ตอนที่แล้วตอนที่24 สามพี่น้องรวมพลัง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่26 มณีสมบัติโลหิต

ตอนที่25 ความลับ


ตอนที่25 ความลับ

วันนี้ยังคงเดิม เย่เจวี๋ยเข้าต่อสู้กับสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานในลานกว้างหลังเรือน ทั้งสามเพิ่งทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรนภาม่วงได้ไม่นาน ความแกร่งกล้าย่อมเพิ่มขึ้นอย่างมาก ยิ่งเข้าร่วมมือกันผสานการโจมตี บางครั้งบางทีถึงกับเอาชนะเย่เจวี๋ยได้เลย

อย่างไรเสีย ระหว่างที่พวกเขาทั้งสี่กำลังฝึกฝนกันอยู่ ทันใดนั้นแสงตะวันท้องฟ้ายามเที่ยงวันอันแจ่มใส พลันมืดลงในเสี้ยวพริบตา รัศมีแรงกดดันอันมหาศาลจู่ๆ ก็ร่วงลงสูงใจกลางเมืองหลงเยวี่ย ประดุจหุบเขามหึมาที่ร่วงหล่นทับลงมา

ทั้งเย่เจวี๋ยและสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานพลันสัมผัสได้โดยพร้อมเพรียง พวกเขาหยุดชะงักทุกการต่อสู้หันควันมองไปยังทิศทางดังกล่าวโดยมิได้นัดหมาย กลุ่มเมฆประดับประดาบนท้องนภาหาใช่เมฆธรรมดาทั่วไป แต่กลับเปี่ยมล้นไปด้วยพลังมืดธาตุหยินทั่วแผ่นฟ้า ผู้ใดกันที่มาเยี่ยมเยือนเมืองหลงเยวี่ยแห่งนี้?

พวกเขาทั้งสี่มิอาจจินตนาการได้เลยถึงขุมพลังของผู้มาเยือน ช่างเป็นกลิ่นอายที่น่าสยดสยองสะเทือนขวัญอย่างหาที่สุดไม่ ภายในสองอึดใจ ปรากฏเป็นจุดดำกลางเวหากำลังพุ่งมาทางนี้ด้วยความเร็วเกินคาดถึง อีกหนึ่งอึดใจให้หลัง จุดดำดังกล่าวเริ่มขยายใหญ่ เห็นเป็นโครงหน้าคนชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ปรากฏว่าเป็นชายวัยกลางคนที่นำคนอีกสองคนเหาะเหินตรงเข้ามาทางนี้ รัศมีกลิ่นอายของชายวัยกลางคนดังกล่าวลึกล้ำเสียยิ่งกว่าชายสองคนที่อยู่ข้างๆ มหาศาล

เพียงพริบตาต่อมา ทั้งสามก็มาถึงตรงหน้าของเย่เจวี๋ยแล้ว

“ท่านผู้อาวุโสทั้งสาม เดินทางมายังตระกูลเย่เพราะมีเหตุอันใด? ข้าน้อยนามว่า เย่เจวี๋ย ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตาของพวกท่านมาก่อนเลย”

เย่เจวี๋ยหันไปส่งสัญญาณให้สามพี่น้องถอยออกไปก่อน จากนั้นก็เข้าประสานมือทำความเคารพผู้มาใหม่ทั้งสามอย่างไว้ไมตรี แต่ก็มิได้อ่อนน้อมถ่อมตนจนเกินไป

เย่เจวี๋ยปรายตามองท่าทางการแสดงออกของพวกเขาเล็กน้อย พอเห็นว่าไม่ใช่คนจากนิยายของฉุยกิงก็ลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่งด้วยความโล่งใจ แต่พอพินิจกลิ่นอายของพวกเขา ทำให้เย่เจวี๋ยรู้สึกถึงความผิดปกติทันที นี่มัน...หาใช่กลิ่นอายของมนุษย์ทั่วไปควรจะมี

นอกจากนี้เอง พอมองชุดอาภรณ์การแต่งกาย รวมไปถึงลวดลายสัญลักษณ์บริเวณคอเสื้อของพวกเขาก็พลันรู้ได้ทันที ประกอบกับตราที่ปักอยู่กลางหน้าอก นี่มิใช่ตราประจำตระกูลเผ่ามารหรือรึ?

เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ เย่เจวี๋ยก็เข้าใจได้ในทันทีว่า พวกเขาทั้งสามเป็นพวกเผ่ามาร

“ฟังว่าตระกูลเย่รับเลี้ยงองค์หญิงเผ่ามารของพวกเราอยู่ ดูท่าจะเป็นเรื่องจริง”

ชายวัยกลางคนมีนามว่า หลี่เยี่ยน ไม่พูดพร่ำทำเพลงอันใด กล่าวเข้าเรื่องอย่างตรงไปตรงมา น้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ ราวกับไร้ซึ่งความไว้หน้าใดๆ

องค์หญิงเผ่ามาร? ตระกูลเย่ของเขาไปรับเลี้ยงองค์หญิงของเผ่ามารมาตั้งแต่เมื่อไหร่?

เย่เจวี๋ยขมวดคิ้วอยู่สักพัก แต่ทันใดนั้นเขาก็หันควับมองไปที่เฉี่ยวเอ๋อโดยมิตั้งใจ จะว่าไป...ในความทรงจำของเย่เจวี๋ยคนนี้ เขาเก็บเฉี่ยวเอ๋อที่ตอนนั้นเป็นเพียงสาวน้อยข้างทางให้มารับใช้ในภายหลัง หรือเป็นไปได้ไหมว่า...

เย่เจวี๋ยรีบเร่งใช้ความคิดปะติดปะต่อเรื่องทุกอย่างโดยเร็ว พอเห็นชุดอาภวณ์ของทั้งสาม ยามนี้เริ่มเข้าใจได้ในทันที

พอเห็นเย่เจวี๋ยปั้นหน้าสับสน หลี่เยี่ยนก็กล่าวขึ้นน้ำเสียงเย็นว่า

“องค์หญิงเฉี่ยวเอ๋อเป็นองค์หญิงเผ่ามารของเรา เนื่องด้วยจักรพรรดิปักษาของเราถึงเหตุนิพพาน จึงทำให้องค์หญิงของพวกเราเก็บอาการตกใจจนสูญเสียความทรงจำเฉียบพลัน จนแล้วจนรอดจึงตกลงมาสู่ดินแดนของมนุษย์เข้าโดยบังเอิญ ข้าในฐานะอาสามขององค์หญิง มาในวันนี้ก็เพื่อรับตัวนางกลับไป”

คำกล่าวนี้ค่อนข้างอธิบายได้อย่างครอบคลุม

เย่เจวี๋ยประหลาดใจไม่น้อยเมื่อได้ยิน เขาไม่คิดเลยว่า ภูมิหลังของสาวน้อยนางนี้จะมีเบื้องลึกเบื้องหลังเกินหยั่งถึงได้ปานนี้ ดังนั้นจึงเอ่ยตอบกลับไปว่า

“เฉี่ยวเอ๋ออยู่ที่นี่จริงๆ แต่ข้าน้อยหาได้มีเจตนารับนางมาอยู่ที่นี่”

พอพูดจบจะหันไปหาเฉี่ยวเอ๋อกลับไม่เจอ เย่เจวี๋ยจึงเร่งเอ่ยถามเจ้ากุ้งแห้งที่อยู่ข้างๆ แทนว่า

“แล้วเฉี่ยวเอ๋อไปไหนแล้วล่ะ?”

“เฉี่ยวเอ๋อ...นางไปรินน้ำชามาให้แขกของนายน้อยขอรับ”

พอได้ยินดังนั้น บรรยากาศพลันเย็นยะเยือกลงทันใด สีหน้าการแสดงออกของทั้งสามมืดทมิฬลงฉับพลัน พร้อมรัศมีกลิ่นอายอันน่าสยดสยองที่พวยพุ่งออกมา

เจ้ากุ้งแห้งเพิ่งรู้ตัวว่า ไม่ควรพูดแบบนั้นออหไปเลย กล่าวได้ว่าพูดไม่คิดคงมิผิด แต่ใครจะไปคิด แค่คำพูดนี้คำพูดเดียวจะทำให้สถานการณ์เกิดความโกลาหลขึ้นปานนี้กัน พอได้รับแรงกดดันขุมใหญ่ที่แผ่ซ่านออกจากทั้งสาม เจ้ากุ้งแห้งถึงกับฉี่ราดคากางเกงทันที

“เจ้าว่าอันใด!? รินน้ำชา?!”

หลี่เยี่ยนแค่กรนเสียงดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ทว่าเจ้ากุ้งแห้งกลับรู้สึกว่า เบื้องหน้ายามนี้กำลังมีราชสีห์กว่าร้อยตัวอ้าปากคำรามใส่พร้อมกัน

“เจ้าหนู! เจ้ากล้าดียังไงถึงปฏิบัติกับองค์หญิงราวกับสาวใช้!!”

หลี่เยี่ยนสีหน้ายิ่งดูมืดมนลงไปอีก รัศมีกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากทั่วทุกอณูร่างกายเรียกได้ว่า สามารถทำลายฟ้าดินได้ไม่เกินจริงเลย เจ้ากุ้งแห้งตกตะลึงจัดจนแทบครองสติไว้ไม่อยู่

พินิจาการกลิ่นอายขุมนี้แล้ว จักต้องเหนือกว่าอาณาจักรนภาม่วงเป็นแน่แท้ และระดับพลังที่สูงกว่าอาณาจักรนภาม่วงอีกหนึ่งขอบเขตก็คือ อาณาจักรปราณเคียงฟ้า!

ขุมพลังแห่งอาณาจักรปราณเคียงฟ้า ไม่จำเป็นกล่าวถึงให้มากความ ผู้ที่สำเร็จระดับชั้นดังกล่าวได้มีน้อยเทียบเท่าขนวิหกเพลิงเสียอีก

แม้แต่เย่เจวี๋ยยังรู้สึกครั่นคร้ามอยู่หลายส่วน ระดับชั้นดังกล่าวไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบได้ว่ามัน พละกำลังเท่ากับกระทิงคลั่งกี่ตัว คงต้องเปลี่ยนคำถามใหม่แทนว่า ต้องใช้ผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรนภาม่วงกี่คนถึงจะสามารถโค่นยอดฝีมือระดับนี้ลงได้? ไม่สิ..ต่อให้มีผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรนภาม่วงร้อยคนอยู่ประจันหน้า ยังไม่สามารถทำร้ายยอดฝีมืออาณาจักรปราณเคียงฟ้าได้แม้แต่ปลายเส้นผมด้วยซ้ำ

เห็นได้ชัดว่า ระหว่างอาณาจักรนภาม่วงกับอาณาจักรปราณเคียงฟ้า มันห่างชั้นกันมหาศาลเพียงใด

ต่อให้เป็นเย่เจวี๋ย เขายังไม่มีความมั่นใจเลยว่า จะสามารถต้านรับการโจมตีสักกระบวนหนึ่งของยอดฝีมือระดับนี้โดยที่ไม่ตายได้หรือไม่

“เจ้ากล้าดียังไงถึงปฏิบัติกับองค์หญิงเยี่ยงคนใช้!! เจ้ากล้าดียังไง!? จงรับโทษทัณฑ์ที่ก่อไว้ซะ!”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี หลี่เยี่ยนก็ยกฝ่ามือขึ้นตบด้วยความเกรี๊ยวดกราดยิ่ง ฝ่ามือขนาดมหึมาราวกับเงามายาก่อขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนปิดมิดทั่วแผ่นฟ้า นี่คือขีดจำกัดที่อาณาจักรนภาม่วงไม่สามารถข้ามผ่านไปได้ คือการเปลี่ยนแปลงพลังงานธรรมชาติภายนอกให้ก่อหลอมรวมกลายมาเป็นลมปราณของตนได้ เพราะเหตุนี้เองจึงได้ชื่อว่า อาณาจักรปราณเคียงฟ้า เพราะห้วงอากาศโดยรอบ ยอดฝีมือระดับนี้สามารถนำมาแปรเปลี่ยนเป็นพลังแก่ตนเองได้

พอเห็นว่าฝ่ามือขนาดมหึมากำลังดิ่งสะท้านฉีกห้วงอากาศลงมา เย่เจวี๋ยถึงกับร่นถอยก้าวออกไปโดยสัญชาตญาณ ยกแขนขึ้นมาปัดป้องขึ้นมาไม่รู้ตัว หลี่เยี่ยนผู้นี้มีเจตนาฆ่าเขาทิ้งอย่างชัดแจ้ง ภายใต้ฝ่ามือนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่า หลังจากโดนไป คงไม่เหลือแม้แต่ขี้เถ้า ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะหลบได้หรือไม่ได้

ในช่วงเวลาความเป็นความตายเช่นนี้ จู่ๆ ก็มีเด็กสาวนางหนึ่งที่กำลังถือชาออกมา รีบพุ่งเข้ามาขวางหน้าเย่เจวี๋ยนพร้อมตะโกนลั่นสุดเสียงว่า

“อย่าทำร้ายนายน้อย!”

ฝ่ามือมหึมาของหลี่เยี่ยนพลันหลุดชะงักค้างกลางอากาศทันใด แต่เขายังมิได้สลายพลังออกไปทันที

“องค์หญิง! โปรดหลีกทาง! ให้อาสามคนนี้อาสาประหารมันเถิด!”

หลี่เยี่ยนตะโกนขึ้นเจือน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว

“เฉี่ยวเอ๋อ เขาผู้นี้บอกว่า เจ้าคือองค์หญิงแห่งเผ่ามาร แต่เพราะสูญเสียความทรงจำจึงเร่ร่อนมาอยู่ที่นี่ วันนี้ที่พวกเขามาก็มีจุดประสงค์พาตัวเจ้ากลับไป”

เย่เจวี๋ยกล่าวอธิบายขึ้นทันที

“ข้าไม่สนว่าข้าเป็นใคร ตรายใดที่คิดทำร้ายนายน้อย ก็ข้ามศพข้าไปก่อน!”

เฉี่ยวเอ๋อแผดเสียงคำรามชี้คำขาดอย่างเด็ดเดี่ยว ถึงแม้มือไม้กำลังสั่นเทาอยู่ก็ตาม

“โปรดหลีกทางด้วย!”

“ไม่!”

“เจ้าหนู ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังสตรีเพศ ยังนับว่าเป็นบุรุษอยู่หรือไม่? ออกมาเดี๋ยวนี้!”

เห็นเฉี่ยวเอ๋อหัวรั้นเช่นนี้ หลี่เยี่ยนจึงทำได้เพียงเหลือบไปจ้องเย่เจวี๋ยตาเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกันก็มิปาน

“ออกก็ออก”

เย่เจวี๋ยยักไหลเล็กน้อยก่อนจะปัดมือที่ขวางอยู่ของเฉี่ยวเอ๋อลง เบี่ยงตัวก้าวตรงออกไปอย่างสงบนิ่ง ปราศจากท่าทางหวาดกลัวแม้สักนิด แน่นอนว่าเขาไม่ได้กำลังเสแสร้งแต่อย่างใด ทว่าเขาเพิ่งนึกอะไรออกเช่นกัน

“หึ! นับว่ายังมีความกล้าอยู่บ้าง เช่นนั้นแล้วข้าจะทำให้เจ้าตายโดยไม่ทรมาน!”

ฝ่ามือมหึมาที่หยุดนิ่งไปก่อนหน้าของหลี่เยี่ยน เริ่มโคจรหมุนติ้วเคลื่อนเข้าใกล้อีกครั้งหนึ่ง พลานุภาพทำลายล้างช่างโหดร้ายเกินจินตนาการ ราวกับสามารถฉีกกระชากได้แม้กระทั่งฟ้าดินจนแยกออกได้ก็มิปาน

เฉี่ยวเอ๋อเบิกตาโตด้วยความตกใจสุดขีด นางดูออกว่า ระหว่างพลังของนายน้อยในตอนนี้กับหลี่เยี่ยนแตกต่างกันเกินไป ต่อให้พรสวรรค์ของนายน้อยนางจะเหนือฟ้าเทียมสวรรค์เพียงใด ก็ไม่มีทางต่อกรได้เลย นายน้อยของนางอาจต้อง...สิ้นสลายกลายเป็นผุยผง...

“ได้โปรด! อย่าทำร้ายนายน้อย ได้โปรด ฮือ..ฮือ...ได้โปรดเถิด...”

ทั้งแขนและขาของเฉี่ยวเอ๋ออ่อนยวบซุดลงกับพื้นราวกับหญิงสาวที่กำลังใจสลาย นางกรีดร้องตะโกนลั่นทั้งน้ำตา

ทว่าหลี่เยี่ยนกลับไม่แยแสคำวินวอนแม้สักนิด ฝ่ามือมหึมาเคลื่อนเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ขนาดยังไม่จวนมาถึงยังก่อเกิดเป็นวายุสายคลั่งฟาดฟันเสื้อผ้าของเย่เจวี๋ยจนขาดกระจุย

สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานพยายามจะวิ่งเข้าไปช่วยเช่นกัน แต่พอโดนแรงกดดันขุมใหญ่ที่แผ่ไพศาลออกมาจากฝ่ามือ กลับทำให้พวกเขาหายใจแทบไม่ออก แม้แต่จะย่างออกไปสักก้าวยังทำไม่ได้

“กงล้อระบำหงส์เพลิง เพลิงสุมทรวงทรชนก่อเกิดเป็นธารสายใหม่”

เมื่อจำต้องเผชิญหน้ากับแรงพายุชุดใหญ่ดั่งซัดคลื่นสมุทรถล่มหุบเขา เย่เจวี๊ยกลับปริปากกล่าวเสียวเรียบขึ้นมาคำหนึ่งด้วยท่าทางการแสดงออกที่สุดแสนจะเฉยเมย ทว่าคำกล่าวนี้กลับเข้าไปแตะหูของหลี่เยี่ยนเต็มๆ

ฝ่ามือขนาดมหึมาที่กำลังดิงตรงลงมาถึงกับหยุดชะงักค้างเติ่งไปกระทันหัน หลี่เยี่ยนหยุดมือพลางเหลือบมองเย่เจวี๋ยที่มีสีหน้าท่าทางสงบนิ่ง แต่กลับเป็นเขาแทนที่เผยสีหน้าสุดตื่นตะลึงออกมา

ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย เพราะสุภาษิตดังกล่าวข้องเกี่ยวกับความลับแห่งดินแดนมรดกของเผ่ามารปักษาโดยตรง ทั้งนี้ยังมีคำกล่าวอีกว่า ความลับนี้สามารถทำให้เผ่ามารปักษาเข้าสู่ยุคทองแห่งความรุ่งโรจน์ได้ แต่ก็ทำให้กลายเป็นยุคแห่งความเสื่อมถอยได้เช่นกัน ดังนั้นความลับดังกล่าวจึงสำคัญเกินกว่าจะเก็บเป็นความลับไว้ได้

แต่จะอย่างไรมีเพียงผู้ที่มีสายเลือดอันสูงส่งและระดับผู้อาวุโสในเผ่ามารปักษาเท่านั้นที่จะรับรู้ความลับดังกล่าวได้

แต่เจ้าเด็กหนุ่มจากเมืองชนบทอันห่างไกลเช่นนี้กลับรู้ได้อย่างไร?

นี่คงจะเป็นเรื่องบังเอิญกระมัง...

หลี่เยี่ยนคิดในใจ

ใช่แล้ว...นี่ต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่นอน! หากมิใช่ชนชั้นระดับสูงของเผ่ามารปักษา หรือผู้มีคุณงามความดีอันประเสริฐต่อเผ่าของเรา ย่อมไม่มีทางรู้ความลับนี้เป็นแน่ ยิ่งในเมืองบ้านนอกอันห่างไกลขนาดนี้ คิดยังไงก็ไม่มีวันเป็นไปได้!

“หึ! เจ้ากำลังพล่ามเหลวไหลอันใด?!”

เพียงขั่วครู่ขณะ ร่องรอยความประหลาดใจบนใบหน้าของหลี่เยี่ยนก็หายไป เขามั่นใจตามที่ตัวเองคิดอย่างยิ่ง ทั้งหมดเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น และโคตรพลังเคลื่อนฝ่ามือขนาดมหึมาเข้าใกล้ต่อทันที

“เกรงว่าท่านเองคงติดอยู่ที่อาณาจักรปราณเคียงฟ้าขั้นสุดมาเป็นเวลานานแล้วกระมัง? ท่านผู้อาวุโสไม่อยากทราบรึว่า เพราะเหตุใด ท่านถึงไม่สามารถทะลวงผ่านเลื่อนระดับชั้นขึ้นไปได้เสียที?”

หลี่เยี่ยนถึงกับหยุดมืออีกครั้งทันที ทั่วทั้งใบหน้าของเขาไม่เพียงเปี่ยมล้นไปด้วยความประหลาดใจ แต่ยังตกตะลึงราวกับเห็นผีก็มิปาน เจ้าเด็กนี่รู้ได้อย่างไรว่า เขามีระดับพลังอยู่ที่อาณาจักรปราณเคียงฟ้าขั้นสุด? ทั้งยังทราบอีกว่าติดอยู่ที่ระดับนี้ไม่สามารถทะลวงผ่านได้เป็นเวลานานแล้ว?

สิ่งหนึ่งที่ควรทราบก่อนเลยก็คือ นอกเหนือจากว่าผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นจะมีเครื่องรางยุทธภัณฑ์วิเศษ หรือเคล็ดวิชาลับบางอย่าง ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดบนผืนพิภพจะไม่สามารถสัมผัสถึงขอบเขตพลังที่อยู่สูงกว่าตนเองได้ นี่เป็นกฎของผืนพิภพบรรพกาลซวนหยวนแห่งนี้

“นี่เจ้า...”

หลี่เยี่ยนอ้าปากค้างเติ่งไปครู่ใหญ่ เหมือนว่าอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับถูกเย่เจวี๋ยกล่าวขัดจังหวะขึ้นว่า

“อย่าไปกลัวและยึดติดกับคำว่า ปัญหาคอขวด ใช่ว่าทุกคนจะต้องประสบปัญหานี้ จงลบเงาความกลัวนั้นไปซะและทะลวงฝ่าฝันอย่างใจปรารถนา”

ประโยคคำพูดนี้ที่หลี่เยี่ยนได้ยินประดุจโดนสายฟ้าฟาดใส่อย่างจัง ระหว่างตื่นตะลึงงันอยู่แบบนั้น เฉี่ยวเอ๋อก็พลันเห็นว่า ฝ่ามือขนาดมหึมาตรงหน้าค่อยๆ สูญสลายไป นางปาดเช็ดน้ำตาทันทีและค่อยๆ เดินเข้าไปหาเย่เจวี๋ยอย่างเงียบๆ

“อย่ายึดติดงั้นรึ... ที่แท้อุปสรรคคือความกลัวในจิตใจข้านี่เอง...”

หลี่เยี่ยนพึมพำกับตัวเองอยู่นาน ทันใดนั้นเขารีบหามุมสงบใต้ต้นไม้และนั่งขัดสมาธิทันที อีกสองคนที่อยู่ข้างๆ เห็นภาพฉากดังนั้นก็เข้าคุ้มกันไม่ให้ใครเข้ามาขัดจังหวะ ท่าทีดูขึงขังจริงจังเสมือนว่า หากมีใครกล้าเข้ามาใกล้จริงๆ พวกเขาทั้งคู่เองก็สามารถฆ่าทิ้งได้โดยไม่ลังเล เพราะในยามที่ผู้ฝึกยุทธ์กำลังเลื่อนระดับชั้น ข้อห้ามที่สำคัญที่สุดคือ ห้ามคนนอกเข้ามารบกวนโดยเด็ดขาด นี่เป็นช่วงรอยต่อที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ทุกคน

เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!

เพียงเสี้ยวพริบตา เสียงอัสนีบาตรกระหน่ำคำรนดังสนั่นทั่วท้องนภา ทันใดนั้นมีวชิระสายหนึ่งฟาดผ่าลงใส่ร่างของหลี่เยี่ยนโดยไม่ทันให้ตั้งตัว ทว่าตัวหลี่เยี่ยนกลับไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ทั่วบริเวณปรากฏเป็นรัศมีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ขุมหนึ่งห่อล้อมรอบกายา หลังจากสายวชิระแล้วเล่าที่กระหน่ำฟาดผ่าลงพ้นผ่านไป จากความโกลาหลทั่วแผ่นฟ้าก็เหลือแค่เพียงความปีติยินดีเท่านั้น

ณ ปัจจุบัน เมื่อหลี่เยี่ยนปลดปล่อยรัศมีกลิ่นอายออกมาจากร่าง กล่าวได้ว่า ยิ่งแกร่งกล้าไร้เทียมทานถึงขีดสุด อาศัยเพียงแรงกดดันที่แผ่ไพศาลสะพัดไกล กระทั่งฟ้าดินยังต้องสูญสลาย! เหนือยิ่งกว่าอาณาจักรปราณชั้นฟ้า มหายอดยุทธ์ผู้ไร้ทัดเทียม อาณาจักรปราณฟ้าถ่องแท้!

ขนาดชายทั้งสองคนที่ร่วมเดินทางมากับหลี่เยี่ยน ยังถึงกับปั้นสีหน้าตกตะลึงยิ่งเช่นกัน

“นาย...นายท่าน ระดับพลังบ่มเพาะของท่านหยุดนิ่งมานานเสียหลายปี ยามนี้กลับทะลวงผ่านได้ในพริบตา น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!”

“ยินดีด้วยนายท่าน ในที่สุดก็ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปราณฟ้าถ่องแท้ได้สำเร็จ!”

สำหรับเรื่องนี้ เย่เจวี๋ยบไม่ได้ดูแปลกใจอะไรมากนักเลย เขาดูออกตั้งแต่ตอนที่หลี่เยี่ยนควบแน่นพลังธรรมชาติผนึกกลายเป็นฝ่ามือมหึมานั้นแล้ว การที่พลังปราณฟ้าดินของเขาสามารถก่อตัวขึ้นเป็นรูปธรรม และมองเห็นได้ชัดเจนขนาดนั้น หากยังไม่สามารถเลื่อนระดับชั้นไปได้ ก็สันนิษฐานได้ว่า เขาไม่ได้ประสบปัญหาคอขวด แต่เป็นเพราะความกลัวทางด้านจิตใจที่ส่งผลกระทบไปถึงความมั่นใจในตัวเอง

ในชีวิตก่อนหน้า เย่เจวี๋ยเป็นถึงจักรพรรดิเทพสายฟ้า ในกาลอดีตเขาย่อมต้องเคยฝ่าฟันขอบเขตดังกล่าวมาก่อน จึงมีประสบการณ์และทราบเป็นอย่างดีว่า ปัญหาของคนที่ติดอยู่ในจุดนี้มีอะไรบ้าง ทั้งยังรู้ถึงไปวิธีแก้ไขปัญหา แค่ช่วยปลุกกระตุ้นความมั่นใจของหลี่เยี่ยนให้กลับมานิดเดียว การที่สามารถทะลวงผ่านไปได้ในพริบตานับว่าสมเหตุสมผลแล้ว

สำหรับเรื่องความลับในดินแดนมรดกของเผ่ามารปักษา เย่เจวี๋ยได้แต่คลี่ยิ้มบางไม่พูดอะไร เพราะในเวลานั้น ไม่มีสิ่งใดบนผืนพิภพที่จักรพรรดิเทพสายฟ้าไม่รู้ นอกเสียจากเรื่องที่เมียตนเองมีชู้รัก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด