ตอนที่แล้วตอนที่27 ความพ่ายแพ้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่29 การตื่นขึ้น

ตอนที่28 ทัณฑ์สวรรค์โอสถ


ตอนที่28 ทัณฑ์สวรรค์โอสถ

ชั่วขณะอึดใจ จากแสงตะวันเจิดจ้าแปรเปลี่ยนเป็นฟ้ามืดครึ้ม สายอันสีแผดลั่น สายวชิระแซ่ซ้องวูบวาบดั่งอสรพิษหลายหลากเส้นสายกลางน่านฟ้า

ทว่าพวกมันจำนวนมากกลับผ่าลงยังจุดๆเดียวสักที่หนึ่งในเบื้องลึกเรือนตำหนักตระกูลเย่ ทอแสงสาดระยิบระยับเป็นประกายแสงภายใต้ผืนพิภพอันมืดมิด

ทันใดนั้นเสียงอุทานหนึ่งพลันดังขึ้น

“ตรงนั้นมันเรือนพักของท่านประมุขตระกูลมิใช่รึ? หรือว่าท่านประมุขยังคงเก็บตัวอยู่ในนั้น?”

เย่เจวี๋ยเองก็เก็นเช่นกัน ทว่าปราศจากท่าทีประหม่าอันใด ดูจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดูเหมือนว่าท่านปู่กำลังจะเลื่อนระดับชั้นอยู่ แต่หาใช่ว่าท่านปู่ของเขาเพิ่งทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงเองมิใช่รึ? หรือนี่จะสามารถเลื่อนระดับชั้นได้อีกแล้ว?

หากเป็นในกรณีที่ว่าไปจริง แสดงว่าพรสวรรค์ของท่านปู่เหนือชั้นกว่าเขามาก ไม่ก็จะต้องพบเจอสมบัติธรรมชาติใดเข้าถึงมีความเร็วพัฒนาที่น่าสะพรึงปานนี้ แต่ไม่ว่าข้อสันนิษฐานใดกลับดูไม่ใกล้เคียงเลย เย่เจวี๋ยส่ายหัวพลางปฏิเสธความคิดก่อนหน้าไปทันที

ในเวลาเดียวกัน สายอัสนีบาตรที่ฟาดผ่ามาบรรจบกันก็หลอมรวมกลายมาเป็นเสาอัสนีต้นใหญ่หาที่ใดทัดเทียมไม่ ตั้งอยู่กลางเรือนเก็บตัวของเย่ฉิงฉง ทำให้ตัวสิ่งก่อสร้างทั้งหมดพังทลายลงมาทันที

เย่ชิงฉงไม่เพียงแต่จะมิได้รับบาดเจ็บใดๆ เลย แถมตอนนี้ร่างของเขายังค่อยๆ ลอยขึ้นกลางเวหาพร้อมด้วยท่าขัดสมาธิ ดวงเนตรจักรพรรดิสายฟ้าคู่นั้นลืมตาตื่นขึ้น ปรากฏเป็นประกายสายฟ้าสีม่วงจ้าจรัสไร้เทียมทาน ประดับเคียงคู่กับบรรยากาศสายวชิระแซ่ซ้องโดยรอบ ยิ่งเสริมบารมีดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง

เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!

อัสนีบาตฟาดฟันผ่าลงมาสามลูกติด พอมันทั้งสามสายผ่าลงใส่ร่างกายของเย่ชิงฉง ดวงเนตรจักรพรรดิเทพสายฟ้าคู่นั้นก็ยิ่งสว่างเป็นประกายระยิบระยับมากขึ้น เสมือนดวงดาราสองดวงดูสวยงามยิ่งนัก

และตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะถึงขีดจำกัดแล้ว สายอัสนีบาตรหาได้กระหน่ำฟาดฟันลงมาอีกต่อไป ทันใดนั้นเย่ชิงฉงก็ค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้งหนึ่ง ร่างที่ลอยเคว้งกลางเวหาค่อยๆ ร่อนลงมาสู่พื้นดิน ในเวลานี้ผิวพรรณของเขาดูผ่องใสอย่างยิ่งยวด ลมหายใจเข้าออกแต่ละจังหวะช่างลึกล้ำ

เสี้ยวอึดใจต่อมา รัศมีทำลายล้างกลางท้องนภาพลันปะทุออกมา ต้นเหตุทั้งหมดมาจากคลื่นพลังสายฟ้าที่แผ่ซ่านจากร่างเย่ชิงฉง กวาดกระจายออกไปทั่วทั้งเมืองหลงเยวี่ย ไม่มีใครไม่รู้สึกถึงรัศมีแรงกดดันอันแกร่งกล้านี้

ทั่วกายาร่างของเย่ชิงฉงถูกโอบล้อมไปด้วยประกายสายฟ้าสีม่วงปนน้ำเงินเป็นชั้นหนา พินิจตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับเทพสายฟ้าอย่างใดอย่างนั้น!

“นี่มัน...สายเลือดบรรพกาลของตระกูลข้า ท่านปู่สามารถปลุกสายเลือดแห่งตระกูลไท่กู่เหล่ยโดยอาศัยเนตรจักรพรรดิสายฟ้าได้จริงๆ”

เย่เจวี๋ยร้องอุทานขึ้นด้วยความตื่นตกใจเล็กน้อย

ในฐานะจักรพรรดิเทพสายฟ้า ณ ชีวิตก่อนหน้า เขาย่อมทราบสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตระกูลไท่กู่เหล่ยดีที่สุด เย่ชิงฉงสามารถปลุกสายเลือดบรรพกาลของตระกูลไท่กู่เหล่ยตื่นขึ้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย ยามที่สายเลือดนี้ได้ตื่นขึ้น ความแกร่งกล้าของผู้นั้นจะถูกยกระดับให้สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด กล่าวได้ว่า เขาสามารถอาศัยสิ่งนี้ขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดของผืนพิภพได้ไม่ยาก

เย่ชิงฉงลืมตาตื่นขึ้นโดยไว ในขณะเดียวกันประกายสายฟ้ารอบตัวก็ค่อยๆ จางหายไป ที่เขาต้องทำแบบนี้เพราะเพื่อความปลอดภัยของคนรอบข้าง หากยังคงสภาพนี้ไว้แล้วเผลอไปสัมผัสตัวคนอื่นเข้า มีหวังถูกสายฟ้าแผดเผาจนเหลือเพียงเถ้าถ่านในพริบตา เย่ฉิงชงไม่คิดไม่ฝันสักครั้งในชีวิตเลยว่า เขาจะประสบความสำเร็จได้ไกลถึงขนาดนี้

เย่เจวี๋ยที่พินิจจากลมหายใจของอีกฝ่ายก็ทราบได้ทันทีว่า เขาทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปราณเคียงฟ้าได้แล้ว

ในเวลานั้นเอง บรรดาสมาชิกตระกูลเย่เองต่างตื่นตกลึงอย่างยิ่ง อาณาจักรปราณเคียงฟ้า! ท่านประมุขตระกูลเย่ในตอนนี้สามารถก้าวขึ้นสู่อาณาจักรปราณเคียงฟ้าได้แล้วจริงๆ!

ระดับชั้นพลังดังกล่าว ผู้ใดทะลวงผ่านได้สำเร็จนับเป็นชนชั้นสูงในเมืองใหญ่ แล้วนี่นับประสาอะไรกับเมืองชนบทเล็กๆ อย่างเมืองหลงเยวี่ยกัน? ต่อให้ถูกปล่อยทิ้งตามลำพังกลางผืนพิภพ ก็ยังนับว่าเป็นการดำรงอยู่ที่น่าสะเทือนขวัญของเราผผู้คนยิ่ง

“ท่านปู่ ท่านสามารถปลูกสายเลือดตระกูลไท่กู่เหล่ยในตำนานของตระกูลเราได้แล้วกระมัง?”

เมื่อเย่ชิงฉงเหาะมาถึงตรงหน้า เย่เจวี๋ยก็แสร้งปั้นหน้าเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“ใช่แล้วเจวี๋ยเอ๋อ ทั้งหมดเป็นเพราะเนตรจักรพรรดิสายฟ้าที่เจ้ามอบให้แก่ข้า”

เย่ชิงฉงระเบิดหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข พลางตบไหล่เย่เจวี๋ยด้วยความภาคภูมิใจ

ตอนนี้เขากลายมาเป็นยอดยุทธ์อาณาจักรปราณเคียงฟ้าได้แล้ว ซึ่งนี่ทำให้เย่ชิงฉงมีความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่

ในเวลาเดียวกัน เย่เจวี๋ยก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก เขากวาดสายตาเหลือบมองไปโดยรอบ ก่อนขมวดคิ้วกล่าวว่า

“เท่าที่ข้าทราบ การตื่นขึ้นของสายเลือดบรรพกาลนับเป็นชะตาฟ้า แต่หากผู้คนในยุคใดสามารถปลุกสายเลือดขึ้นได้เพียงหนึ่งคน นั้นจะก่อให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด ทำให้สายเลือดในรุ่นเดียวกันหรือใกล้เคียงตื่นขึ้นได้เช่นกัน นั้นหมายความว่า การที่ท่านสามารถปลุกสายเลือดบรรพกาลของตนเองขึ้นได้แล้ว คนอื่นๆ เองในตระกูลของเราน่าจะปลุกได้เช่นกันมิใช่รึ? แต่ทำไมคนอื่นๆ ในตระกูลเย่ของเรายังไม่มีท่าทีอะไรเปลี่ยนไปเลย?”

กล่าวออกไปเช่นนั้น เย่เจวี๋ยก็พลางครุ่นคิดขึ้นมาอีกครา เขาพอจะสันนิษฐานภายในใจอยู่บ้างแล้ว หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะตระกูลของพวกเขาตกต่ำมาเนินนานแล้ว จนทำให้สายเลือดบรรพกาลของตระกูลไท่กู่เหล่ยที่ไหลเวียนในร่างกายของทุกคนตระกูลเย่เจือจางเกินกว่าจะเกิดปรากฏการณ์ปลุกสายเลือดขึ้นได้?

“ข้าเองก็มิทราบ”

เย่ชิงฉงกวาดสายตาดูเหล่าลูกหลานตระกูลเย่รอบตัว พลางส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

ในเวลาเดียวกัน เย่เจวี๋ยก็เงยหน้าทอดสายตาไปยังกลุ่มเมฆที่ยังมิได้กระจัดกระจายตัวดีบนท้องนภา ยามนั้นดวงตาเปล่งประกายขึ้นทัน รีบเอ่ยปากขึ้นทันทีว่า

“ท่านปู่! ข้ามีวิธีแล้ว!”

“บรรดาสมาชิกตระกูลเย่ทั้งหมด ทำตามที่ข้าสั่ง รีบเดินทางขึ้นไปบนเขาลูกนั้นโดยเร็วที่สุด!”

เย่เจวี๋ยเอ่ยปากตะโกนเสียงดังฟังชัด

ทางด้านเย่ชิงฉงเองก็ไม่กล้ากล่าวขัดอะไรเช่นกัน จึงไปเรียกคนรับใช้ทั้งหมดไปเรียกคนของตระกูลเย่ทั้งหมดให้มารวมตัวกัน และเดินตามเย่เจวี๋ยขึ้นไปบนภูเขาลูกที่ว่าทันที

“ท่านปู่ รบกวนท่านแล้ว”

เย่เจวี๋ยประสานมือกล่าวขอบคุณให้เย่ชิงฉง

ระหว่างทางขึ้นเขา เย่เจวี๋ยก็ได้อธิบายกับเย่ชิงฉองเกี่ยวกับแผนการดังกล่าว ซึ่งแผนการที่ว่าคือ เย่เจวี๋ยต้องการจะให้เย่ชิงฉงเรียกอัสนีบาตมาจากขุมพลังของเนตรจักรพรรดิสายฟ้า ดึงดูดใครเกิดปรากฏการณ์ฟ้าคะนองวิปลาสอีกครา ระหว่างที่เกิดพายุสายอัสนีบาตคำรนนี้ เขาจะให้เย่ชิงฉงสำแดงใช้เคล็ดวิชาลับบ่มเพาะสายอัสนีแขนงหนึ่งที่เขาเคยได้มาโดยบังเอิญ ระหว่างการหลอมกลั่นโอสถในชีวิตก่อนหน้า ซึ่งนี่จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพสายเลือดในร่างกายของสมาชิกตระกูลเย่ให้ตื่นขึ้นได้

หลังจากอธิบายเสร็จสรรพ เย่ชิงฉงก็ขัดสมาธิและหลับตาลงทันทีโดยไม่พูดพร่ำ จากนั้นค่อยเงยหน้าลืมตาขึ้นตื่นขึ้นอีก ปรากฏเป็นสายอัสนีบาตรสีม่วงรคำรนลั่นกลางห้วงนภาอีกครั้งหนึ่ง ประกายสายฟ้าก่อเกิดเป็นชั้นหนาห่อหุ้มรอบกายาเป็นคำรบสอง

ทันใดนั้น กลุ่มเมฆาเริ่มจับตัวแน่น สุดขอบฟ้าแสนไกลถูกย้อมกลายเป็นสีทมิฬ ทั้งประกายอัสนีบาตรแลบ สายวชิระแซ่ซ้องกระหน่ำผ่าลงมาอย่างบ้าคลั่ง

เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!

พายุ ห่าพิรุณ อัสนีบาต...

สามองค์ประกอบหลักได้ก่ตัวรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว เย่เจวี๋ย้เร่งย่างก้าวเดินเข้าไปใกล้โดยบอกให้ทุกคนถอยกลับไปด่อน ทันดังนั้นเองดวงตาคู่นั้นของเขาพลันหรี่เล็กลงทันที ก่อนจะแหงนศีรษะจับจ้องบนท้องนภากว้าง อาศัยพลังจิตวิญญาณในชีวิตก่อนหน้าที่ยังหลงเหลืออยู่ในก้นบึ้งดวงตาคู่นี้ เข้าควบคุมสายวชิระอัสนีบาตรเหล่านั้นที่บ้าคลั่งดั่งม้าพยศอย่างเงียบงัน

พายุ ห่าพิรุณ แล้วอัสนีบาตรถูกควบรวมก่อเป็นทัณฑ์สวรรค์สายหนึ่ง ทอแสงส่องประกายระยิบระยับ พลานุภาพที่อัดล้นภายในทัณฑ์ดังกล่าวช่างมากมายจนท่วมท้นปริล้นออกมา

ในช่วงเวลาสั้นๆ บรรดาสมาชิกตระกูลเย่ทั้งหมดต่างตกตะลึงยิ่ง นี่ช่างเป็นภาพฉากที่เหลือเชื่ออย่างหาที่เปรียบไม่ ไม่สิ...นี่มันราวกับปาฏิหาริย์! ขอถามเพียงคำเดียว มีใครบนผืนพิภพนี้บ้างที่สามารถควบคุมปรากฏการณ์ฝนฟ้าวิปลาสได้เพียงจ้องมองเท่านั้นบ้าง?

อย่างไรดสัย นี่ยังไม่เพียงพอสำหรับเย่เจวี๋ย

ทั้งพายุ ห่าพิรุณและอัสนีบาตรยังคงระดมสั่งสมเข้าหลอมรวมกับทัณฑ์สวรรค์แกนกลางเป็นชั้นหนา ทอแสงส่องประกายระยิบระยับมากขึ้นต่อเนื่อง ทันทีทันใดกลางลำตัวของทัณฑ์สวรรค์ก็ค่อยๆ แยกตัวหลอมรวมขึ้นเป็นเม็ดโอสถอย่างน่าอัศจรรย์ ในขณะที่เม็ดโอสถเหล่านั้นแข็งตัวขึ้นเรื่อยๆ ทัณฑ์สวรรค์ดังกล่าวก็ยิ่งท่อแสงจรัสเปล่งประกายยิ่งขึ้น

แต่ทันใดนั้น เย่เจวี๋ยก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างก็ถึงกับเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน มีเงาบางสิ่งพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง เมื่อพินิจจากชุดอาภรณ์แล้วดูเหมือนจะเป็นนักพรตแห่งกวนหง ที่มันเดินทางมาแบบนี้คิดจะฉกฉวยโอสถที่เขาหลอมสร้างขึ้นจากทัณฑ์สวรรค์ไม่มีผิดเพี้ยน ทันทีที่หลอมกลั่นสำเร็จ นักพรตแห่งกวนหงจักต้องขโมยไปอย่างไม่ต้องสงสัย

บัดซบ! เมื่อเห็นดังนั้นเย่เจวี๋ยถึงขั้นสบถคำโตภายในใจ

เมื่อเห็นว่านักพรตผู้นั้นกำลังยื่นมือเข้ามาสัมผัสทัณฑ์สวรรค์ เบื้องหน้าพลันปรากฏเป็นขวานสายฟ้าขนาดยักษ์พุ่งเข้าสับนักพรตผู้นั้นทิ้งอย่างไร้ปราณี!

คิดจะชุบมือเปิปขโมยโอสถ เย่เจวี๋ยย่อมตอบแทนคนพวกนี้อย่างสาสมใจ

นักพรตคนดังกล่าวตัวขาดเป็นสองส่วนในทันที ร่างลิ่วลมดิ่งสะท้านร่วงลงมากลายเป็นศพไหม้เกรียม ไม่ว่านักพรตผู้นี้จะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังของจักรพรรดิเทพสายฟ้าย่อมต้องสิโรราบ แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวพลังที่หลงเหลืออยู่ก็ตาม โดยไม่สนใจอันใดอีก เย่เจวี๋ยสะบัดแขนเสื้อรีบเร่งหลอมกลั่นโอสถต่อทันที จากนั้นก็เร่งหยิบกล่องหยกขนาดใหญ่มาวางไว้ตรงหน้า

เม็ดโอสถค่อยๆ ร่วงลงมาจนเต็มกล่องหยก อาศัยโอสถพวกนี้ สายเลือดของเหล่าลูกหลานตระกูลเย่จะต้องตื่นขึ้นแน่นอน หากนั้นยังไม่เพียงพอก้แค่ฝึกปรือเพิ่มเติ่ม

เย่เจวี๋ยถึงกับจินตนาการไปไกลแล้ว่า อย่างน้อยที่สุดสมาชิกตระกูลเย่ทุกคนจะต้องทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วง โดยอาศัยสายเลือดบรรพกาลแห่งตระกูลไท่กู่เหล่ย

ซึ่งแน่นอน ภาพฉากปรากฏการณ์ดังกล่าวจะกลายมาเป็นเรื่องเล่าขานสืบต่อไปของตระกูลเย่ที่สลักจำอยู่ภายในใจไม่มีวันลืนอย่างแน่นอน

พอกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นลง เย่เจวี๋ยก็เดินไปหาศพของนักพรตที่ร่วงลงมาเมื่อครู่ ขอดูเสียหน่อยว่า ระดับพลังบ่มเพาะก็หาใช่จะต่ำ บางทีอาจมีสมบัติดีๆ ติดตัวอยู่บ้างในตัว

พอคิดได้เช่นนั้น เย่เจวี๋ยก็เริ่มรื้อค้นศพนักพรตทันที และเป็นอย่างที่เขาคิดว่า ภายในศพมีสมบัติดีๆ อยู่สองสามชิ้น น่าเสียดายอยู่อย่างเดียวคือ โอสถโดยส่วนใหญ่ที่นักพรตพกติดตัวมาโดนสายฟ้าเมื่อครู่ทำลายจนได้รับความเสียหาย แต่ในบรรดาสมบัติเหล่านี้ ก็ยังมีชิ้นหนึ่งที่เย่เจวี๋ยดูจะให้ความสนใจอย่างยิ่ง

มันคือป้ายตรา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สิทธิ์เข้าสอบเป็นขุนนางในทวีปตะวันออก ซึ่งในฐานะจักรพรรดิเทพสายฟ้าอย่างเขาย่อมคุ้นเคยกับทวีปตะวันออกเป็นอย่างดี

นครเมืองใหญ่ที่เจริญรุ่นเรืองยิ่ง ย่อมมีผู้แข็งแกร่งมากมายดั่งก้อนเมฆ

เอาล่ะ ได้เวลาออกจากเมืองเล็กๆ แห่งนี้และแสวงหาหนทางของผู้แกร่งกล้าที่แท้จริงเสียที!

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดกเย่เจวี๋ยก็กล่าวย้ำกับตัวเองภายในใจ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด