ตอนที่แล้วChapter 5
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 7

Chapter 6


I’m Not Interested In The Main Characters (แปลไทย)

Chapter 6

ทันทีที่ลงบันไดไปชั้นล่าง เธอก็เห็นแคสเซียนกำลังรอเธออยู่

ผมของเขาถูกเสยขึ้นไปด้านหลังเหมือนตอนที่เธอพบกับเขาครั้งแรก แต่วันนี้เขาใส่สูท

ไม่ใช่เครื่องแบบเหมือนครั้งก่อน ครั้งนั้นดูเหมือนเขาจะสวมเครื่องแบบอะไรสักอย่าง

งานเลี้ยงในวันนั้นเป็นการเฉลิมฉลองต้อนรับสู่อาณาจักรวันแรกของเหล่าอัศวินที่เพิ่งกลับมาจากสงคราม

‘ตอนเขาสวมชุดเครื่องแบบก็ดูดี แต่พอสวมชุดนี้ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ’

อาจจะเพราะเขาเป็นผู้ชายที่มีรูปร่างดี

เขาเพียงแค่กลอกตาและยกริมฝีปาก นั่นดูเหมือนว่าจะทำให้บรรยากาศรอบตัวเธออบอุ่นขึ้น

เธอไม่ใช่คนที่หวั่นไหวไปกับรูปลักษณ์ภายนอกง่าย ๆ แต่เพราะเขาเป็นผู้ชายแบบที่เธอชอบ ถึงแม้เขากับเธอจะไม่ได้เป็นอะไรกัน นอกจากคนที่แบล็กเมล์เธอก็ตาม แต่มันก็อดหวั่นไหวไม่ได้

“ชุดนี้เหมาะกับคุณมาก”

แคสเซียนยื่นมือออกมาพร้อมกับแสดงสีหน้าว่า ‘ผมคิดแบบนั้นจริง ๆ’

“ขอบคุณค่ะดยุค คุณก็ดูดีเช่นกัน”

เพราะแคสเซียนมีอุณหภูมิร่างกายที่สูงกว่า เธอจึงรู้สึกเหมือนเป็นไข้เวลาที่เขาสัมผัส

ณ เวลานี้พวกเขาไม่ได้มีเวลามากนัก เพื่อให้ทันงานเลี้ยง เธอจึงรีบตรงดิ่งไปยังรถม้า

เอลิเซียมองไปที่รถม้า เธอถอนหายใจเล็กน้อย

นี่มันเป็นการทรมานแบบใหม่ใช่ไหม รถม้านั่นเล็กนิดเดียว!

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องอยู่ด้วยกันในพื้นที่เล็ก ๆ แห่งนั้น

ทันทีที่รถม้าออก เอลิเซียก็พูดขึ้น

“คราวต่อไป หากคุณอยากพบฉัน จะมาแจ้งล่วงหน้าแค่วันเดียวแบบครั้งนี้ไม่ได้ โปรดจงรู้ไว้ด้วยนะคะ”

“จะช้าหรือเร็ว ยังไงคุณก็ต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงกับผมอยู่ดี”

ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นโรคหลงตัวเอง แต่เขาก็ต้องสนใจเธอไม่น้อยเหมือนกันนั่นแหละ

เอลิเซียรู้ว่าเขายุ่งจะตาย แต่ในทุกสัปดาห์ เขาก็จะใช้ 1 วันเต็ม ๆ กับเธอ มันสมเหตุสมผลซะที่ไหน?

เอลิเซียหยิบประเด็นสำคัญขึ้นมาพูดในที่สุด

“แล้วคุณจะทำยังไงกับข่าวลือที่บอกว่า ดยุคเอสเตบันตกหลุมรักฉันตั้งแต่แรกพบ”

“แล้วคุณอยากให้ผมทำยังไง?”

“ฉันเฉยๆ ฉันไม่คิดว่ามีความหมายอะไรด้วยซ้ำ”

“ฮะ ๆ”

แคสเซียนเอียงศีรษะ ขบขันเอลิเซีย

ท่าทางที่เขานั่ง มันดูหยิ่งผยองสุดๆ นั่งไขว่ห้าง พิงแขนกับรถม้าแล้วจับคางตัวเอง

เธอรู้สึกรำคาญ เพราะยิ่งเขาทำแบบนั้น มันกลับทำให้เขาดูดีขึ้นไปอีก

เอลิเซียจึงเอนหลังพิงและหลับตาลง เพื่อไม่ให้เห็นเขาในสายตาอีกต่อไป

ถึงแม้จะหลับตา เธอก็รู้สึกได้ว่า เขากำลังจ้องเขม็งมาที่เธอ เธอจึงเอียงศีรษะไปด้านข้างเล็กน้อย

แต่เมื่อเธอเอียงศีรษะไปด้านข้าง นั่นทำให้คอเรียวระหงส์ของเธอดูโดดเด่นโดยไม่รู้ตัว และมันกำลังดึงดูดความสนใจจากฝ่ายตรงข้าม

สายตานั้นยังคงจ้องมอง เอลิเซียกัดริมฝีปากและลืมตาขึ้น

เธอกระพริบตาสองสามครั้ง เห็นสายตาของเขากำลังจ้องไปที่สร้อยคอ จึงเอ่ยปากถาม

“นี่ คือ ดวงเนตรของผู้พิทักษ์ใช่ไหมคะ?”

“ถูกต้อง”

“คุณไปได้มายังไง?”

“จะได้มายังไงไม่สำคัญ เอาเป็นว่า เป็นค่าตอบแทนที่คุณให้ความร่วมมือกับการจับตาดูของผมก็แล้วกัน”

เอลิเซียทำปากล้อเลียนเขา

เสียงคนควบม้าออกคำสั่ง รถม้าหยุดลงและประตูถูกเปิดออก

เอลิเซียจับแขนแคสเซียนลงมาจากรถม้าและหายใจเข้าลึก ๆ

นอกจากวันแรกในงานเลี้ยง เอลิเซียก็ไม่ได้ออกไปในที่ที่มีคนพลุกพล่านที่ไหนอีกเลย

วันนั้นเธอไม่คิดว่าตัวเองจะทำอะไรตื้น ๆ แบบนั้นลงไป วันนี้มันจึงทำให้เธอกำลังประหม่า

“ดยุคเอสเตบันและเลดี้โลเวลล์มาถึงแล้ว!”

หลังจากสิ้นเสียงประกาศที่ทางเข้า เอลิเซียเริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย

แคสเซียนสังเกตเห็นว่ามือที่กำลังควงแขนเขาอยู่มีอาการเกร็งขึ้น เขาจึงหันไปหาเอลิเซีย

“คุณรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”

“ไม่นี่คะ”

แคสเซียนเอื้อมไปจับมือของเอลิเซียที่บีบแน่นให้คลายออก

ไม่สิ นี่ฉันว่ามันดูเหมือนจะเป็นการกุมมือมากกว่านะ

เอลิเซียมองเขาอย่างประหลาดใจ นี่เขากำลังเป็นห่วงฉันอยู่หรือเนี่ย?

“คุณควรอยู่ใกล้ ๆ ผมเข้าไว้นะ ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบวันนั้นขึ้นอีก เดี๋ยวคุณจะมีปัญหาเปล่า ๆ”

“โอ้ย ฉันไม่ได้กังวลเรื่องนั้นซะหน่อย!”

เอลิเซียกอดอกและฉีกยิ้ม

เหตุผลที่เขาควงเธอมาออกงานวันนี้ ดูเหมือนจะเป็นการคอยเฝ้าจับตาดูเธอมากกว่า

แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณแคสเซียนที่ทำให้ร่างกายเกร็ง ๆ ของเธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง แต่เธอไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งอะไรด้วยหรอกนะ

วินาทีที่แคสเซียนและเอลิเซียปรากฎตัวขึ้น เสียงอุทานต่าง ๆ ก็ดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศ

บทสนทนาของเหล่าขุนนางที่กำลังพูดคุยถึงคนอื่น ๆ อย่างวุ่นวาย กลับกลายเป็นความเงียบงัน

ทุกสายตาจับจ้องไปที่ชายและหญิงที่กำลังเดินเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง

“ฉันเดาว่าพวกเขาต้องเป็นคู่รักกันจริง ๆ แน่นอน”

“อ้าว แล้วเจ้าชายล่ะ?”

“พวกเขาเลิกกันไปแล้ว มันถึงดูแปลก ๆ นี่ไง”

“อ๊ะ ! นั่น! นั่นมันดวงเนตรของผู้พิทักษ์ไม่ใช่เหรอ ?”

เอลิเซียและแคสเซียนเดินผ่านเสียงรอบข้างและสายตาที่กำลังจับจ้องอย่างไม่สนใจ

เอลิเซียเพิ่งรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าร่วมงานเลี้ยงพร้อมคู่ควงอย่างเป็นทางการ

เอลิเซียยักไหล่ให้เสียงซุบซิบของเหล่าเลดี้จากมุมห้อง และหยิบแก้วไวน์จากบริกร

ขณะแก้วไวน์กำลังแตะริมฝีปากเธอ แคสเซียนเลิกคิ้วขึ้นและหยิบฉวยแก้วจากมือของเธอไป

“ดยุค?”

“หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ดีกว่าไหม? วันนั้นคุณก็เมาเหมือนกันนี่”

นี่เขากำลังตั้งใจแกล้งฉันหรือไงนะ?

เอลิเซียมองตามแก้วที่กำลังถูกคืนให้บริกร เธอบีบแขนเขาอย่างตั้งใจ หวังจะให้เขารู้สึกเจ็บ

แคสเซียนยิ้มและเอ่ยปาก

“แนบชิดแบบนี้มันมากไปนิดนะครับ”

“ฉันเดาว่าคุณน่าจะชอบแบบนี้นี่คะ”

เอลิเซียกระซิบเบาๆ พร้อมส่งรอยยิ้มให้

เหล่าขุนนางที่คอยวนเวียนอยู่รอบ ๆ เพื่อต้องการพูดคุยกับแคสเซียน ต่างจ้องมองพวกเขาทั้งคู่ เนื่องจากพวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถหาช่องว่างเข้าไปได้

เดิมทีแคสเซียนเป็นคนเข้าหายากอยู่แล้ว แต่นี่ดูเหมือนจะยากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะบรรยากาศรอบตัวของทั้งคู่ ให้ความรู้สึกเหมือนทั้งสองกำลังอยู่แค่ในโลกของตัวเอง

ขณะที่เอลิเซียกำลังพูดคุยอยู่กับแคสเซียน เสียงร้องประกาศการเสด็จของเจ้าชายก็ดังขึ้น

บทสนทนาระหว่างเอลิเซียกับแคสเซียนหยุดลงชั่วขณะ เหล่าขุนนางต่างพากันมารุมล้อมเขา

“ดยุค ผมได้ยินข่าวลือจากอาณาจักรรอบข้างบอกว่า ท่านมีบทบาทสำคัญในการปราบปรามครั้งนี้”

“ท่านจะอยู่ที่เมืองหลวงสักพักไหม?”

แคสเซียนดันเอลิเซียไปด้านหลังเขาเล็กน้อยและรับมือกับเหล่าขุนนาง

เมื่อสบโอกาส เอลิเซียคิดว่าจะเดินไปที่ห้องนั่งเล่น แต่แขนของเขากำลังคล้องแขนเธอไว้อยู่ เธอจึงส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมา

เหล่าขุนนางที่กำลังพูดคุยกับแคสเซียน ต่างจ้องมองและชี้เพื่อให้เขายอมปล่อยแขนเธอออก ขอบคุณพวกเขาที่ทำให้แคสเซียนหันมอง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้แคสเซียนสนใจ

เขายังคงคล้องแขนเธออยู่แบบนั้น

‘นี่มันอะไรกันเนี่ย?’

เอลิเซียเบือนหน้าหนี

วันนี้เป็นวันที่พระเอกและนางเอกเข้างานมาด้วยกัน

ลูเมียร์ในเดรสสีขาวสวยงามมาก

เธอยิ้มแย้ม และด้วยผมเปียบลอนด์สว่างของเธอที่วางพาดอยู่บนไหล่ ทำให้เอลิเซียเข้าใจแล้วว่าทำไมในนิยาย เธอถึงถูกขนานนามว่า แม่พระ

ทุกครั้งที่เธอหัวเราะ ดวงตาสีเขียวใสของเธอจะเป็นประกาย

ถัดจากเธอ เจ้าชายเรวอสกำลังยิ้มหวาน

ผมของเขาถูกเสยไปด้านหลังทุกเส้น

เอลิเซียเริ่มรู้สึกเบื่อ ถ้าเป็นปกติ เธอคงได้พักผ่อนในที่ที่เธอสบายใจและค่อยตรงกลับบ้าน แต่นี่มันดูเหมือนจะมีแต่ฝูงชนรุมล้อมอย่างไม่จบไม่สิ้น เป็นเพราะแคสเซียนคนเดียว

เอลิเซียดึงแขนของแคสเซียน แล้วกวักมือเรียกให้เขาลดศีรษะลง

“ฉันจะไปอยู่ที่ห้องนั่งเล่น”

เมื่อแคสเซียนได้ยินเธอกระซิบข้างหู เขาก็ส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ พร้อมคำตอบว่า ไม่

เอลิเซียกระตุกแขนตัวเองอีกครั้ง

เธอจ้องเขม็งที่แคสเซียนเพื่อส่งสัญญาณให้เขาหันมากลับมาหาเธอโดยเร็ว

****

เอลิเซียเดินมาถึงห้องนั่งเล่นที่ว่างเปล่า เธอทิ้งตัวลงราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับโซฟา

ปัญหาตอนนี้ คือฉันทำชุดยับซะแล้ว

“ช่วยไม่ได้ ช่างเถอะ”

เธอเอื้อมมือไปจะคลายผมออกอย่างที่เคยชิน แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เธอรวบผมขึ้นสูง

ในใจสงสัยว่า มีงานเลี้ยงอื่น ๆ อีกไหมที่เธอต้องเข้าร่วม

ตอนนี้ ต่อให้เธอจะถูกขอให้ไปเป็นคู่ควงในงานปาร์ตี้อื่น ๆ ของขุนนางตระกูลไหนก็ตาม เธอสาบานว่าจะปฎิเสธอย่างแน่นอน เธออ่อนล้าเหลือเกิน

ขณะเธอกำลังตกในห้วงความคิดของตัวเอง ก็รู้สึกถึงการมาของใครบางคนที่หน้าประตู

เอลิเซียคิดว่านั่นคือแคสเซียน เธอจึงเอ่ยปากทันทีที่ประตูเปิด

“ตอนนั้น ฉันทนไม่ไหว..”

“เลดี้”

เสียงประตูปิดลง เรวอสกำลังยืนจ้องมองเธออยู่

เอลิเซียลุกขึ้นและโค้งคำนับ

“คำนับ มกุฎราชกุมารเพคะ”

“เลดี้ ที่เจ้าขอเลิกกับเรา เป็นเพราะดยุคเอสเตบันหรือเปล่า”

เอลิเซียกระพริบตาสองสามครั้งแล้วเอียงศีรษะ

ทำไมเขาถึงอยากรู้เรื่องนั้นกันนะ? หรือเขาไม่พอใจที่ต้องไปเกี่ยวพันกับข่าวลือ?

“ฝ่าบาท ดยุคเอสเตบันไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยเพคะ แต่ก่อนอื่น การเข้ามาในขณะที่เลดี้พักผ่อนอยู่ลำพังโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม ถือเป็นเรื่องที่หยาบคายนะเพคะ หม่อมฉันไม่ต้องการให้เกิดความเข้าใจผิดอะไรไร้สาระอีก”

เอลิเซียโค้งคำนับอีกครั้งและตั้งใจจะก้าวออกจากห้อง

เรวอสคว้าข้อมือของเธอขึ้นสูงและมองเธอด้วยสายตาที่ไม่รู้จัก

“เจ้ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับดยุคเอสเตบัน?”

“ปล่อยหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่ต้องการตอบคำถามเรื่องส่วนตัวใดๆ ทั้งนั้น”

เอลิเซียขมวดคิ้วและพยายามดึงข้อมือของเธอกลับ แต่เรวอสกลับยิ่งบีบแน่น

เธออยากจะใช้แรงมากกว่านี้ แต่กลัวว่ามันจะทำให้ตัวเขาโดยเหวี่ยงลอยหรือไปกระแทกกับกำแพงเข้า

ดังนั้น เธอจึงทำอะไรมากไม่ได้

เรวอส ลดระดับสายตาจากข้อมือเธอ

“ฮ่า ๆ ! ดวงเนตรของผู้พิทักษ์ ! ถ้าเจ้าต้องการอะไรพวกนี้ ก็แค่บอกเรามาสิ”

นี่เขาไปได้ยินอะไรไร้สาระมางั้นเหรอ ?

เหมือนเขาจะคิดว่า ไม่ว่าเธอจะต้องการอะไรก็แค่บอกเขาสิ เขาก็จะซื้อให้ทุกอย่าง

เขาตีความว่า เธอกำลังมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนนั้นเพื่อเรื่องแบบนี้เท่านั้น

จะบอกว่ามกุฎราชกุมารก็สามารถมอบดวงเนตรของผู้พิทักษ์ให้เธอได้งั้นเหรอ ?

เธอไม่รู้ว่าแคสเซียนได้มาจากไหน แต่ต่อให้จะเป็นจำนวนมากน้อยแค่ไหนก็ตาม เธอสงสัยว่าคนอย่างเรวอสน่ะเหรอ จะมีความพยายามพอที่จะหามาให้เธอได้

“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอทูลถามฝ่าบาทได้ไหมว่า ทำไมจู่ๆ ถึงทรงทำเช่นนี้?”

“ถ้าเจ้ากำลังพยายามทำให้เราหึงอยู่ เจ้าควรหยุดจะดีกว่า”

“ดูเหมือนฝ่าบาทจะกำลังทรงเข้าใจผิดอยู่นะเพคะ”

เอลิเซียไม่เคยพูดอะไรกับเรวอสตลอด 5 ปีที่ผ่านมาเรื่องที่เขาใช้ชีวิตอย่างสุรุ่ยสุร่ายและพาผู้หญิงขึ้นเตียงทุกคืน ๆ

อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยมีคู่ควงคนอื่น ๆ หรือพาผู้หญิงเหล่านั้นออกสังคมอย่างเป็นทางการ

ตลอดห้าปีที่ผ่านมาก โชคดีที่เรวอสไม่เคยแตะต้องเธอเลย และเธอจะได้รับการนัดหมายเพื่อพบเจอกันเดือนละ 1 ครั้ง จากเขาเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ซึ่งสถานที่ก็คือ โต๊ะน้ำชาที่พระราชวงไอเซิลของเขาเอง

แถมยังมีกองเอกสารวางอยู่บนโต๊ะนั่นเสมอ

ทั้งหมดมีเพียงแค่นั้น..

ทำไมเขาต้องใช้คำว่า ช่วงเวลาจิบน้ำชาที่สงบทุกครั้งที่พบกันเสมอ ? เขาใช้เวลาไปนานแค่ไหนกับการเยียวยาตัวเองจากความโกรธเกรี้ยวเรื่องวงศ์ตระกูล? และตอนนี้จะบอกว่าเขาก็กำลังหึงอย่างงั้นเหรอ?

เอลิเซียมองเรวอสด้วยสายตาเย็นชา

“โปรดอย่าทำให้เรื่องมันยากเลยเพคะ”

ถ้าครั้งนี้เขาไม่ยอมปล่อยอีก เธอคงต้องใช้กำลัง

แต่กลับกันข้อมือของเธอ กลับถูกปล่อยออกอย่างง่ายดาย

ทันทีที่เรวอสปล่อยข้อมือของเอลิเซียออก เขาจับไหล่ของเธอแล้วดันตัวเธอจนติดกำแพง

เขาโน้มศีรษะลงและพยายามจูบเอลิเซีย

ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก

สายตาของทั้งเอลิเซียและเรวอส มองไปยังบุคคลที่สามในเวลาเดียวกัน

แคสเซียนก้าวเดินเข้ามาในห้อง

***

.

.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด