ตอนที่แล้วตอนที่12 วิญญาณร้าย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่14 เจ้าเมืองหลงเยวี่ย

ตอนที่13 ดาบสะบั้นมังกร


ตอนที่13 ดาบสะบั้นมังกร

วิญญาณร้ายสีทมิฬกรีดร้องโหยหวน มันพยายามดิ้นรนสุดชีวิตหวังที่จะลุกขึ้นมา ทว่าอย่างไรก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้สักนิด เย่เจวี๋ยคลี่ยิ้มกลิ่มในใจ ทอดเสียงส่งผ่านทะเลแห่งจิตใจแผ่ไปถึงห้วงมิติดวงเนตรจักรพรรดิสายฟ้า

“อันใด? ไยไม่เก่งกาจดั่งก่อนหน้าเสียแล้ว? อยากสังหารข้าหาใช่รึ? ลุกขึ้นมาสิ! แน่จริงก็จงลุกขึ้นมา!”

เนื้อเสียงอัดแน่นไปด้วยความเย้ยหยัน

วิญญาณร้ายกรีดร้องระงมลั่นด้วยความไม่พอใจยิ่งเข้าไปใหญ่ มันค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นอย่างแช่มช้า เสมือนกับว่ามันถูกกระตุ้นโดยคำกล่าวเหล่านั้นของเย่เจวี๋ย

“ยังจะฝืนอีกกระมัง? หึหึ...”

เย่เจวี๋ยควบคุมพลังวิญญาณที่เหลืออยู่ของจักรพรรดิเทพสายฟ้า ปลดปล่อยขุมพลังแสนน่าสะพรึงแผดไพศาล เข้ากดทับร่างวิญญาณร้ายอีกครั้ง หากสามารถควบคุมพลังวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของตนเมื่อชาติที่แล้วได้ดั่งใจนึก นี่ไม่จำต้องกลัวอะไรอีก กระทั้งก้าวข้ามพิภพบรรพกาลซวนหยวน หรือแม้แต่สังหารพระโพธิ์ศักดิ์ยังหาใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นแล้ว กับเพียงวิญญาณร้ายตัวเล็กตัวน้อยตนเดียวไยจะจัดการไม่ได้กัน?

“นอนอยู่นิ่งๆเช่นนี้ดูว่านอนสอนง่ายดี! อย่าฝืนให้เหนื่อยเปล่า! ฮ่าฮ่าฮ่า...เจ้าไม่มีทางรอดพ้นเงื้อมมือข้าไปได้อีกต่อไป!”

เย่เจวี๋ยตวาดเสียงเข้มฟังดูอำมหิตอย่างยิ่งยวด

วิญญาณร้ายแผดเสียงครวญครางออกมาเป็นคำรบสอง

เย่เจวี๋ยกลอกตาพลันเหลือบไปเห็นแสงสะท้อนจากคมดาบนิรนามเล่มหนึ่งที่ตั้งอยู่มุมกำแพงด้านนอก เช่นนั้นจึงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนแสยะยิ้มชั่วนึกอะไรขึ้นได้และกล่าวปลอบประโลมขึ้นว่า

“เจ้าวิญญาณตัวน้อย ชะตากรรมเจ้าใช่ว่าจะไม่มีทางเลือก ข้ามีสองทางเลือกให้แก่เจ้า ไม่ตายเสียตรงนี้ก็กลับเข้าไปในดาบเล่มนั้นซะ”

วิญญาณร้ายยังคงคร่ำครวญกรีดร้องต่อไปไม่หยุดหย่อน

“อะไร? อยากตายกระมัง? น่าเสียดาย น่าเสียดาย...”

เย่เจวี๋ยจงใจปั้นหน้าเชิงว่าเสียดาย บีบครั้นกดดันให้วิญญาณร้ายรู้จักเลือก

ภายนอกทะเลแห่งจิตใจ ปรากฏเป็นภาพฉากที่เย่เจวี๋ยสนทนากับตัวเองพึมพำกลางอากาศไม่หยุดหย่อน แถมสีหน้าดูเหม่อลอยไร้สติสัมประชัญญะ ใครเห็นคงคิดไปว่า เย่เจวี๋ยไม่บ้าก็ปัญญาอ่อน แต่แน่นอนว่าในความเป็นจริง เขากำลังสื่อสารกับวิญญาณร้ายที่บังอาจลอบเร้นเข้ามาในดวงตาของเขา

“เช่นนั้นข้าขอลา จงตายอยู่ในนี้ไปซะ”

“ฮรืออ...ฮรือออ...ฮรือออ....”

คล้อยได้ฟังเสียงร้องของวิญญาณร้ายตนนั้น จะรู้ได้ทันทีว่ามันกำลังวิตกกังวลและร้อนใจเพียงใด

“ถ้าเช่นนั้น...จะเลือกอย่างแรกหรืออย่างหลังดี?”

สุ้มเสียงที่เย่เจวี๋ยอแผดดังออกมาชักจะเริ่มรำคาญขึ้นเล็กน้อย เขากล่าวต่อว่า

“ข้าลืมไป วิญญาณชั้นต่ำอย่างเจ้าพูดไม่ได้ หุหุ...เช่นนี้เถอะ ถ้าเลือกอย่างแรกก็ยกกรงเล็บข้างซ้าย หากเลือกอย่างหลังก็ยกกรงเล็บข้างขวา”

ทันทีที่สิ้นเสียง เย่เจวี๋ยก็ถอนจิตนึกคิดของตนออกมาจากห้วงทะเลแห่งจิตใจออกมาโดยตรง เขาหาได้หวาดกลัวเลยสักนิดว่าวิญญาณร้ายจะหลบหนี เขาค่อยๆลดแรงดันวิญญาณที่ทับร่างของมันลง แค่เหยียบย่างเข้ามาในอาณาเขตดวงตาของเขาแม้แต่ก้าวเดียว สรรพสิ่งล้วนไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือ

เมื่อแรงดันวิญญาณอันน่าสะพรึงจางหายไป วิญญาณร้ายก็สามารถลุกขึ้นยืนได้สักที ตัวมันลอยเคว้งอยู่กลางห้วงดวงตา ไม่คิดที่จะยกกรบเล็บข้างซ้ายหรือขวา แต่มันกลับคุกเข่าลงทันที รีบโขกศีรษะกระแทกพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนี่ทำให้เย่เจวี๋ยรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน ทันใดนั้นมุมปากของเขาพลันกระตุกยิ้มขึ้น

ความหมายของวิญญาณรร้ายตนนี้ชัดแจ้งเป็นอย่างยิ่ง มันขอยอมจำนนต่อตัวเขาแต่โดยดี หากมันสามารถพูดได้คงบอกไปตามตรงแล้วว่า จะขอติดตามรับใช้จากนี้และต่อไป นี่แสดงให้เห็นอีกหนึ่งข้อเท็จจริงคือ วิญญาณร้ายตนนี้ไม่ได้โง่

“ดี! ดีมาก! ผู้รู้จักที่ต่ำที่สูงมักเจริญในภายภาคหน้า”

เย่เจวี๋ยกล่าวจบประโยค ก็ชี้ดัชนียิงประกายแสงสีแดงพุ่งเข้าไปกลางหน้าผากของวิญญาณร้ายตนนั้นทันที อาศัยวิธีนี้เขาไม่จำเป็นต้องมากังวลว่า หลังจากปล่อยมันออกมา มันจะย้อนกลับมาทำร้าย หากมันมีเจตนาชั่วช้าเช่นนั้นจริง เพียงแค่เย่เจวี๋ยกระดิกนิ้ว ร่างของมันจะถูกแผดเผากลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา

หลังจากวิญญาณร้ายถอนตัวออกจากห้วงดวงตา มันก็ลอยไปหยุดตรงหน้าเย่เจวี๋ย กลิ่นอายความชั่วร้ายลดทอนลงแทบไม่เหลือ ท่าทางการแสดงออกของมันดูจงรักภักดีต่อเจ้านายขึ้นมาก เย่เจวี๋ยคลี่ยิ้มด้วยความพึงพอใจ พลางเดินไปยังมุมหนึ่งของกำแพงและหยิบดาบนิรนามเล่มนั้นขึ้นมา ในขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นอักษรสามคำสลักอยู่บนคมดาบว่า‘ดาบสะบั้นมังกร’!

ทั่วทั้งใบดาบสาดสะท้อนกับแสงเปล่งกลายเป็นประกายสีแดงทับทิม บนผิวดาบมีลวดลายมังกรทองสลักไว้อย่างวิจิตรแสนประณีตยิ่งนักแล ประดุจว่ามันมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ คล้อยรู้สึกราวกับถ้ามันยิ่งได้สะบั้นมังกรมากเท่าไหร่ ดาบเล่มนี้ก็จะยิ่งแกร่งกล้ามากขึ้นเท่านั้น ส่วนโค้งเว้าขึ้นทรงสวย ดูโฉบเฉี่ยวคล้ายสายฟ้าฟาดท่ามกลางนภาคะนอง ทั้งดูดุดันและสวยงามในเวลาเดียวกัน นอกเหนือจากนั้น ดาบเล่มนี้ยังแผ่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงขุมหนึ่งออกมา แค่เห็นก็รู้สึกได้ถึงอันตราย สมแล้วที่ได้ชื่อว่า ดาบสะบั้นมังกร!

เย่เจวี๋ยกวาดสายตาสำรวจดาบสะบั้นมังกรเล่มนี้อย่างพึงพอใจยิ่งยวด อาศัยอาวุธจอมสังหารเล่มนี้ ความแข็งแกร่งของเขาคงเพิ่มขึ้นมาไม่น้อยเลย

ในเวลานี้เองวิญญาณร้ายที่ลอยเคว้งอยู่ตรงหน้าเย่เจวี๋ยก็กลับเข้าไปในดาบสะบั้นมังกรด้วยความเร็วดุจสายฟ้า นี่ยิ่งทำให้ดาบสะบั้นมังกรเปล่งประกายเจิดจรัส กลิ่นอายอันน่าสะพรึงเพิ่มทวีอีกครั้ง คมดาบของมันดูคลกลิบขึ้นมาก ราวกับได้รับการยกระดับไปอีกขั้น

เย่เจวี๋ยยิ่งรู้สึกยินดีปรีใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยดาบสะบั้นมังกรเล่มนี้ อาจกล่าวได้ว่า ตัวเขาในปัจจุบันเปรียบเสมือนเสือติดปีก ยามต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมืออาณาจักรนภาม่วง เขามั่นใจว่าจะสามารถต่อกรได้สูสี

กระบวนโจมตีก่อนหน้าของวิญญาณร้ายเมื่อสักครู่ ทำให้ทางลับใต้ดินพังทลายลงมาเป็นซากปรังหักพัง เย่เจวี๋ยใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าจะหาตัวหยางอู่ซินที่จมอยู่ในซากพบ โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เย่เจวี๋ยควักลูกตาทั้งสองข้างของมันออกมาและโยนศพทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ มันตายสนิทแล้ว แต่โชคยังดีที่เนตรจักรพรรดิสายฟ้าคู่นี้ยังปลอดภัย

เดินสำรวจรอบนี้มีแต่กำไรล้วนๆ หลังจากเก็บเนตรจักรพรรดิสายฟ้าลงไป เย่เจวี๋ยก็อดถอนหายใจไม่ได้ พยายามงัดแงะแหวกซากปรักหักพังออกมาตามทาง แต่จู่ๆก็มีสุ้มเสียงหนึ่งดังเข้ามา เย่เจวี๋ยลมวดคิ้วแน่นตื่นตัวในทันใด หากเป็นพวกสมาชิกตระกูลเย่ก็นับว่าโชคดีไป แต่หากไม่ใช่และเป็นพวกตระกูลหยางที่ตกค้างอยู่ อาศัยสภาพร่างกายในตอนนี้มีหวังสู้ไม่ไหวแน่นอน

“นายน้อย! ไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ!”

ปรากฏว่าที่มาของเสียงแท้จริงคือ บรรดาสมาชิกตระกูลเย่ที่ชื่อกุ้งแห้ง เขาเป็นคนแรกที่รีบวิ่งลงมาภายในนี้ และเมื่อเห็นบาดแผลและธารเลือดสดที่ชโลมทั่วร่างของเย่เจวี๋ย เจ้ากุ้งแห้งก็อุทานลั่นอย่างอดมิได้

“นายน้อย! ท่าน...ท่าได้รับบาดเจ็บสาหัส! ทุกคนเร็วเข้า! รีบพาตัวนายน้อยกลับไปรักษาโดยด่วน!”

พอได้ยินเช่นนั้น พวกสมาชอกตระกูลเย่นับหลายสิบต่างแห่กันลงมาพร้อมสีหน้าที่แตกตื่น

“ไฉนพวกเจ้าถึงลงมากัน? ข้ากำชับไว้ว่าให้เฝ้าอยู่ด้านบนมิใช่รึ?”

เย่เจวี๋ยกวาดสายตามองทุกคนและตะโกนลั่นด้วยน้ำเสียงแสนเย็นชา

“เอ่ออ...นายน้อย....พวกเราได้ยินเสียงดังตูมตามดังลอดถึงข้างนอก พวกเราจึงเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของนายน้อยยิ่ง ดังนั้น...”

เย่เจวี๋ยแสยะยิ้มเค้นเสียงหึไปคำหนึ่ง หากเจ้าพวกนี้มาเร็วกว่านี้หน่อย คงได้เห็นภาพฉากที่เขายืนคุยคนเดียวกับอากาศเป็นแน่ ถ้าเป็นเช่นนั้นทุกคนคงไม่คิดว่าข้าบ้าหรอกรึ? คิดได้แบบนั้นเขาตะโกนสวนตอบกลับไปทันที

“พวกเจ้าต้องโดนลงโทษ! ข้ากำชับแล้วว่าให้คอยเฝ้าระวังอยู่ด้านนอก โทษของการฝ่าฝืน ให้พวกเจ้าทุกคนวิดพื้นคนละร้อยครั้ง! หากไม่ครบห้ามหยุดเด็ดขาด!”

“ขอรับ!”

เย่เจวี๋ยเอ่ยปากสั่งจบก็เดินผ่านคนพวกนั้นไปอย่างสง่าผ่าเผย แต่จู่ๆพลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันกลับมามองเหล่าผู้คนที่กำลังหมอบตัวลงเพื่อวิดพื้นทันที

“กุ้งแห้ง เจ้าไม่ต้องทำ”

กุ้งแห้งตะลึงงันไปชั่วขณะ

“มัวยืนอึ้งอะไรอยู่? ไปกันเถอะ”

“ขอรับ ขอรับ”

กุ้งแห้งรีบลุกขึ้นและเดินติดตามเย่เจวี๋ยเจือท่าทีลนลาน ซึ่งกลุ่มคนที่เหลือก็มิทันสังเกตเห็นดาบสะบั้นมังกรที่ห้อยอยู่ที่เอวเย่เจวี๋ยเลย

“การที่ไม่ถูกต้องโทษถือเป็นของขวัญให้เจ้าเสียแล้วกัน”

คล้อยหลังเดินไปได้สักพัก เย่เจวี๋ยก็เอ่ยกล่าวขึ้นมา

“เอ่อ..ขอรับ ขอบคุณมากขอรับ!”

กุ้งแห้งพูดซ้ำทวนสองครา สีหน้าดูเศร้าสร้อยเสียดาย แต่ก็ไม่กล้าคัดค้านอะไร

ทันใดนั้นเย่เจวี๋ยก็คลี่ยิ้มขึ้น ตบไหล่เจ้ากุ้งแห้งไปทีหนึ่ง ร่วนหัวเราะกล่าวขึ้นว่า

“ล้อเล่นน่า ขอของขวัญจากข้าได้เลย”

“นับแต่นี้เจ้ามาเป็นผู้ติดตามข้าเสีย”

ยังไม่ทันให้เจ้ากุ้งแห้งปริกปาก เย่เจวี๋ยก็กล่าวเสนอขึ้นด้วยความจริงใจ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้ากุ้งแห้งก็คลี่ยิ้มอย่างสุขใจขึ้นทันที นัยน์ตาไสวเต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดีปรีใจ รีบขานตอบโดยไวว่า

“ขอรับนายน้อย! ข้ากุ้งแห้งของสาบานจะรับใช้ติดตามนายนายจวบจนวันตาย! ต่อให้บุกน้ำลุยไฟข้าก็ไม่มีลังเล!”

เจ้ากุ้งแห้งเพิ่งสาบานออกไปแบบนั้น เพราะเขาทราบดีอยู่แก่ใจว่า การได้รับโอกาสแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการการันตีชีวิตในอนาคตที่รุ่งโรจน์อย่างไม่มีสิ้นสุด กล่าวได้ว่าถ้านายน้อยเย่สามารถไต่เต้าขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ เขาเองก็จะได้เสพสำราญรับใช้ยอดฝีมืออย่างสมเกียรติ

ที่เย่เจวี๋ยต้องการหาคนติดตามมาเพิ่มเพราะไม่ใช่ใดอื่น ตอนนี้เขามีเพียงเฉี่ยวเอ๋อคนเดียวเท่านั้น

“นายน้อย หยางอู่ซิน...”

“มันตายแล้ว”

“สุดยอด! นายน้อยช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก!”

“แน่นอน”

“โอ้? นายน้อยดาบคาดเอวท่านช่างดูดีเสียเหลือเกิน! ท่านได้รับมาหลังจากชนะมัน?”

“ใช่ มันมีชื่อว่าดาบสะบั้นมังกร”

“ดูดีกระไรเยี่ยงนี้! แม้แต่ชื่อยังทรงพลัง! ดาบเล่มนี้เหมาะสมกับนายน้อยมากเลยขอรับ!”

“แน่นอน”

ทั้งสองเดินทางกลับพลางสนทนาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เย่เจวี๋ยรู้สึกพึงพอใจมากกับการตัดสินใจของตนเอง มีคำกล่าวหนึ่งว่า ทหารผู้ขึ้นเป็นแม่ทัพหาใช่ยอดทหารมากฝีมือ แต่เป็นทหารมากประจบสอพอ

เห็นได้ชัดว่า เย่เจวี๋ยชอบคนที่ขี้ประจบสอพออย่างเจ้ากุ้งแห้งมาก

เย่เจวี๋ยกลับมาถึงตระกูลเย่โดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตนแม้สักนิด เขาเดินตรงไปที่เรือนของเย่ชิงฉงที่กำลังบำเพ็ญตบะอยู่ สั่งให้เจ้ากุ้งแห้งรออยู่ด้านนอก

“ท่านปู่”

เย่ชิงฉงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงไม้ เห็นเช่นนั้นเย่เจวี๋ยเอ่ยปากทักขึ้นทันที

“เจวี๋ยเอ๋อ? เจ้ามีอันใดงั้นรึ?”

เย่ชิงฉงไม่ได้รู้สึกโกรธแม้แต่น้อยที่หลานชายตัวเองเข้ามาขัดจังหวะการบ่มเพาะพลัง เขาเอ่ยทักทายน้ำเสียงดูเรียบเฉย

“ทายสิว่าข้านำสิ่งใดมาให้?”

เย่เจวี๋ยนั่งอยู่ข้างเตียงและกล่าวน้ำเสียงคล้ายมีนัยยะบางอย่าง ก่อนจะยื่นบางสิ่งใส่บนมือของเย่ชิงฉงทั้งสองข้าง

เย่ชิงฉงรู้สึกได้ทันที เสมือนว่าตนกำลังสัมผัสไข่มุกสองเม็ดที่เคลือบคลุมไปด้วยรัศมีพลังอันแกร่งกล้า พอเพ็งจิตใช้พลังวิญญาณตนเองสำรวจก็เผยให้เห็นภาพมโนทัศน์ในจิตใจขึ้นทันที แสงอัสนีบาตรฟาดฟันดังเปรียงปราง พอรู้เช่นนั้นพลันคลี่คิ้วคลายอ่อนลงทันทีอย่างสุขใจ

“นี่มัน...เนตรจักรพรรดิสายฟ้า? เจวี๋ยเอ๋อ เจ้านำเนตรจักรพรรดิสายฟ้ากลับมาได้แล้ว?”

“ใช่แล้วท่านปู่ นอกจากนี้ข้ายังได้ยอดยุทธภัณฑ์อาวุธชั้นเยี่ยมชื่อว่า ดาบสะบั้นมังกรมาด้วย แค่พินิจจากกลิ่นอายก็รู้ได้ว่าทรงพลังยิ่งยวด”

เย่เจวี๋ยคลี่ยิ้มตอบ

เย่ชิงฉงรู้สึกมีความสุขอย่างมากที่ได้ยินแบบนั้น แต่จู่ๆเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นแน่นทันที ยามนี้ตรวจสอบได้ถึงกลิ่นอายบนร่างของเย่เจวี๋ยที่แตกต่างออกไปจากก่อนหน้าโดนสิ้นเชิง เขาได้กลิ่นคาวเลือดจางๆฟุ้งผ่านมาในอากาศ ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนดูจริงจังขึ้นทันควัน

“เจวี๋ยนเอ๋อ เจ้าได้รับบาดเจ็บมารึ?”

“แค่บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีอันใดต้องกังวล”

เย่เจวี๋ยปัดมือสบายๆเป็นคำตอบ และกล่าวต่อว่า

“ท่านปู่ ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อมอบเนตรจักรพรรดิสายฟ้าให้ท่านนำไปหลอมรวมเป็นดวงตาคู่ใหม่ ข้าไม่กวนท่านแล้ว ขอลา”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด