ตอนที่แล้วMartial Peak –ตอนที่1773 รังสีสัตตรัศมี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปMartial Peak ตอนที่ 1775 แก้วตาสลายมาร

Martial Peak ตอนที่ 1774 ผลเทพอวตาร


Martial Peak ตอนที่ 1774 ผลเทพอวตาร

เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีกะทันหันของหนีกวง เซวียเยวี่ยยืนนิ่งไม่ขยับ เธอเชื่อว่าหนีกวงจะไม่ทำร้ายเธอ และลุงของเธอต้องมีเหตุผลถึงจะทำเช่นนั้น

ฟิ้ว เสียงลมแรงลมที่พัดผ่านศีรษะของเซวียเยวี่ย กระแสพลังปราณสีดำก็ปลิวออกจากเรือนผมของเธอ ล่องลอยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลอยตรงไปยังตำแหน่งของกุ๋ยสู่ราวกับลูกธนูที่ถูกยิงออกมาจากสาย

เส้นปราณสีดำนี้หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่หนีกวงก็ไม่สามารถหยุดมันได้

เขาเห็นชัดเจนว่าเส้นปราณสีดำนี้คล้ายกับร่างมนุษย์ที่มีใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับภูตผี มันถูกซ่อนไว้ในเส้นผมของเซวียเยวี่ยก็เพราะเป็นสีดำเช่นเดียวกัน และได้สะกดข่มกระแสพลังของเอาไว้อย่างสมบูรณ์ แม้แต่หนีกวงก็ไม่ได้อาจรับรู้ถึงมันในตอนแรก

เมื่อเขาสัมผัสถึงมันได้ก็สายเกินไป

เส้นปราณสีดำปราณลอยกลับไปที่กุ๋ยสู่อย่างรวดเร็ว เขาหัวเราะขึ้นอย่างชั่วร้าย ก่อนจะอ้าปากและกลืนปราณสีดำนั่นเข้าไป

“เจ้าไม่รู้สึกละอายใจที่ทำเช่นนี้บ้างรึ?” หนีกวงมองไปที่กุ๋ยสู่แล้วตะโกนอย่างเย็นชา

“ฮะ ฮะ ฮะ…” กุ๋ยสู่ยังคงหัวเราะอย่างชั่วร้าย “ไม่ว่าผู้เฒ่าคนนี้ทำอะไร ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ผู้อื่นมาออกความเห็น!!”

ใบหน้าของหนีกวงมืดมน เขาจ้องไปที่กุ๋ยสู่อยู่นาน ก่อนที่จะโบกมือและพูดขึ้น “ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องของเจ้า บัญชีในครั้งนี้ข้าจะมาชำระคืนในวันหน้าอย่างแน่นอน!”

แม้ว่าเขาจะไม่พอใจกับกลอุบายเล็กๆ ที่กุ๋ยสู่ใช้ผ่านตัวของเซวียเยวี่ย แต่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะต่อสู้หากเกิดความขัดแย้งขึ้น ซื่อหลงที่กำลังเฝ้าดูอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักได้ให้ความสนใจกับเหตุการณ์นี้อยู่มาก ดูเหมือนว่าเขาจะอยากเห็นการต่อสู้ระหว่างหนีกวงและกุ๋ยสู่

แน่นอนหนีกวงไม่ได้ทำในสิ่งที่ซื่อหลงต้องการ นอกจากนี้ เขาสามารถบอกได้เลยว่ากุ๋ยสู่ไม่ได้คิดที่จะทำร้ายเซวียเยวี่ย เพียงแค่แอบดักฟังข้อมูลเท่านั้น

เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องยกเรื่องนี้ออกไปก่อน หนีกวงหันกลับไปทางหุบเขาโอสถด้วยสีหน้าเย็นชา

“เจ้าหนู เจ้าได้ยินที่เขาพูดเมื่อครู่นี้หรือไม่?” อีกด้านหนึ่ง กุ๋ยสู่กระซิบถามหยางไค

“ข้าได้ยิน” หยางไคดูประหลาดใจ “ผู้อาวุโส ท่านทิ้งสิ่งนั้นไว้กับเซวียเยวี่ยตั้งแต่เมื่อใด?”

เขาแบกเซวียเยวี่ยมาตลอด แต่กลับไม่รู้เลยกุ๋ยสู่แอบทิ้งเส้นปราณสีดำนั่นไว้เมื่อใด

"เมื่อตอนที่ผู้เฒ่าคนนี้มอบแก่นอสูรของสัตว์อสูรมิติที่น่าสะพรึงให้กับเจ้า" กุ๋ยสู่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "ทำไมรึ? หรือว่าเจ้าไม่พอใจกับการกระทำของผู้เฒ่าคนนี้?"

“ไม่มีอะไรหรอก…” หยางไคหัวเราะ “ข้าแค่รู้สึกว่าผู้อาวุโสช่างมองการไกลและมีวิสัยทัศน์โดยแท้”

กุ๋ยสู่หัวเราะ “อย่ามาพูดยกยอผู้เฒ่าคนนี้เลย เพราะข้าทำงานคนเดียวมาตลอด เลยต้องระมัดระวังทุกสิ่งเสมอ! เอาละ ตอนนี้เจ้าได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดกันแล้ว เช่นนั้น…ผู้เฒ่าคนนี้จะไว้ใจเจ้า”

"ข้าจะทำให้ดีที่สุด!" หยางไคพยัก ไม่พูดอะไรต่อให้มากความ

นอกหุบเขาโอสถ มีความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง ราชันหวนกำเนิดทุกคนรอกันอยู่เงียบๆ อย่างอดทน ซื่อหลงและหนีกวงรู้ว่าพวกเขาต้องทำอย่างไรต่อไป แม้ว่าขงฝา ฉือเวยและเมิ่งถงอาจจะยังไม่เข้าใจสถานที่นี้ แต่พวกเขาก็เป็นถึงราชันหวนกำเนิด มีทักษะการสังเกตและการวิเคราะห์ที่ไม่ธรรมดา แม้ว่าจะใช้เวลาคิดอยู่นาน และยังไม่รู้ว่าจะเข้าไปในหุบเขาให้ปลอดภัยได้อย่างไร หลังจากที่หนีกวงและซื่อหลงเสนอความคิดเห็น ก็ทำให้พวกเขาเริ่มเห็นหนทาง

ฉือเวยเหลือบมองไปทางหยางไคเป็นครั้งคราว เขาสงสัยมากว่าหยางไคและเซวียเยวี่ยเอาชีวิตรอดจากผีเสื้อมิติลวงตาจำนวนมากได้อย่างไร ในเวลานั้น เขาใช้ทั้งสองเป็นเหยื่อล่อผีเสื้อมิติลวงตาเพื่อถ่วงเวลาให้เขามีโอกาสหลบหนี และแน่ใจว่าทั้งสองจะต้องตาย

แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าหลังจากผ่านไปเพียงสองสามวัน เขาจะเห็นทั้งสองปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าต่อตา โดยที่ไม่มีอาการบาดเจ็บหรือความเสียหายใดๆ แม้แต่น้อย

ฉือเวยจึงคิดสรุปว่าพวกเขารอดมาได้อย่างไร จากการที่ทั้งสองคนมาพร้อมกับกุ๋ยสู่ เขาคิดว่าเป็นกุ๋ยสู่ที่ปรากฏตัวและช่วยชีวิตหยางไคกับเซวียเยวี่ยเอาไว้

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง จู่ๆ ก็มีเสียงประหลาดดังออกมาจากที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในหุบเขาที่กว้างใหญ่ข้างหน้า เสียงนั้นคล้ายกับเสียงหายใจเข้าของสัตว์ที่กำลังนอนหลับอยู่

เสียงลมที่เหมือนกับเสียงกลองและเสียงฟ้าร้องรวมเข้าด้วยกัน ทำให้จิตใจที่นิ่งสงบเริ่มตื่นตะหนก

ราชันหวนกำเนิดหลายคนเริ่มมีสีหน้าเคร่งขรึมเมื่อได้ยินเสียงนั้น

ในทางกลับกันหนีกวง หลัวหลาน ซื่อหลงและคนอื่นๆ อีกสองสามคนดูกระตือรือร้นมากขึ้น พวกเขาแอบใช้ปราณเทวะของตนเพื่อเตรียมที่จะเคลื่อนไหว

วินาทีต่อมา การเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติก็เกิดขึ้น

ในหุบเขาอันเงียบสงบมีลมกระโชกแรงพัดตรงเข้าไปยังส่วนลึกภายในหุบเขา ในเวลาเดียวกัน การเคลื่อนไหวของเสียงหายใจก็เริ่มชัดเจนมากขึ้น

ควบคู่ไปกับเสียงหายใจเข้า รังสีสัตตรัศมีที่ปกคลุมทั่วหุบเขาดูเหมือนจะได้รับการดึงดูดบางอย่างที่ไม่อาจต้านทานได้ พวกมันถูกดูดเข้าไปในหุบเขาอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำ ชั่วพริบตา ทิวทัศน์ภายในหุบเขาก็ถูกเปิดเผยต่อสายตาของทุกคน

ชู ชู ชู…

ในตอนนี้ หนีกวง หลัวหลานและซื่อหลง ทั้งสามราชันหวนกำเนิดจึงเริ่มเคลื่อนไหวราวกับลูกศรที่ถูกยิงออกจากสาย พวกเขาไล่ตามรังสีสัตตรัศมีที่ลดลงมา และพุ่งตัวเข้าไปในหุบเขาทันที!

เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวนี้ ขงฝา ฉือเวยและเมิ่งถงที่คอยเฝ้าดูอยู่ก็ไม่นิ่งนอนใจอีกต่อไป แต่ละคนใช้ทักษะร่างกายของตนเปล่งลำแสงออกมา แล้วพุ่งออกไปในทิศทางที่ต่างกัน

กุ๋ยสู่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เรียกธงหมื่นวิญญาณออกมา พันรอบหยางไคแล้วพุ่งตัวไปด้านหน้า

การฝึกฝนของกุ๋ยสู่สูงส่งและลึกล้ำ ในบรรดาราชันหวนกำเนิดทั้งหมด มีเพียงหนีกวงและซื่อหลงเท่านั้นที่สามารถเทียบเคียงเขาได้ ดังนั้นความเร็วของกุ๋ยสู่จึงเร็วมาก ในชั่วพริบตาเขาพุ่งตรงไปด้านหน้าได้ถึงสิบลี้

ภายในหุบเขามีรอยแยกมิติขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันมากมายนับไม่ถ้วน กระจัดกระจายไปทั่วทุกแห่งหน รอยแยกเหล่านี้เป็นเหมือนกับรอยแผลในมิติที่ไม่มีทางซ่อมแซมได้

รอยแยกมิติจำนวนมากถูกซ่อนไว้ บางส่วนสามารถระบุตำแหน่งได้ด้วยปราณจิตสัมผัส แต่บางส่วนก็ไม่สามารถตรวจหาร่องรอยใดๆ ได้เลย

หนีกวงและซื่อหลงต่างก็มีสมบัติลับที่สามารถตรวจจับรอยแยกมิติได้ และในเวลานี้พวกเขาอาศัยพวกมันเพื่อพุ่งไปข้างหน้า พร้อมกับเปลี่ยนทิศทางอย่างต่อเนื่อง เพื่อหลีกเลี่ยงรอยแยกมิติเหล่านี้

ราชันหวนกำเนิดคนใดที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า จึงต้องปล่อยปราณจิตสัมผัสของตนออกมาให้มากที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย

หลังจากความพยายามเพียงสิบอึดใจ ทุกคนก็ก้าวเข้าไปได้อย่างมั่นคง แม้ว่าพวกเขาจะรีบเข้าไปในหุบเขาเกือบจะพร้อมกัน แต่หนีกวงและซื่อหลงก็มุ่งหน้าไปได้ไกลมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าของกุ๋ยสู่นั้นออกจะเกินจริงไปกว่าที่พูดไว้มาก

เมื่อมีหยางไคคอยชี้ทางให้ เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับภัยอันตรายของรอยแยกมิติ เพียงแค่ทำตามคำแนะนำของหยางไค ก็สามารถแซงหน้าหนีกวงและซื่อหลงได้อย่างง่ายดายในเวลาสั้นๆ ทิ้งสองคนนั้นไว้กับฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย ขณะที่เขาและหยางไคหายเข้าไปในหุบเขา

“ไอ้สารเลวนั่น!” ซื่อหลงมองไปที่ร่างของกุ๋ยสู่ในระยะไกลและอดไม่ได้ที่จะสาปแช่ง

ซื่อหลงใช้เวลาหลายปีในการรอให้เศษโลกเปิด เพื่อที่จะได้เข้ามาเก็บเกี่ยวสมุนไพรโบราณหายากที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว ทุกครั้งที่เปิดเศษโลกก็จะได้รับสมุนไพรหายากมากมายจากหุบเขาโอสถนี้ กล่าวได้เลยว่าผู้ใดที่ได้สมุนไพรระดับสูง ก็จะได้ผลประโยชน์ที่สูงมากตามไป

เดิมทีเขาคิดว่าคู่แข่งที่สำคัญที่สุดคือหนีกวง แต่แล้วคู่แข่งที่ไม่คาดคิดอย่างกุ๋ยสู่ก็ปรากฏตัวขึ้นระหว่างทาง ในขณะที่เขาก็ไม่ทันตั้งตัว

“เจ้าคนโง่นั่นจะตายหรือไม่ขอรับ?” ซื่อตงไหลที่ติดตามซื่อหลงอยู่ มองไปข้างหน้าด้วยสีหน้าตกตะลึง “เขาเร่งรีบมาก ถ้าหากไปสัมผัสเข้ากับรอยแยกมิติที่ซ่อนอยู่ แม้ว่าเขาจะเป็นถึงราชันหวนกำเนิด แต่ก็ต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน”

“ไม่ต้องไปสนใจเขา!” ซื่อหลงแค่นเสียงเย็นชา “ถ้าเขาอยากตาย ก็ปล่อยเขาไป”

"ขอรับ" ซื่อตงไหลครุ่นคิด แม้ว่าผู้ใดจะเร่งรีบแต่ก็ไม่รับประกันว่าจะได้ผลดี และหากเร่งรีบเกินไปก็อาจพาตนเองไปสู่ความตายเร็วมากขึ้น

เมื่อคิดเช่นนั้น อารมณ์ของเขาก็มั่นคงขึ้นมา

อีกด้านหนึ่ง หนีกวงที่เกือบตามซื่อหลงทันก็ส่ายหน้าและถอนหายใจ “เซวียเยวี่ย เด็กคนนั้นอาจจะพบกับหายนะ ชายที่ชื่อกุ๋ยสู่ไม่รู้ว่าที่นี้อันตรายแค่ไหน รีบร้อนเกินไปสุดท้ายแล้วจะได้ผลดีอะไร?”

"ไม่น่าเลย" เซวียเยวี่ยส่ายหน้า เธอรู้ว่ากุ๋ยสู่กำลังพึ่งพาสิ่งใดจากหยางไคอยู่ แต่เธอก็ไม่ได้อธิบายอะไรมาก

มีเพียงหลัวหลานเท่านั้นที่ถอนหายใจเบาๆ

ถ้าหยางไคอยู่ด้วยกันในตอนนี้ สถานการณ์จะต้องดีขึ้นมากอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้อยู่กับเธอ

…..

อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co

“ใกล้จะถึงแล้ว” หลังจากปล่อยปราณจิตสัมผัสยืนยันว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในระยะสิบลี้ กุ๋ยสู่ลดระดับของตนลง ทำให้ร่างของเขาและหยางไคถูกเปิดเผย

“หืม? มีกลิ่นของสมุนไพร!” หยางไคที่ได้กลิ่นพูดขึ้นด้วยความตกใจ

“หึหึ ดูเหมือนว่าเราเพิ่งจะเข้ามา แต่ก็ได้รับบางสิ่งบางอย่างแล้ว” กุ๋ยสู่หัวเราะเบาๆ ก่อนที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเคร่งขรึม แล้วกล่าวต่อ “เจ้าหนู ผู้เฒ่าคนนี้ขอบอกเจ้าให้เข้าใจไว้ก่อน ไม่ว่าเราจะพบอะไรในหุบเขาโอสถนี้ เราจะแบ่งให้เท่าๆ กัน ผู้เฒ่าคนนี้จะไม่เอาเปรียบเจ้า เจ้าคิดอย่างไร?”

“ตามที่ผู้อาวุโสเสนอ” หยางไคพยักหน้ารับอย่างง่ายดาย

ในสถานที่แบบนี้ แม้ว่ากุ๋ยสู่จะต้องพึ่งพาในพลังแห่งห้วงมิติของหยางไคอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำอะไรไม่ได้หากไม่มีหยางไค เพียงแต่ถ้าเขาอยู่ตัวคนเดียวความเร็วก็จะช้าลงมาก

ดังนั้น ข้อเสนอที่ให้แบ่งกำไรเท่าๆ กัน ยังคงเป็นผลเสียเล็กน้อยสำหรับกุ๋ยสู่ แน่นอนว่าหยางไคจะไม่คัดค้าน

"ตรงนั้น!" หยางไคยืนยันที่มาของกลิ่นสมุนไพรและชี้ไปยังทิศทางที่แน่นอน

พูดจบเขา ก็รีบวิ่งไปที่นั่นโดยที่มีกุ๋ยสู่ติดตามอย่างใกล้ชิด

สิบอึดใจต่อมา ทั้งสองมาถึงหน้าต้นไม้ที่สูงประมาณครึ่งหนึ่งของคน ต้นไม้ต้นนี้มีกิ่งก้านกระจัดกระจายเล็กน้อยและมีใบไม้รูปกรวยเพียงไม่กี่ใบที่ประดับอยู่กิ่งก้านอันเปราะบางของมัน

บนกิ่งก้านเหล่านี้ มีผลไม้สีม่วงขนาดเท่ากำปั้นเด็กเล็กทั้งหมดสี่ผลห้อยไว้อย่างเรียบร้อย พวกมันส่องแสงวิบวับ มีผิวที่ใสราวกับผลึกจนสามารถมองเห็นเนื้อหวานข้างในได้ เมื่อเห็นแวบแรก ก็ทำให้คนมองได้แต่กำมือแน่น

กระแสพลังที่อธิบายไม่ได้แผ่ซ่านออกมาอยู่รอบผลไม้ทั้งสี่ ราวกับว่ามันปลดปล่อยออกมาเอง

ทั่วทั้งตัวของกุ๋ยสู่ถูกห่อด้วยไปด้วยปราณสีดำ แต่ดวงตาที่เปล่งประกายเต็มไปด้วยเลศนัยของเขานั้นยากที่เก็บซ่อน

เขารู้ได้เลยว่าผลไม้ทั้งสี่นี้มีความพิเศษและมีประโยชน์อย่างมากในการหลอมสร้างความแข็งแกร่งของเขา!

“ผลเทพอวตาร!” หยางไคใช้เวลาในการสังเกตครู่หนึ่ง เพื่อระบุว่าผลไม้เหล่านี้คือผลไม้อะไร จากความรู้ที่เกี่ยวกับยาวิเศษในความจำของเขา และเมื่อเขายืนยันได้ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ

“นี่คือผลเทพอวตารหรือ?” กุ๋ยสู่เลิกคิ้วขึ้นและถามด้วยความประหลาดใจ “ผลไม้วิญญาณชนิดนี้สามารถใช้หลอมสร้างยาเทพอวตารได้?”

เห็นได้ชัดว่าเขาเคยได้ยินเกี่ยวกับผลเทพอวตารมาก่อนและรู้ว่ายาวิญญาณชนิดใดที่สามารถใช้มันหลอมสร้างขึ้นมาได้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด