ตอนที่แล้วตอนที่25 ความลับ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่27 ความพ่ายแพ้

ตอนที่26 มณีสมบัติโลหิต


ตอนที่26 มณีสมบัติโลหิต

“ฮ่าฮ่าๆ เจ้าหนู ต้องขอบใจเจ้ามาก”

เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากมีท่าทีดุร้ายเย็นชา หลี่เยี่ยนเดินเข้ามาตบไหล่ของเย่เจวี๋ยพร้อมร่วนหัวเราะอย่างมีความสุข

ได้คำพูดของเด็กคนนี้ชี้ทางสว่างจนเลื่อนระดับชั้นขึ้นได้ หลี่เยี่ยนหาใช่คนอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ นอกจากนี้ การที่เย่เจวี๋ยสามารถมองขอบเขตพลังของเขาออก ทั้งยังทราบถึงความลับแห่งดินแดนมรดกของเผ่าพวกเขา นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งแล้วว่า เด็กหนุ่มคนนี้หาใช่คนธรรมดาทั่วไปไม่ และมีสถานะมากพอที่จะสนทนากับเขาได้

“มิกล้า”

เย่เจวี๋ยยิ้มพร้อมประสานมือตอบ

“หากเช่นนั้น พวกเราก็ไม่ควรอยู่นานให้วุ่นวายแล้ว ยังไงเสียก็ขอรับองค์หญิงกลับไปก่อน”

หลี่เยี่ยนกล่าวขึ้นพลางยื่นมือออกไปหาเฉี่ยวเอ๋อ หวังจะพาตัวกลับไปทันที

“ไม่! ข้าจะอยู่กับนายน้อย! ข้าไม่อยากไป!”

เฉี่ยวเอ๋อสะบัดตัวถอยหลังออกห่างหลี่เยี่ยนไปทันที

“ไม่ต้องกลัว เจ้าไปกับพวกเขาเถิด”

เย่เจวี๋ยคลี่ยิ้มอ่อนปลอบใจและกล่าวเย้าหยอกขึ้นว่า

“ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ภูมิหลังของเจ้าจะยอดเยี่ยมถึงปานนี้ หากรู้เช่นนี้แต่แรกคงไม่ปฏิบัติต่อเจ้าเยี่ยงคนรับใช้แน่นอน แต่กลับเป็นข้าที่ต้องปรนนิบัติเจ้าทุกวี่วันแทน”

“แต่...”

เฉี่ยวเอ๋อคล้ายอยากจะกล่าวอะไรสักอย่างออกไป แต่สุดท้ายก็หยุด จากนั้นก็เปลี่ยนคำกล่าวขึ้นแทนว่า

“แต่...ข้าไม่อยากจากท่านไป”

คล้ายว่าหลี่เยี่ยนจะมองออกว่าเฉี่ยวเอ๋อกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงยิ้มและกล่าวว่า

“เอาเช่นนี้เถิดองค์หญิง พาเขามาด้วยดีหรือไม่? เผ่ามารปักษาของเราย่อมปฏิบัติต่อเขาอย่างผู้มีพระคุณแน่นอน”

พอได้ยินเฉกเช่นนั้น ก็ทำเอาแววตาของเฉี่ยวเอ๋อเปล่งประกายขึ้นทันควัน นางเริ่มมีทัศนคติที่ดีต่อชายสามคนนี้บ้างแล้ว ในท้ายที่สุดพวกเขาด็เป็นคนดีอยู่บ้าง

“ไม่ ข้าในตอนนี้ยังฝึกฝนไม่พอ เมื่อถึงเวลาอันควรแล้วข้าจักไปที่นั่นเอง แต่ตอนนี้เจ้าต้องตามพวกเขากลับไปก่อน หากข้าเดินทางออกจากดินแดนมนุษย์ตอนนี้ คงไม่ต่างอะไรจากมกปลวกตัวน้อยที่โดนบดขยี้ได้ทุกเวลา”

เย่เจวี๋ยกล่าวปฏิเสธโดยอ้อมสวนกลับไป ทันใดนั้นพลันทำให้แววตาที่เปล่งประกายอยู่ก่อนหน้าของเฉี่ยวเอ๋อพลันต้องหม่นหมองลงทันที นางอดรู้สึกผิดหวังมิได้

หลี่เยี่ยนได้ฟังแบบนั้นก็คลี่ยิ้มบาง จากนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อปรากฏเป็นกล่องสมบัติที่ประดับประดาด้วยเพชรพลอยสวยงามกล่องหนึ่งในมือ เมื่อเปิดฝากล่องออกมาปรากฏเป็นผลึกมณีสีแดงทับทิมดุจโลหิตแวววับ

ดวงตาของเย่เจวี๋พลันเปล่งประกายสว่างจ้าขึ้นทันใด นี่ถือเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งของเผ่ามารปักษา มณีสมบัติโลหิต มันแต่ละชิ้นมีพลังลมปราณอันแน่นเข้มข้นเสียยิ่งกว่าหินลมปราณระดับสูงนับหลายร้อยก้อนรวมกันเสียอีก นับเป็นทรัพยากรการบ่มเพาะพลังอีกชิ้นที่หายากมาก

“เช่นนั้นข้าขอมอบมณีสมับิตโลหิตก้อนนี้ให้แก่เจ้า สิ่งนี้จะช่วยพัฒนาระดับพลังบ่มเพาะของเจ้าได้อย่างก้าวกระโดด ถือเป็นแทนคำขอบคุณที่ช่วยให้ข้าเลื่อนระดับชั้นได้”

“ของดี ของดี…”

แทบจะไม่มีลังเลแม้สักนิด เย่เจวี๋ยสั่งให้เจ้ากุ้งแห้งก้าวออกไปรับกล่องดังกล่าวมาทันที ซึ่งตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการรับของ เจ้ากุ้งแห้งไม่กล้าแม้แต่เงยหน้ามอง

เมื่ออยู่ต่อหน้ายอดยุทธ์ผู้ไร้เทียมระดับนี้ ใครที่มีชนชั้นต่ำกว่าย่อมไม่กล้าถือวิสาสะมองหน้าเป็นธรรมดา

สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานที่เฝ้ามองอยู่ด้านหลังถึงกับร้องอุทานเช่นกัน รางวัลที่นายน้อยของพวกเขาได้ไปเป็นถึง สมบัติล้ำค่าของเผ่ามาร มณีสมบัติโลหิต หากพวกเขาได้มาสักสองสามก้อน ระดับพลังคงเพิ่มพูนขึ้นทันทีโดยมิต้องสงสัย

“แต่ว่า...”

พอให้เจ้ากุ้งแห้งรับมาเสร็จ เย่เจวี๋ยแสร้งทำเป็นอย่างจะพูดอะไรสักอย่าง ก่อนจะหยุดลงไป

“กล่าวมาเถิดน้องชาย”

เย่เจวี๋ยช่วยให้เขาสามารถขึ้นกลายเป็นยอดยุทธอาณาจักรปราณฟ้าถ่องแท้ได้แบบนี้ หลี่เยี่ยนย่อมปฏิบัติกับเขาดั่งผู้มีพระคุณ จึงเป็นธรรมดาที่เปลี่ยนคำเรียกแทนอีกฝ่ายว่า น้องชาย เพื่อเพิ่มความสนิทสนม

“แต่ว่าแค่นี้ยังไม่เพียงพอสำหรับบ่มเพาะพลัง หากต้องการให้ข้าเดินทางไปเยี่ยมเยือนเผ่ามารปักษาในอนาคตโดยไว ดูท่าแค่นี้ไม่น่าจะพอจริงๆ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า....”

พอได้ยินดังนั้น หลี่เยี่ยนก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างห้าวหาญ ช่างขัดกับสีหน้าอันเย็นชาที่เผยแสดงออกมาเป็นอย่างมาก

“ได้ น้องชายต้องการเท่าไหร่ดีล่ะ?”

“มีเท่าไหร่ยกให้นายน้อยให้หมด! นี่เป็นคำสั่ง!”

ทันใดนั้นเอง เฉี่ยวเอ๋อก็กล่าวแทรกขึ้นทันที ในเมื่อคนพวกนี้เรียกนางว่าองค์หญิง ดังนั้นนางเองก็ควรจะมีปากมีเสียงสั่งการพวกเขาได้เช่นกัน

ซึ่งคำพูดเพียงประโยคเดียวของเฉี่ยวเอ๋อก็ทำเอาหลี่เยี่ยนปวดใจเป็นอย่างยิ่ง หากนำออกมาให้เย่เจวี๋ยทั้งหมด นี่ล้อเล่นเกินไปแล้วกระมัง... ควรทราบด้วยว่า มณีสมบัติโลหิตของเผ่ามารปักษามันมีค่ามหาศาลเพียงใด

ต้องใช้เวลากว่าร้อยปีถึงจะควบแน่นกลายมาเป็นผลึกมณีสักก้อน หากมอบให้แก่เย่เจวี๋ยจนหมดคลัง แล้วพวกเขาจะเอาอะไรไปฝึกปรือ? พึงทราบด้วยว่า พวกเขาเองก็ต้องฝึกปรือบ่มเพาะพลังเช่นกัน

เย่เจวี๋ยไม่ได้ปริปากออกความเห็นใดๆ กับคำพูดของเฉี่ยวเอ๋อ เพียงแค่เหลือบมองไปทางเฉี่ยวเอ๋อพลางคลี่ยิ้มแย้มให้ เป็นอะไรที่ดีเยี่ยมโดยแท้ ช่างเป็นสาวน้อยที่เฉลียวฉลาดจริงๆ สมแล้วที่เป็นผู้หญิงของข้า

เห็นเป็นดังนั้น มุมปากของหลี่เยี่ยนพลันกระตุกเล็กน้อย ส่วนชายสองคนที่อยู่ข้างกายก็ยกมือปิดปากหัวเราะกันคิกคัก

หลี่เยี่ยนถึงกับหันมาถลึงตาใส่สองคนนั้น พวกเขารีบหยุดหัวเราะทันทีราวกับจักจั่นกลางฤดูหนาว

จากนั้นหลี่เยี่ยนก็สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง เสกปรากฏเป็นกล่องสมบัติจำนวนกว่ายี่สิบกล่องเห็นจะได้ตกลงมากองกับพื้น

“ข้ามีเท่านี้แหละ”

หลี่เยี่ยนเก็บมือทั้งสองข้างไพล่หลัง แล้วค่อยเหลือบมองชายทั้งสองที่อยู่ข้างๆ แสยะยิ้มเยาะกล่าวเสียดสีขึ้นว่า

“เอ๊า? มัวยืนนิ่งอันใด? พวกเจ้าสองคนก็ควรหยิบออกมาให้ด้วยมิใช่รึไง?”

ทั้งสองถึงกับปั้นหน้าไม่ถูก หันหน้าสบตามองกันทันทีปนฉายแววเจ็บปวดใจมิใช่น้อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังต้องทำตามสั่งและสะบัดแขนเสื้อเสกของออกมาพร้อมกัน เย่เจวี๋ยได้มณีสมบัติโลหิตเพิ่มมาทันทีอีกยี่สิบกล่อง

มูลค่ามหาศาล! มูลค่ามหาศาลยิ่ง! ทั้งสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานและเจ้ากุ้งแห้งถึงกับตาค้างแข็ง กล่องมณีสมบัติโลหิตจำนวนสี่สิบกล่องถูกเรียงรายกองอยู่ตรงหน้า! จำนวนมหาศาลขนาดนี้ มันสามารถซื้อเมืองหลงเยวี่ยได้ประมาณสิบยี่สิบรอบติดต่อกันได้แล้วกระมัง!

“พอแล้ว พอแล้ว ต้องขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสามท่านเป็นอย่างยิ่ง”

เย่เจวี๋ยรีบกล่าวว่า พอแล้ว ถึงสองคราติด จากนั้นก็รีบประสานมือให้ด้วยความเคารพอีกครั้ง

แน่นอนว่าเขาย่อมมีความสุขโดยธรรมชาติ เย่เจวี๋ยพินิจกวาดสายตามองเจ้ากล่องพวกนี้ ก็คาดการณ์ได้ทันทีว่า อาศัยทรัพยากรหายากมากมายขนาดนี้ ระดับพลังของเขาย่อมต้องเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด

เห็นเย่เจวี๋ยมีความสุขเช่นนี้ หลี่เยี่ยนก็ลอบถอนหายใจกับตัวเองเล็กน้อย ดีที่เจ้าเด็กนี่ไม่ปล้นข้าจนหมดตัว ถึงกระนั้นก็ไม่พูดออกมา เขาหยิบขนนกชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้ออย่างเงียบๆ ก่อนจะยื่นให้เย่เจวี๋ยพร้อมกล่าวว่า

“หากมีปัญหาอันใดจงใช้สิ่งนี้ แล้วข้าจะมาหาในทันที”

เจ้ากุ้งแห้งกับสามพี่น้องตื่นตะลึงจนแทบเป็นบ้าไปแล้ว คอยมียอดยุทธ์อาณาจักรปราณฟ้าถ่องแท้ให้ความช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง ต่อให้เป็นพวกเขายังไม่กล้าฝันถึงด้วยซ้ำ!

เมื่อสนทนาทุกอย่างเสร็จสิ้น หลีเยี่ยนและชายทั้งสองก็ไม่ได้เอ่ยกล่าวอันใดอีก บอกแค่ว่า ให้เฉี่ยวเอ๋อบอกลาเย่เจวี๋ยครั้งสุดท้ายก่อนเดินทาง จากนั้นพลันปรากฏสะพานสายรุ้งเจ็ดสีทอดยาวออกไปสุดขอบฟ้า เพียงเสี้ยวพริบตาต่อมา พวกเขาทั้งหมดก็หายลับจากไป

“ข้าให้มณีสมบัติโลหิตแก่พวกเจ้าครึ่งหนึ่งแล้วกัน”

คล้อยหลังที่พวกหลี่เยี่ยนพาเฉี่ยวเอ๋อจากไป เย่เจวี๋ยก็หันมาพูดกับเจ้ากุ้งแห้งและสามพี่น้อง

สามพี่น้องที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง มีทุกข์ร่วมต้าน มีสุขร่วมเสพ พวกเขารู้สึกว่า ตนเองตัดสินใจถูกจริงๆ ที่ขอเป็นผู้ติดตามเย่เจวี๋ย พวกเขารีบกล่าวขึ้นทันทีว่า

“นายน้อย มาเถอะ เดี๋ยวพวกเราจะเป็นคู่ซ้อมของท่านให้หนัก!”

“ฮ่าฮ่า ได้สิ ได้สิ แต่พวกเจ้าช่วยข้าขนกล่องพวกนี้ไปก่อน”

เจ้ากุ้งแห้งกับสามพี่น้องรีบช่วยกันขนกล่องมณีสมบัติโสหิตกลับไป จากนั้นก็แจกจ่ายครึ่งหนึ่งให้แก่ทั้งสี่ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเก็บไว้กับตัวเอง นี่ถือว่าเขาเป็นคนใจกว้างมากแล้วจริงๆ หากเป็นคนอื่นมีรึจะยอมยกให้คนอื่นครึ่งต่อครึ่งขนาดนี้?

มณีสมบัติโลหิตแต่ละก้อนล้วนมีค่าหาประเมินไม่

เย่เจวี๋ยหาใช่คนขี้งกอะไรขนาดนั้น หากเขาได้รับผลกำไรมาย่อมแบ่งปันให้มิตรสหายอย่างไม่ตระหนี่ ยิ่งไปกว่าเอง ยิ่งคนพวกนี้แข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ ความแข็งแกร่งของตระกูลเย่โดยรวมก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น

เย่เจวี๋ยหยินกล่องมณีสมบัติโลหิตขึ้นมาก้อนหนึ่ง ขึ้นมาส่องลอดมองผ่านดวงตะวัน เห็นเป็นประกายสีแดงทับทิมระยิบระยับสวยงามยิ่ง เย่เจวี๋ยแทบจะอดใจไม่ไหวแล้วที่จะรีบกลับเข้าเก็บตัวไปฝึกปรือบ่มเพาะพลัง

พอกลับถึงเรือนพัก เขาก็นั่งขัดสมาธิทันทีปิดตาลง วางมณีสมบัติโลหิตก้อนหนึ่งไว้บนมือจากนั้นก็เริ่มโคจรลมปราณด้วยเคล็ดหลอมจักรวาลและดูดซับ

ทันใดนั้น เลือดลมภายในร่างกายของเย่เจวี๋ยก็พลุ่งพล่านคึกคะนองขึ้นทันใด กระแสพลังลมปราณอุ่นสายใหญ่ทะลักล้นท่วมเข้ามาผ่านอณูนิ้วมือทั้งห้าอย่างไม่มีหยุดหย่อน ในไม่กี่ชั่วอึดใจต่อมา ตัวของเย่เจวี๋ยก็เดือดพล่าน ในเวลาเดียวกันกระแสพลังลมทปราณดังกล่าวก็ไหลเข้าไปหลอมรวมกับเส้นเอ็น กระดูกและเลือดเนื้อซึมซับลงไป ระดับพลังลมปราณบริสุทธิ์ในจุดตันเถียนเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก

ยิ่งเย่เจวี๋ยดูดซับพลังลมปราณมากขึ้นไปเรื่อยๆ มณีสมบัติโลหิตก็ค่อยๆ เล็กลงเล็กลงจนสลายหายไปในที่สุด

ภายในร่างกายของเย่เจวี๋ยเกิดอาการสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง ก่อเกิดเป็นเสียงฟ้าร้องคำรนดังกึกก้องไม่หยุด เสมือนกับเสียงลั่นกลองปลุกขวัญกำลังใจก่อนลุยศึกสงคราม ทันทีใดแผ่นฟ้าเหนือตระกูลเย่พลันมืดทมิฬลง เหล่ามวลเมฆาสีดำได้ควบก่อจนแปรปรวน สายพิรุณกระหน่ำลงมาเป็นห่าฝน

ไม่นานทั่วทั้งเมืองหลงเยวี่ยก็กลายมาเป็นสมรภูมิอัสนีบาต ฝนฟ้าแปรปรวนไปทุกบริเวณ เหล่าผู้คนภายในเมืองล้วนได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าแลบดังแซ่ซ้อง กึกก้องประดุจฟ้าจะถล่มลงมา ทุกคนล้วนเงยหน้าหันขึ้นมองไปยังทิศทางของตระกูลเย่โดยพร้อมเพรียง

“ใครกัน? มีคนกำลังเลื่อนระดับชั้น? ไฉนถึงก่อเกิดปรากฏการณ์รุนแรงปานนี้? นี่มันไม่เกินไปหน่อยรึ?”

“คงเป็นยอดอัจฉริยะตระกูลเย่ เย่เจวี๋ยไม่ผิดแน่! เขากำลังเลื่อนระดับชั้นอีกแล้ว!”

“สวรรค์! ความแข็งแกร่งของเขาในปัจจุบันต้องน่ากลัวเพียงใด ถึงเรียกปรากฏการณ์ขนาดนี้ได้?”

เสียงฟ้าคำรนอัสนีบาตรฟาดผ่าไม่เลี้ยงเกิดขึ้นอยู่ชั่วครู่ใหญ่ ก่อนในท้ายที่สุดจึงจะค่อยๆ สงบลงตามลำดับ

เย่เจวี๋ยสงบสติอารมณ์ตัวเองลง ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาตื่นขึ้นเผยปรากฏเป็นนัยน์ตาสีดำขลับแสนลึกล้ำขึ้นมา ทะลวงข้ามผ่านอาณาจักรก่อกายาระดับแปดสู่ระดับเก้า ทั้งมัดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและกระดูกถูกเสริมแกร่งขึ้นหลายเท่าทวี พละกำลังในปัจจุบันของเขาเทียบเท่ากระทิงคลั่งแปดสิบเอ็ดตัว เนื่องด้วยความแข็งแกร่งที่สูงเพียงนี้ของเขา นั้นจึงเป็นเหตุผลทำให้ก่อเกิดปรากฏการณ์นภาคลั่งแปรปรวนทั่วเมืองอย่างที่เห็น

โดยปกติทั่วไปผู้ฝึกยุทธ์ที่ทะลวงขึ้นสู่ระดับแปดไปยังเก้าจะเกิดปรากฏการณ์พิเศษขนาดย่อม แต่เนื่องจากความแข็งแกร่งอันผิดมนุษย์มนาของเย่เจวี๋ยจึงทำให้ปรากฏกาณ์ดังกล่าวขยายวงกว้างไปทั่วทุกมุมเมือง หากเรื่องดังกล่าวแพร่งพรายออกไปว่า ตอนนี้เขามีพลังเทียบเท่ากระทิงคลั่งแปดสิบเอ็ดตัว คงไม่มีใครกล้าเชื่อแน่นอน

เย่เจวี๋ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาคาดไม่ถึงเลยว่า มณีสมบัติโลหิตแค่ก้อนเดียวจะสามารถทำให้เขาเลื่อนระดับชั้นได้ง่ายดายปานนี้ สมแล้วที่ได้ชื่อว่าสมบัติล้ำค่าแห่งเผ่ามาร คุณภาพดั่งคำอวดอ้างโดยแท้

วันถัดมา นอกจากการเก็บตัวบ่มเพาะพลังอยู่ในเรือนพักและออกมาฝึกกับสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานแล้ว เขาก็นำมณีสมบัติโลหิตบางส่วนไปมอบให้แก่เหล่าลูกหลานของตระกูลเย่เช่นกัน นี่จะเป็นประโยยชน์ต่อพวกเขาไม่มากก็น้อยแน่นอน

และหาใช่ว่ากล่าวเกินจริงเลย นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา มีคนของตระกูลเย่ทะลวงผ่านเลื่อนระดับชั้นกันเป็นว่าเล่นทุกวัน

ส่งผลให้ความแข็งแกร่งโดยรวมของตระกูลเย่ยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก

แต่ดั่งคำว่า ความสงบสุขอยู่ไม่นาน ในท้ายที่สุดความโกลาหลครั้งใหม่ก็มาถึงอีกครา

“หยุดเดี๋ยว…”

“ไสหัวไปซะ!”

บูมม!

ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความเกลียดชังปรากฏตัวขึ้นหน้าประตูตระกูลเย่ โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ เขาสังหารองค์รักษ์เฝ้าประตูตระกูลเย่ทิ้งกับมือ เดินย่างสามขุมตรงเข้าไป ไม่ว่าใครที่พุ่งมาหยุดเขาผู้นี้ ล้วนถูกฝ่ามือตบกะโหลกศีรษะแตกกระจายดั่งลูกแตงโม

ยามนี้มีผู้บุกรุก เหล่าลูกหลานตระกูลเย่ที่เพิ่งได้รับมณีสมบัติโลหิตมาบ่มเพาะก็รีบออกมาสู้รบทันที ระดับพลังของแต่ละคนสูงขึ้นมากในไม่กี่วันที่ผ่านมา ในตอนนี้พวกเขาเร่งกระชับอาวุธเข้าล้อมโจมตีมิดชิด เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจฮึกเหิม

อย่างไรเสีย ผู้บุกรุกคนนี้กลับแข็งแกร่งเหินไป ยกฝ่ามือตบอัดรายคนจนร่างระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ซึ่งผู้บุกรุกคนนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากฉิงกุย ที่ก่อนหน้าเกือบถูกเย่เจวี๋ยฆ่าตายไป ทว่าตอนนี้ช่างน่าแปลกประหลาดยิ่งที่เขาทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปราณเคียงฟ้าได้แล้วอย่างไม่น่าเชื่อ อาศัยพลังฟ้าดินจากธรรมชาติมาหยิบใช้โจมตีช่างแข็งแกร่งเกินต้านทาน วันนี้จุดประสงค์ชัดแจ้งยิ่ง ฉิงกุยมาเพื่อแก้แค้นเย่เจวี๋ยโดยเฉพาะ

ในเวลาเดียวกัน ในส่วนลึกของเรือนตำหนัก เย่เจวี๋ยก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างแช่มช้า ทั้งรัศมีกลิ่นอายและมวลจิตสังหารของเขาที่แผ่ซ่านออกมายามนี้ช่างแข็งแกร่งไร้เทียมทานยิ่ง!

อีกด้านหนึ่ง ฉิงกุยยังคงหยิบใช้พลังฝ่ามือผสานกับพลังฟ้าดินก่อเกิดเป็นพลานุภาพทำลายล้างสุดแกร่ง โจมตีสังหารเหล่าผู้คนตระกูลเย่ไปตั้งมากมาย

คว้าศีรษะของสมาชิกตระกูลเย่คนหนึ่งขึ้นมา พร้อมบีบกะโหลกจนแตกเละเป็นชิ้นเนื้อ ระเบิดหัวเราะแสนชั่วร้ายดังลั่นพลางตะโกนขึ้นว่า

“ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆๆ ข้ากลับมาแล้ว! วันนี้ตระกูลเย่จะต้องกลายเป็นทะเลเลือด!”

ทันใดนั้นสี่ผู้อาวุโสและสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานก็ปรากฏกายออกมาทันที เพื่อเข้าสัประยุทธ์หยุดฉิงกุยไม่ให้สร้างความเสียหายไปมากกว่านี้

ทว่าในท้ายที่สุด กลับเป็นหยินต้าซงและเย่หยวนซานที่พลาดท่าได้รับบาดเจ็บสาหัส

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด