ตอนที่แล้วตอนที่17 สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซาน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่19 ยอมรับ

ตอนที่18 ตื่นตะลึง


ตอนที่18 ตื่นตะลึง

ม่อไป๋พาสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานตรงเข้ามายังตระกูลเย่ ซึ่งระหว่างทาง สีหน้าของสามพี่น้องก็เริ่มแปรเปลี่ยนดูมืดมนลงเรื่อยๆ เนื่องจากจากโรงน้ำชา ร้านอาหาร และแผงลอยขายของต่างๆ ที่พวกเขาเดินผ่าน แทบทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เย่เจวี๋ยแข็งแกร่งปานใด ถึงขนาดกล่าวกันว่า หนึ่งต่อร้อยยังหาใช่คู่มือของเขาไม่

นอกจากนี้ยังมีนักเล่าเรื่องเปิดโรงละครหุ่นกระบอกขนาดย่อม เล่นแสดงเกี่ยวกับเหตุการณ์ล้างบางตระกูลหยางในวันนี้บนลานประลองยุทธ์ ซึ่งทุกคนที่จับกลุ่มกันนั่งฟังล้วนแล้วรู้สึกเพลิดเพลิน

ม่อไป๋เองก็มีความคิดความอ่านที่เฉียบคมไม่น้อย ถ้าทวงถามเรื่องสัญญาเดิมพันตอนนี้ มีหวังถูกฆ่าตายแน่นอน ดังนั้นจึงเล่นคำกล่าวกับทั้งสามไปว่า หากยังไม่เชื่อ เดี๋ยวเขาพาไปไถ่ถามถึงตระกูลเย่ หากเย่เจวี๋ยหรือพวกตระกูลรู้ว่าสามคนนี้เป็น สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซาน กลุ่มโจรโฉดชั่วที่ดักปล้นผู้ด้านนอกเมือง มีหรือจะปล่อยไว้?

กล่าวได้ว่า ม่อไป๋กำลังพาพวกเขาให้มาติดกับดักโดยไม่ให้รู้ตัวอยู่!

สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานที่ได้ยินดังนั้นก็สั่งให้ม่อไป๋รีบพาไปหาเดี๋ยวนี้ พวกเขาเป็นถึงโจรเลื่องชื่อ สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซาน จะมาลดตัวทำเรื่องน่าอัปยศกับคนชั้นต่ำได้อย่างไร? ดังนั้นพวกเขาต้องสืบเสาะเรื่องนี้จนถึงที่สุดเพื่อเฟ้นหาคาวมจริงมาให้จงได้

“พวกเจ้าคือใครมาจากไหน?”

ด้านนอกประตูทางเข้าตระกูลเย่ มีองครักษ์คอยเฝ้าอยู่ พอเห็นพวกสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานเดินเข้ามา องครักษ์คนดังกล่าวก็รีบก้าวย่างมาขว้างและเอ่ยถามขึ้นทันที

“ไสหัวไป!”

หยินต้าซงคำรามใส่เสียงหนึ่ง และคว้าคมหอกขององครักษ์ด้วยมือเปล่าในพริบตา! องครักษ์เฝ้ายามตื่นตระหนักขึ้นโดยพลัน แต่ขณะที่กำลังจะเคลื่อนไหว เขากลับถูกหยินต้าซงใช้ดีชะนีทะลวงจุดตันเถียนไปเสียก่อน พร้อมเสียงระเบิดดังปัง องครักษ์คนดังกล่าวนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ปราศจากลมหายใจเสียแล้ว

เมื่อไร้ซึ่งอุปสรรคเข้ามาขวางกัน สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานก็เปิดประตูทางเข้าตระกูลเย่ ก้าวย่างเดินเข้ามาโดยไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด กลิ่ยอายยอดฝีมืออาณาจักรก่อกายาระดับสิบแผ่ซ่านออกมาปกคลุมทั่วบริเวณ พวกเขาทั้งสามช่างแข็งแกร่งเกินจินตนาการ ถึงขนาดที่ว่าความรุนแรงของรัศมีแรงกดดันเทียบชั้นยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงได้แล้ว!

“พวกเจ้าเป็นใคร?! บุกเข้ามาแบบนี้มีจุดประสงค์อันใดกัน?!”

บูมมม!

“อย่าคิดอวดดี พวกเราองครักษ์ประจำตระกูลเย่อยู่ที่นี่แล้ว!”

บูมมม!

การบุกรุกเข้ามาอย่างผ่าเผยเช่นนี้ย่อมเรียกบรรดาผู้คนหลายหลาดเข้ามาทักทาย แต่สำหรับสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานแล้ว ต่อให้มาอีกมายมายแค่ไหนก็แค่มดปลวกเท่านั้น เพียงคนละหนึ่งกระบวนแตะต่อยก็สามารถระเบิดจุดตันเถียน หักกระดูกของคนพวกนี้จนตายคาที่ได้ไม่ยาก

“รีบไปรายงานนายน้อยเร็ว! มีคนเข้ามาก่อปัญหา!”

ไม่รู้ว่าเสียงตะโกนดังกล่าวออกมาจากปากใคร แต่แล้วคนๆ นั้นกลับโดนหยินเอ๊อร์ซงบิดกระดูกคอจนแตกละเอียดเป็นผุยผงในพริบตา

“ไปเรียกเย่เจวี๋ยออกมาเดี๋ยวนี้! แค่เศษสวะอย่างพวกเจ้ามันไม่คนามือพวกเราสามพี่น้อง!”

หยินต้าซงแหปากตะโกนเสียงดังฟังชัด

........

ณ เรือนพักของเย่เจวี๋ย

“นายน้อยแย่แล้ว! แย่แล้ว! มีคนกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาก่อปัญหา พวกมันเรียกแทนตัวเองว่า สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซาน!”

คนรับใช้ตระกูลเย่คนหนี่งรีบวิ่งเปิดประตูเข้ามาด้วยท่าทีแสนร้อนใจ ทำให้เย่เจวี๋ยที่กำลังเข้าฌานอยู่ขมวดคิ้วแน่นทันที

สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซาน? เย่เจวี๋ยพลันตะลึงงันไปชั่วครู่ กลุ่มโจรผู้มีชื่อเสียงในแถบนอกเมืองหลงเยวี่ยอย่างงั้นรึ? กล่าวกันว่า พวกเขาทั้งสามสามารถบรรลุอาณาจักรก่อกายาระดับสิบซึ่งเป็นขั้นพิเศษได้ หากทั้งสามร่วมมือกันจะสามารถต่อกรกับยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงขนานแท้ได้คนหนึ่ง แล้วพวกมันมาทำอะไรที่นี่? หรือว่า....

เย่เจวี๋ยเบนสายมองไปที่ดาบสะบั้นมังกรที่วางอยู่ข้างกาย และเขาก็เข้าใจทุกอย่างได้ในทันที นอกเหนือจากความเป็นไปได้นี้แล้ว เขาก็มั่นใจอย่างยิ่งว่า มันจะเป็นอื่นใดอีกไม่ได้แล้ว

ขณะนี้เอง ข่าวที่ว่าตัวเขาฟันหลงอ้าวเทียนจนขาดเป็นสองท่อนในดาบเดียวเป็นที่ลือเลื่องกันทั่วมั้งเมือง จะบอกว่าอาศัยเพียงความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ ผู้คนคงไม่ค่อยให้น้ำหนักเชื่อขนาดนั้น และคิดกันไปว่าคงเป็นเพราะดาบวิเศษเล่มนี้

สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานที่ได้รับข่าวจริงรีบเข้ามาในเมืองเพื่อแย่งชิงดาบวิเศษเล่มดังกล่าวไป ทั้งนี้เองยิ่งได้ฟังคำพรรณนาบรรยายความแกร่งกล้าของดาบเล่มนี้เท่าใด ในแววตาของพวกมันก็ยิ่งสาดแววความโลภออกมามากเท่านั้น

..........

สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานยังคงไล่ล่าสังหารคนของตระกูลเย่ไม่หยุดหย่อน เนื่องด้วยความห่างชั้นระหว่างความแข็งแกร่งที่มีมากเกินไป จนท้ายที่สุดทำเอาคนตระกูลเย่ตระหนักได้ว่า ขืนสู้ต่อไปก็ทำอะไรพวกมันไม่ได้ ก็เลยไม่มีใครกล้าเข้าใกล้พวกนั้นอีกแม้แต่ก้าวเดียว ปรากฏเป็นภาพฉากที่บรรดาผู้คนตระกูลเย่ยืนรุมล้อมสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานอยู่รอบนอก พอพวกนั้นก้าวย่างขึ้นหน้าหนึ่งก้าว บรรดาผู้คนตระกูลเย่กลับร่นถอยหนึ่งก้าวแทน

ทั้งสองฝ่ายยืนปะทะคารมกันอบู่แบบนั้นระยะเวลาหนึ่ง จนท้ายที่สุดก็มีใครบางคนเข้ามาทำลายบรรยากาศดังกล่าวโดยสิ้นเชิงซึ่งนั้นก็คือ เย่เจวี๋ย

เมื่อเห็นดาบเล่มนั้น สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานก็เผยแววตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที ภายในใจร้องอุทานคำแรกคือ ‘ดาบดีขนานแท้’ นี่สมแล้วที่เป็นดาบวิเศษล้ำค่า แม้คนอื่นจะมองไม่ออก แต่พวกเขาสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานที่มีประสบการณ์ฆ่าฟันผู้คนมาแล้วนับไม่ถ้วน กลับสามารถพูดได้ทันทีที่แรกเห็นว่า ดาบวิเศษเล่มนี้ชโลมเคลือบไปด้วยจิตสังหารที่รุนแรงมาก แถมตัวดาบยังมีรัศมีสีแดงเป็นชั้นอ่อนปกคลุมอยู่ราวกับไอโลหิตจางๆ เสมือนว่า มันยิ่งดูดเลือดไปมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งสำแดงความดุร้ายมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

“ท่านทั้งสามคงมาเพื่อดาบสะบั้นมังกรเล่มนี้ถูกต้องหรือไม่?”

เย่เจวี๋ยปราศจากท่าทางหวั่นเกรง ยืนดาบสะบั้นมังกรประจักษ์ตรงหน้าและเอ่ยกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

“ถูกต้องแล้ว เจ้าคือนายน้อยตระกูลเย่ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วทั้งเมืองกระมัง? ดาบสะบั้นมังกรเล่มนี้ช่างมีชะตาอาภัพ ต้องมีเจ้านายเป็นเด็กน้อยอย่างเจ้า สู้มอบให้พวกเราไม่ดีกว่าหรือ?”

“ให้พวกเราใช้งาน ล่อมสำแดงฤทธิ์เดชได้มากกว่าเป็นไหน”

“เย่เจวี๋ย ส่งดาบสะบั้นมังกรมาให้พวกเราเสีย เช่นนั้นแล้วพวกเราสามพี่น้องจะไว้ชีวิตเจ้า”

สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานเปล่งวาจาข่มขู่ขึ้น ความหมายค่อนข้างชัดเจนว่า พวกเขาต้องการดาบสะบั้นมังกรมากเพียงใด

“ฮ่าฮ่าๆๆ ... นี่ข้ากำลังฟังเรื่องตลกอยู่กระมัง?”

เย่เจวี๋ยระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นและกล่าวต่อว่า

“เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร เรามาเดิมพันกันหน่อยดีหรือไม่? หากข้าพ่ายแก่พวกเจ้า ดาบสะบั้นมังกรเล่มนี้ย่อมมอบให้แต่โดยดี ทว่ากลับเป็นพวกเจ้าที่พ่ายลง จะต้องยอมให้ข้าจับกุมพวกเข้าและพาไปส่งตำหนักเจ้าเมืองแต่โดยดี ว่าอย่างไร?”

“หึหึ เดิมพันก็เดิมพัน! อย่าอวดดีคิดว่า ตัวเจ้าที่ถือดาบวิเศษแล้วจะแกร่งกล้าไร้เทียมทานปานนั้น! เจ้าหนู ตัวเจ้านั้นช่างหยิ่งผยองเกินไป!”

“พวกเจ้าหลีกไป”

เย่เจวี๋ยหันมาโบกมือให้ผู้คนตระกูลเย่ให้ขยับขยายวงออก จนกลายมาเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับประลองยุทธ์ต่อสู้

แต่ละคนต่างจับจ้องการแสดงตรงหน้าด้วยความตื่นอกตื่นเต้น

ในสายตาของพวกเขาเหล่านี้ เย่เจวี๋ยที่สามารถยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วงได้ภายในดาบเดียว กับแค่โจรกระจอกอาณาจักรก่อกายาระดับสิบ ยังนับเป็นอันใด? ภายในใจพวกเขาได้ตัดสินศึกครานี้ไปแล้วว่า สามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซานต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

“ข้าไม่จำเป็นต้องใช้ดาบสะบั้นมังกร แค่มือเปล่าก็เพียงพอแล้ว”

สิ้นเสียงเย่เจวี๋ย เขาปักดาบสะบั้นมังกรคาพื้นอยู่แบบนั้น ปลายคมดาบจมลงในผิวดินกว่าสามนิ้วเห็นจะได้

‘อันใด? ไม่ใช้ดาบสะบั้นมังกร?’

เมื่อได้ยินเย่เจวี๋ยลั่นวาจาออกไปแบบนั้น บรรดาผู้คนตระกูลเย่ต่างเบิกตาโตเกิดความโกลาหลทันที ในสายตาของพวกเขา ถึงแม้เย่เจวี๋ยจะแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่หากไม่ใช่ดาบสะบั้นมังกร แล้วจะไปมีปัญญารับมือยอดฝีมืออาณาจักรก่อกายาระดับสิบถึงสามคนได้อย่างไร?

สิ่งหนึ่งที่ควรจำคือ ดาบสะบั้นมังกรเล่มนี้เป็นสิ่งเดียวที่สามารถชดเชยความแตกต่างระหว่างระดับขั้นพลังที่ห่างกันขนาดนี้ได้

ภายใต้สถานการณ์ที่ไร้ซึ่งดาบสะบั้นมังกร ท้ายที่สุดแล้วก็หนีความจริงไม่พ้นที่ว่า เย่เจวี๋ยมีพลังอยู่เพียงอาณาจักรก่อกายาระดับห้าขั้นสุดเท่านั้น หากต้องสัประยุทธ์กับสามยอดฝีมืออาณาจักรก่อกายาระดับสิบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากำลังรนหาที่ตายชัดๆ

ความภาคภูมิใจและหยิ่งผยองมันพองใหญ่จนบดบังวิสัยทัศน์ของเย่เจวี๋ยไปหมดแล้วงั้นรึ? ทุกคนนต่างร้องโอดครวญทันที หากนายน้อยเย่เกิดถูกสังหารฆ่าตายขึ้นมา พวกเขาจะเอาหน้าที่ไหนไปบอกกับประมุขตระกูล?

“อะไร? ไม่ใช้ดาบสะบั้นมังกรอย่างงั้นรึ?”

หยินต้าซงที่ได้ยินดังนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะเช่นกัน หากเย่เจวี๋ยเป็นอย่างที่พวกชาวเมืองพูดจริงๆ นั้นหมายความได้ว่า เขาก็พอมีฝีมืออยู่ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าไร้ซึ่งดาบสะบั้นมังกรในมือ ก็เป็นได้แค่เจ้าเด็กน้อยอาณาจักรก่อกายาระดับห้าทั่วไปไม่ใช่รึไง? ระดับชั้นเพียงแค่นี้หากให้พวกเขาสามคนรุมพร้อมกันคงโดนหาว่ารังแกเด็กกระมัง

“เหอะ เหอะ แม้พวกเราจะไม่รู้ว่าแกกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ในเมื่อรนหาที่ตายถึงปานนั้น ก็อย่าหาว่าเราสามพี่น้องไร้ซึ่งจิตเมตตา!”

สิ่งหนึ่งที่หยินต้าซงและทุกคนโดยรอบไม่รู้ก็คือ ถึงเย่เจวี๋ยจะอยู่ในอาณาจักรก่อกายาระดับห้าก็จริง แต่หากกล่าวถึงพละกำลังของเขา มันมหาศาลจนเปรียบได้กับกระทิงคลั่งสามสิบหกตัว

ขณะที่หยินต้าซงเอ่ยกล่าว เย่เจวี๋ยก็ย่างสามขุมเดินตรงเข้ามาหาพวกเขาโดยปราศจากความเกรงกลัวใดๆ เอ่ยกล่าวเสียงบางขึ้นว่า

“เข้ามาพร้อมกันสามคนนั้นแหละ”

“หึ แค่สังหารเจ้า ข้าคนเดียวก็เกินพอแล้ว ฮ่าฮ่าๆๆ”

หยินต้าซงกล่าวสบประมาทคำโตพร้อมระเบิดหัวเราะเยาะเสียงดังนั้น ราวกับจะขาดอากาศหายใจให้ได้

จากที่เย่เจวี๋ยย่างสามขุมตรงเข้าหาอย่างแช่มช้า กลายมาเป็นความเร็วสุดขีดประดุจสายฟ้าในเสี้ยวพริบตา เขาพุ่งทะยานติดประชิดร่างของหยิงต้าซงพร้อมยกกำปั้น ระเบิดพลังอาณาจักรก่อกายาระดับห้าขั้นสุดเข้าใส่เต็มกำลังสูบ ปฏิกิริยาตอบสนองของหยินต้าซงเองก็มิได้เชื่องช้า คู่ดวงตาฉายแววตื่นตระหนกหนึ่งส่วน รีบยกมือทั้งสองขึ้นมาปัดป้องบังไว้ตรงหน้า

บูม! เสียงระเบิดพลังดังขึ้น หยินต้าซงรู้สึกราวกับถูกค้อนยักษ์นับหลายสิบตันทุบเข้าใส่อย่างจัง ขุมพลังมหาศาลส่งผ่านจากกำปั้นทะลวงการป้องกันของเขาได้ในพริบตา

เนื่องด้วยความเจ็บปวดเดินพรรณนาโฉบแลบสะท้านไปทั่วทั้งร่าง หยินต้าซงไม่สามารถคงท่าร่างกระบวนรับมือใดๆ ได้อีก เย่เจวี๋ยจึงฉวยโอกาสนั้นซัดเข่ากระทุ้งท้องน้อย อัดเข้าจุดตันเถียนเต็มแรง เสี้ยวอึดใจต่อมา หยินต้าซงร่างปลิวลอยละล่องกระเด็นออกไปไกล ขณะลอยค้างกลางอากาศ แววตาคู่นั้นยังคงเปี่ยมล้นความตื่นตะลึงไม่มีเสื่อมคลาย

นี่มันขุมพลังที่เด็กน้อยอาณาจักรก่อกายาระดับห้าควรมีงั้นรึ?!

หลังจากสบถในใจไปคำหนึ่ง ร่างของหยินต้าซงก็พุ่งติดกำแพงหินสูง เสียงระเบิดดังสนั่นกึกก้อง กำแพงดังกล่าวโค่นถล่มพังราบเป็นหน้ากลอง เศษหินเศษฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ

เย่เจวี๋ยเพิ่งอัดร่างของพี่ใหญ่จนกระเด็นออกไปในพริบตาเดียว ทั้งหยินเอ๊อร์ซงและหยินซานซงต่างเบิกตาโตเท่าไข่ห่านจับจ้องภาพฉากตรงหน้าด้วยความตกตะลึงและโกรธในเวลาเดียวกัน ส่วนทางเย่เจวี๋ยก็เหลือบมองพวกเขาเช่นกัน แต่ช่างเป็นสายตาที่เฉยเมยอะไรเช่นนี้ ประหนึ่งว่าอีกสองคนที่เหลือมันไม่สามารถเป็นคู่มือของเขาได้เลย

ไม่รีรอให้เย่เจวี๋ยเปิดฉากโจมตีเข้ามาก่อน หยินเอ๊อร์ซงและหยินซานซงชักดาบใหญ่ที่เอวออกมาและพุ่งเข้าโจมตีเย่เจวี๋ย ขนาบข้างทั้งซ้ายและขวาโดยพร้อมเพรียง

อย่างไรเสีย เพียงแสงประกายสาดสะท้อนจากคมดาบใหญ่วาบเดียวเท่านั้น ดาบยักษ์ทั้งสองพลันหยุดชะงักลงทันใดราวกับพุ่งเข้าไปชนแท่งเหล็กหนา ปรากฏเพียงนิ้วชี้ของเย่เจวี๋ยที่หยุดดาบยักษ์ทั้งสองเล่มไว้ได้โดยสมบูรณ์ จะให้ใช้ดาบสะบั้นมังกรในการต่อสู้ครั้งนี้รึ? ไม่ ไม่จำเป็น แค่มือเปล่าก็เกินพอแล้วจริงๆ ส่วนตอนนี้เย่เจวี๋ยใช้แค้นิ้วชี้นิ้วเดียวก็สามารถรับดาบยักษ์ทั้งสองเล่มได้แล้ว

บรรดาผู้คนตระกูลเย่หลายคนคิดว่าตังเองเห็นภาพหลอน จึงยกมือขยี้ตาอย่างแรง พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพลันพบว่านี่เป็นเรื่องจริง แต่ละคนอ้าปากค้างจนขากรรไกรแทบร่วงหลุดลงมา

นิ้วชี้ทั้งด้านมือซ้ายและขวายังคงนิ่งงัน ได้ยินเพียงเสียงแตกกร๊อบแกร๊กดังออกมาจากคมดาบยักษ์ทั้งสอง คมดาบยักษ์แตกเป็นเสี่ยงๆ คามือของพวกเขาทั้งคู่ในทันใด แต่ด้วยประสบการณ์การต่อสู้ของสามพี่น้องแห่งหุบเขาหยินซาน หยินเอ๋อร์ซงกับหยินซานซงไม่แสดงอาการแตกตื่นแม้สักนิด รีบทิ้งดาบในมือและเปลี่ยนท่วงท่าสำแดงเพลงหมัดสุดแกร่งกร้าวออกมาแทน และเข้าโจมตีใส่เย่เจวี๋ยอีกระลอกหนึ่ง

อย่างไรเสีย เย่เจวี๋ยยังคงใช้นิ้วปัดป้องเพลงหมัดที่ผสานจู่โจมของทั้งคู่ได้อย่างง่ายดาย

น่าทึ่งเกินไป! นี่มันไม่เกินจริงไปหน่อยรึ? บรรดาผู้คนตระกูลเย่แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยจริงๆ กับภาพฉากตรงหน้า ล้อเล่นรึเปล่า? ผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรก่อกายาระดับห้าต้านรับกระบวนสอดประสานของยอดฝีมืออาณาจักรก่อกายาระดับสิบถึงสองคนได้ราวกับกำลังเล่นสนุก?

นี่ยังกล่าวได้ว่า ยังมีความแตกต่างระหว่างพลังเข้ามาเป็นปัจจัยในการต่อสู้ได้อีกหรือไม่?

เย่เจวี๋ยจับกำปั้นของหยินเอ้อร์ซงและหยินซานซงไว้แน่น เพียงบิดข้อมือเล็กน้อยก็สามารถพลิกท่อนแขนของทั้งคู่ได้ฉับพลัน ส่งร่างของทั้งคู่ปลิวกระเด็นออกไป

เสียงกำแพงถล่มลงมาดังกึกก้องขึ้นมาอีกครา

นี่มันน่าตกตะลึงเกินไป ภายในใจของผู้คนตระกูลเย่ตอนนี้มีแต่ความตื่นตระหนกตกใจ เกินกว่าจะอธิบายอารมณ์ ณ ขณะนี้ได้แล้วจริงๆ เดิมทีพวกเขาคิดว่า ที่เย่เจวี๋ยแข็งแกร่งจนถึงขั้นฟันหลงอ้าวเทียนขาดครึ่งท่อนในดาบเดียวได้เป็นเพราะดาบสะบั้นมังกรเล่มนี้ แต่ตอนนี้พวกเขาค้นพบแล้วว่าตัวเองคิดผิด แท้ที่จริงแล้วเย่เจวี๋ยแทบไม่ได้พึ่งพาพลังของดาบเลยต่างหาก

หากให้พรรณนาคงเป็นดั่งว่า ราชสีห์ พยักฆ์ขาว หรือแม้แต่อินทรีเพลิง มันมีความเก่งกาจอยู่ภายในตัว ส่วนกรงเล็บอันแหลมคมเป็นเพียงสิ่งเพิ่มพูนความอันตรายเท่านั้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด