ 55 ท่านหญิงหง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป80Y-ตอนที่ 57 บังคับซากุระบานสะพรั่ง

80Y-ตอนที่ 56 บุคคลที่ถูกลืมเลือน


ฐานการบ่มเพาะพลังของ หลินจิ่วเฟิง ยังอยู่ในช่วงด่านไร้สิ้นสุดของขั้นเทพมนุษย์

เขาพยายามอย่างยิ่งเพื่อปลดล็อคสมบัติที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายของเขา

แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน เขาก็รู้สึกราวกับว่าร่างกายของตนเองคล้ายกับก้นเหวที่ไร้ก้นบึ้ง

ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็ไม่ได้ผลดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามเจ้าแมวขาวว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถก้าวไปยังด่านต่อไปของขั้นเทพมนุษย์ได้

เจ้าแมวขาวมองไปที่ หลินจิ่วเฟิง โดยไม่พูดอะไร

มันขยับกรงเล็บและเขียนไปสองสามคำ

หลายปีที่ผ่านมา ลายมือของมันยังคงน่าเกลียดเหมือนเดิม แต่ หลินจิ่วเฟิง กลับคุ้นเคยกับมันแล้ว

พูดตามตรง เขาเริ่มคิดว่าลายมือของมันค่อนข้างน่ารักไปแล้ว

“เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเทพมนุษย์อยู่ก่อนแล้ว เหตุใดยังต้องมาถามข้าเรื่องนี้อีก?”

หลินจิ่วเฟิง ตระหนักได้ในทันที ‘อา’

“ข้าเกือบลืมไปว่าฐานการบ่มเพาะพลังของเจ้ายังไม่ได้เข้าสู่ขั้นเทพมนุษย์! มันเป็นความผิดของข้าเอง เอาล่ะข้าจะไม่ถามเจ้าแล้ว”

เจ้าแมวขาวมองไปที่ หลินจิ่วเฟิง มันทั้งอับอายและเต็มไปด้วยความโกรธ

มันรู้สึกว่า หลินจิ่วเฟิง ตั้งใจทำให้มันอับอาย

พูดของเขาฟังดูไม่ได้เป็นอันตราย แต่ความหมายแฝงกลับเป็นความน่าละอายสำหรับเจ้าแมวขาว

ทุกวันนี้มันไม่เคยหย่อนหยานแม้แต่ครั้งเดียว มันพยายามอย่างหนักมาโดยตลอด

อันที่จริงมันได้มาถึงช่วงสุดท้ายของขั้นปราชญ์การต่อสู้แล้ว

น่าเสียดายที่มันพบคอขวดขนาดใหญ่และอยู่ห่างจากขั้นเทพมนุษย์เพียงก้าวเดียว

แต่คอขวดที่มันกลับถูก หลินจิ่วเฟิง เยาะเย้ย

เมี้ยว!

เจ้าแมวขาวพยายามเอื้อมอุ้งเท้าของมันออกไปและต้องการจะข่วน หลินจิ่วเฟิง

แต่หลินจิ่วเฟิง ได้หันหลังกลับไปและทิ้งมันไว้ข้างหลังโดยตรง

“ข้าจะไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับแก่นแท้ของด่านไร้สิ้นสุดก่อน…”

“เฝ้าประตูให้ดี”

ท่าทางจริงจังของ หลินจิ่วเฟิง ซึ่งย้อนแย้งกับคำพูดทำให้เจ้าแมวขาวโกรธมากขึ้น

มันยกอุ้งเท้าขึ้นมองดูแผ่นหลังของ หลินจิ่วเฟิง ที่หายไป

เล็บของมันหวังว่าสักวันจะฟันไปบนแผ่นหลังนี้ได้

เพื่อระบายความโกรธที่มันเก็บงำมาตลอดระยะเวลาหลายปี

ชีวิตของ หลินจิ่วเฟิง ในแต่ละปีประกอบไปด้วยการลงชื่อเข้าใช้สถานที่อย่างต่อเนื่อง บางครั้งเขาก็จะยั่วยุและหยอกล้อเจ้าแมวขาวเพื่อเพิ่มความสนุกสนานให้กับชีวิตที่สงบสุขของเขา

แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดของเขาในตอนนี้ก็คือทำความเข้าใจเกี่ยวกับแก่นแท้ของด่านไร้สิ้นสุด

ว่ากันว่าด่านไร้สิ้นสุดมีสมบัติซ่อนอยู่มากมาย

สมบัติทางร่างกาย,สมบัติทางจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์,สมบัติทางปราณแท้จริง และ สมบัติทางเต๋า

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความลับอมตะอันยิ่งใหญ่ 4 ประการ ที่ หลินจิ่วเฟิง กำลังพยายามทำความเข้าใจอยู่ มันอยู่ในด่านไร้สิ้นสุดของขั้นเทพมนุษย์

เขาได้ปลดล็อคสมบัติทางร่างกายแล้ว

รางวัลสำหรับความเข้าใจของเขา ดูเหมือนรากฐานทางร่างกายของเขาจะได้รับการเสริมความแข็งแกร่งจนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ตอนนี้เขาสามารถฆ่าคนที่อยู่ในขอบเขตขั้นพลังเดียวกันได้ด้วยการชกเพียงครั้งเดียว

เพียงแค่ปลดล็อคสมบัติได้เพียงอย่างเดียวก็ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นแบบทวีคูณ

สำหรับสมบัติทางจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หลินจิ่วเฟิง ก็ได้ฝึกฝนทักษะปรับแต่งต้นกำเนิดจิตวิญญาณในการสร้างร่างตัวเองขึ้นมา

สมบัติทางปราณแท้จริง เขาก็ได้เปิดประตูลับในการเพิ่มพลังปราณของตัวเอง

ภายในประตูนั้นเต็มไปด้วยพลังปราณแท้จริงจากโบราณ ด้วยความเข้าใจของเขาทำให้เขาสามารถหยิบยืมพลังอันรุ่งโรจน์เหล่านั้นมาใช้งานได้

สมบัติทางเต๋า ช่วยอนุญาติให้ หลินจิ่วเฟิง มองดูแก่นแท้ของโลกใบนี้ ทุกครั้งที่เขาเอื้อมมือออกไปจะสามารถสัมผัสได้ถึงเส้นทางแห่งเต๋าและจังหวะการเต้นของหัวใจที่สอดคล้องกับลมหายใจแห่งผืนปฐพีที่เขายืนอยู่

การปลดล็อคสมบัติทั้ง 4 ทำให้ความแข็งแกร่งของ หลินจิ่วเฟิง เพิ่มขึ้นนับร้อยเท่า

เขารู้สึกว่าตนเองสามารถทำลายโลกนี้ได้ถ้าเขาต้องการ

ความรู้สึกนี้มาพร้อมกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของเขา

แต่ถึงแม้จะมีทั้งหมดนี้ เขาก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามด่านไร้สิ้นสุดไปได้

‘เกิดอะไรขึ้นกัน’หลินจิ่วเฟิง รู้สึกสงสัย

‘ข้าได้อ่านหนังสือสองสามเล่มที่อธิบายเกี่ยวกับด่านไร้สิ้นสุดของขั้นเทพมนุษย์มา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาอธิบายดูเหมือนจะแตกต่างอย่างมากจากตัวข้า…’

‘ในหนังสือเหล่านั้น อธิบายว่าด่านไร้สิ้นสุดเป็นด่านธรรมที่สามารถก้ามข้ามไปได้อย่างง่ายดาย’หลินจิ่วเฟิง ขมวดคิ้วแน่น

การเปิดสมบัติทั้ง 4 ทำให้พละกำลังความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขาต้องการทะลวงผ่านด่านไร้สิ้นสุดและไปยังด่านถัดไปของขั้นเทพมนุษย์

“ข้าต้องการไปถึงจุดสูงสุดของขั้นเทพมนุษย์โดยเร็วที่สุด และ ข้าต้องการมองโลกที่กว้างใหญ่กว่านี้”หลินจิ่วเฟิง ได้พึมพัมออกมา

ด้วยฐานการบ่มเพาะพลังของเขา เขาไม่อาจอยู่ยงคงกระพันได้ในโลกมนุษย์ แต่เขาก็ยังเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดอยู่ดี

หลินจิ่วเฟิง ไม่ได้มีความสนใจในชื่อเสียงและอำนาจ

เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการมองหาสตรีที่งดงามด้วย

สิ่งที่เขาสนใจมีเพียงสิ่งเดียว-จุดสูงสุดของเส้นทางการบ่มเพาะพลัง

“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าขั้นเททพมนุษย์ไม่ใช่ขอบเขตการบ่มเพาะพลังขั้นสูงสุด ดูเหมือนว่าข้อมูลที่เกี่ยวกับขั้นพลังถัดไปจะถูกลบไปจนหมด จนทำให้ไม่มีใครทราบเรื่องนี้ นอกจากการกล่าวอ้างในหนังสือโบราณ 2-3 เล่มนั้นแล้ว ก็ไม่มีข้อมูลอื่นอีก…”

แรงจูงใจของเขาในการไปถึงจุดสูงสุดของขั้นเทพมนุษย์ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน

เขาต้องการมองหาสิ่งที่เหนือกว่านั้น

‘หลังจากที่ข้าพิชิตภูเขาอันยิ่งใหญ่ภายใต้ชื่อขั้นเทพมนุษย์ได้สำเร็จ โลกในอนาคตก็เริ่มจะกว้างใหญ่มากขึ้นอย่างแน่นอน’หลินจิ่วเฟิง ได้พึมพัมออกมาด้วยความปราถนาของเขา

มันเป็นความปราถนาและความทะเยอทะยานของ หลินจิ่วเฟิง อันดับแรก เขาจะต้องสั่งสมความแข็งแกร่งเพื่อไปถึงจุดสูงสุดของขั้นเทพมนุษย์โดยเร็วที่สุด

เมืองหลวงราชวงศ์

รุ่งเช้ามีนักบวชหนุ่มรูปหนึ่งได้มาถึง

ตอนเที่ยงมีนักพรตเต๋าสองคนมาถึง

ในตอนเย็นมีบุรุษร่างใหญ่ได้เดินทางมาถึง

ทั้งสามคนนี้มาที่เมืองหลวงราชวงศ์ในวันเดียวกัน พวกเขาไม่ได้ทำอะไรนอกลู่นอกทาง พวกเขาทำในสิ่งที่เหมือนกันก็คือ มองหานายหน้าข้อมูล

นักบวชหนุ่มได้พบชายชราคนหนึ่งในเมืองหลวง

ตอนนั้นชายชรามีอายุเพียง 20 ปี

เขาเป็นคนที่อยู่ในช่วงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในวันนั้น

แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ชายชรา และคนอื่น ๆ ที่นักบวชหนุ่มไปเยี่ยมทุกคนต่างสั่นศีรษะเหมือนกันหมด พวกเขาบอกว่าตนเองไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับ องค์รัชทายาทที่ถูกปลดเมื่อหลายสิบปีก่อน

แน่นอนว่าหลังจากกล่าวถามมามากมาย ก็ย่อมต้องมีคนที่รู้เรื่องที่องค์รัชทายาทถูกปลด แต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรมากมาย อีกทั้งผ่านไปมากกว่า 30 ปี สิ่งเหล่านี้ต่างก็ถูกหลงลืมไปแล้ว

มีคนกระทั่งพูดว่า“วงศ์วานของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันกำลังไปได้ด้วยดี เหตุใดยังต้องไปยุ่งเกี่ยวกับองค์รัชทายาทที่ถูกปลดคนนั้น? เนื่องจากเขาถูกปลด แสดงว่าจะต้องทำอะไรไม่ดีแน่ ๆ เหตุใดเราจะต้องจำเขาด้วย”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้นักบวชหนุ่มถึงกับพูดไม่ออก

เขาไม่สามารถตอบได้ เขาเพียงแค่มาตามหาคนเท่านั้น

แต่ผู้คนในเมืองหลวงส่วนใหญ่ล้วนจำไม่ได้จริง ๆ ว่าเคยมีองค์รัชทายาทที่ถูกปลดคนนั้นอยู่

นักพรตเต๋าสองคน และ บุรุษร่างใหญ่จากทะเลทรายทางเหนือ ก็พบผลลัพธ์เช่นเดียวกับนักบวชหนุ่ม

ผู้คนในเมืองหลวงต่างลืมไปหมดแล้วเกี่ยวกับ องค์รัชทายาท หลินจิ่วเฟิงที่ถูกปลดออกจากตำแหน่ง

หลังจากช่วงบ่ายที่วุ่นวาย ทั้งสามกลุ่มก็ไปรับประทานอาหารในร้านอาหาร 3 แห่งที่แตกต่างกันในตอนเย็น

หากมองจากตำแหน่งของพวกเขาจากด้านบน จะพบว่าพวกเขาได้อยู่ต่างสถานที่คล้ายกับสามเหลี่ยมที่สมบูรณ์แบบ เรื่องนี้มันค่อนข้างบังเอิญยิ่งนัก

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ใกล้กันแค่นี้ แต่ก็ไม่มีการตรวจพบการมีอยู่ของกันละกันเลย

เพราะพวกเขาระมัดระวังตัวเพื่อไม่ให้ไปสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับยอดฝีมือขั้นเทพมนุษย์ที่อาศัยอยู่ภายในเมืองหลวง ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามปิดบังฐานการบ่มเพาะพลังของพวกเขาเอาไว้

นักบวชหนุ่มได้กินอาหารมังสวิรัติ นักพรตเต๋าได้ดื่มชา ขณะที่บุรุษร่างใหญ่ได้กินเนื้อชิ้นใหญ่และดื่มไวน์แก้วใหญ่

พวกเขาทั้งหมดรู้สึกหดหู่

ความหลากหลายของอาหารที่พวกเขากินแตกต่างกันมาก แต่พวกมันก็ให้ความรู้สึกแก่พวกเขาเหมือนกัน

“เมืองหลวงราชวงศ์ใหญ่โตขนาดนี้ จะไม่มีใครจำเรื่ององค์รัชทายาทที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งตอนนั้นได้เลยงั้นหรือ นี่มันแปลกเกินไปหรือไม่?”นักบวชหนุ่มได้พึมพัมออกมา

“คนในเมืองส่วนใหญ่ล้วนไม่รู้จักองค์รัชทายาทที่ถูกปลด พวกเขารู้เพียงแค่เรื่องเกี่ยวกับจักรพรรดิหมิงและจักรพรรดิหยวน บางทีเราอาจต้องขุดลึกลงไปในประวัติศาสตร์ก่อนหน้านี้”นักบวชเต๋าสองคนได้สนทนากัน

“ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเมืองหลวงราชวงศ์ แต่เนื่องจากข้าต้องการตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ข้าคงต้องไปถามคนใช้ในวัง คนใช้บางคนที่รับผิดชอบงานในอดีต ตอนนี้พวกเขาได้กลับไปยังบ้านเกิดและเกษียณอายุตัวเอง…”

“พวกเขาน่าจะพอรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้”

แม้ว่าบุรุษร่างใหญ่จะมีลักษณะท่าทีที่ดูบูดบึ้งแต่เขาก็ค่อนข้างพิถีพิถัน

เขากำลังคิดหาทางแก้ไขปัญหาในตอนนี้

นักบวชหนุ่มก็เช่นเดียวกัน

“ข้าจะเดินทางไปที่พระราชวังต้องห้ามและดูเอกสารทั้งหมดของพวกเขา แม้ว่าองค์ชายผู้นั้นจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง แต่มันก็น่าจะมีบันทึกข้อมูลไว้ในเอกสารของราชวงศ์ หากได้ดูสิ่งนั้นเราก็จะรู้ว่าเขายังอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว”

นักพรตเต๋าสองคนได้เดินทางไปหาอดีตองค์ชายซึ่งปัจจุบันได้เป็นท่านลอร์ดที่มีที่ดินและความมั่งคั่งเป็นของตัวเอง

อดีตองค์ชายผู้นี้เคยต่อสู้กับ หลินจิ่วเฟิง เพื่อท้าชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทในตอนนั้นและเขาได้ล้มเหลว

จากนั้นเขาก็ล้มเหลวอีกครั้งจากการเผชิญหน้ากับจักรพรรดิหยวนในการชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท

หลังจากพ่ายแพ้ถึงสองครั้ง เขาก็รู้สึกท้อแท้และตัดสินใจที่จะปล่อยวางทุกสิ่ง

เขาได้กลายเป็นองค์ชายที่เกียจคร้านและใช้เวลาทั้งวันไปกับการใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน

ตอนนี้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างไร้ความกังวล

นักพรตเต๋าสองคนได้มาเยี่ยมเขาในเวลากลางคืนและเปิดเผยสถานะของพวกเขา

สิ่งนี้ทำให้องค์ชายผู้เกียจคร้านหน้าซีดด้วยความตกใจและรีบต้อนรับพวกเขา

เขาเป็นเพียงเชื้อพระวงศ์ที่เกียจคร้าน เขาจะกล้าต่อกรกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋าอย่างภูเขาหลงหู่ได้อย่างไร?

“ท่านนักพรต...ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกท่านถึงมองหาข้า?”องค์ชายที่เกียจคร้านได้กล่าวถามอย่างระวัง

เขาหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้มาหาเขาเพราะต้องการกบกฏและต้องการความช่วยเหลือจากเขา

เพราะเขาไม่อยากจะทำมันเลย

ตอนนี้เขาคุ้นเคยกับวิถีชีวิตของเขาในขณะที่เป็นองค์ชายที่เกียจคร้านแต่เต็มไปด้วยความมั่งคั่ง

“เรามาที่นี่เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับองค์รัชทายาทที่ถูกปลดในตอนนั้น”นักพรตเต๋าหลิวหยุนได้ตอบกลับ

องค์ชายผู้เกียจคร้านได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก โชคดีที่ความกลัวที่เลวร้ายที่สุดของเขาไม่ได้เป็นจริง

แต่เขาก็ตกใจในคำพูดของนักพรตเต๋าหลิวหยุนเช่นเดียวกัน

“ท่านต้องการถามข้าเกี่ยวกับน้องสามของข้า หลินจิ่วเฟิง ใช่หรือไม่?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด