ตอนที่แล้วตอนที่ 29 นับจากนี้ไปนายจะเป็นพี่ชายของฉัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 31 ผู้หญิงหน้าไม่อาย

ตอนที่ 30 ฉันสั่งให้เธอหยุด


ตอนที่ 30 ฉันสั่งให้เธอหยุด

พอได้ยินคำถามของอวี่หนานเฉิง สีหน้าของผู้ช่วยคนสวย หนัวหยาก็เปลี่ยนไป

“ชิงช้าไม่สูงค่ะ และยังมีเบาะรองด้านใต้ โรงเรียนไม่เคยมีอุบัติเหตุที่เกี่ยวกับชิงช้ามาก่อนค่ะ”

อวี่หนานเฉิงชี้ชิงช้าด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“มันไม่เคยเกิดมาก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอันตราย ถ้าเด็กเผลอปล่อยมือตอนเหวี่ยงชิงช้าขึ้นสูง คุณคิดว่าด้วยสมดุลของเด็ก เด็กจะไม่ตกลงมาหรือไง?”

หลังพูดแบบนี้ อวี่หนานเฉิงก็มองพื้นวิ่งยางสีรุ้งต่อ

“ยังมีลานวิ่งพลาสติกนี่ด้วย ผมเพิ่งเห็นว่ามุมของมันไม่มียางปกคลุมให้ดี โรงเรียนคุณยังไม่ให้ความสนใจกับการตัดหญ้ามากพอ เด็กชอบเล่น คุณอาจไม่เห็นตอนวิ่งเข้าสนามหญ้า จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีงูมีพิษ?”

ใบหน้าของหนัวหยาขาวซีด เธอไม่รู้ว่าจะตอบยังไง

เด็กที่ไหนจะปล่อยมือตอนเล่นชิงช้า? หญ้าในสนามเด็กเล่นก็ยังอยู่แถวนี้ บางทีคนสวนก็ประมาทเลินเล่อบ้าง แต่มันยังสูงไม่ถึงข้อเท้าเลยนะ?

โรงเรียนอนุบาลหลานเป๋าไม่เคยเจอผู้ปกครองที่มากเรื่องแบบอวี่หนานเฉิงมาก่อน!

“ฉันคิดว่ามันก็ดีแล้วนะคะ”

เสียงผู้หญ้าทำลายความเงียบ เซิ่งอั้นหรานเดินลงมาจากทางเดิน

“ประธานอวี่ คุณกังวลมากไป เสี่ยวซิงซิงเคยตกจากชิงช้าตอนยังเด็ก แขนหักและหน้าก็เป็นแผล แต่ฉันไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องแย่อะไรหรอกนะคะ”

เธอมองอวี่หนานเฉิงด้วยแววตาอ่อนโยน ราวกับกำลังคิดถึงเรื่องอบอุ่น

“เพราะตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่เธอเล่นชิงช้า เธอจะจับเชือกแน่นขึ้นและไม่เคยตกลงมาอีก แม้กระทั่งตอนฉันนั่งบนชิงช้า เธอก็ยังบอกฉันว่า’ แม่ จับให้แน่นนะ’”

พอเห็น หนัวหยาก็พูดอย่างระมัดระวัง“ประธานอวี่ค่ะ ฉันคิดว่าคุณเซิ่งพูดถูกแล้วค่ะ แต่ถ้าคุณยังกังวล เราจะยกมันออกเลยค่ะ สำหรับพื้นยาง เราจะปูมันให้ครอบคลุมที่สุดค่ะ”

อวี่หนานเฉิงไต่รตรองสักพัก จากนั้นก็พูด

“ช่างมัน ปล่อยมันไป ถ้าจิงซีมีคำถามอะไรในอนาคต ก็แค่ติดต่อผม”

หนัวหยาถอนหายใจโล่งอกและมองเซิ่งอั้นหรานอย่างขอบคุณ” คือ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ฉันขอตัวไปรายงานอาจารย์ใหญ่ก่อนนะคะ’

มันยังพอมีเวลาอยู่ เซิ่งอั้นหรานสูดหายใจลึก นั่งลงบนชิงช้า พูดด้วยรอยยิ้ม“ประธานอวี่ ฉันไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าคุณจะเต็มใจฟังความคิดเห็นของคนอื่นด้วย”

อวี่หนานเฉิงจ้องตาเธอ แสงยามเช้าดันส่องลงบนหน้าเธอพอดี มันทำให้เธอต้องทำตาหยี พอบวกกับรอยยิ้มขี้เล่นแล้ว อวี่หนานเฉิงไม่รู้สึกอยากละสายตาจากมันเลย

เขาถาม“ในสายตาเธอ ฉันเป็นคนที่ไม่ฟังความคิดเห็นใครเลยหรือไง?”

เซิ่งอั้นหรานเหวี่ยงชิงช้า และปฏิเสธเขาทันควัน“ก็ใช่นะสิ ใครบ้างที่ไม่รู้จักประธานอวี่ หนุ่มหล่อที่เต็มไปด้วยอำนาจ เขาจะไม่ใช่พวกเผด็จการได้ไง?”

“เผด็จการ?” ดวงตาของอวี่หนานเฉิงหรี่ลง

“แค่ก แค่ก” เซิ่งอั้นหรานแปลกใจกับสิ่งที่เธอพูดและก็รีบเปลี่ยนเรื่อง“ฉันแค่คิดว่าประธานอวี่เป็นห่วงจิงซีมากไปหน่อย สิ่งต่าง ๆ ไม่อาจย้อนกลับไป และเด็กก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัว”

“จริงเหรอ?” สีหน้าของอวี่หนานเฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เซิ่งอั้นหรานคิดว่าเขาคงไม่เห็นด้วยกับมุมมองนี้ เธอจึงอธิบาย“ในความเป็นจริง แค่บาดเจ็บเล็กน้อยเด็กไม่เป็นไรหรอกค่ะ เด็กจะไม่มีวันได้ออกไปข้างนอกเพราะกลัวโลกภายนอก คุณไม่ควรเลี้ยงจิงซีไว้ในเรือนกระจกตลอดเวลา เพราะเขาจะไม่มีวันได้เห็นแสงแดดข้างนอก และเขาจะไม่มีวันได้รู้อะไร คนเราไม่มีทางรู้ว่าเราต้องการชีวิตแบบไหน แต่เราทุกคนควรมีชีวิตเป็นของตัวเอง จริงไหมคะ?”

คำพูดเหล่านี้แทงใจอวี่หนานเฉิง คำว่า“เราควรมีชีวิตเป็นของตัวเอง” ได้หายไปจากใจเขานานแล้ว

พอเห็นแววตาแปลก ๆ ของเขา เซิ่งอั้นหรานก็ถามอย่างระมัดระวัง

“บางที คุณคงกังวลเพราะจิงซีพูดไม่ได้สินะคะ?”

อวี่หนานเฉิงได้สติ จ้องเธอด้วยแววตาสุขุม

“ขอโทษค่ะ” เซิ่งอั้นหรานรีบพูด“คุณบอกว่าอย่าถามเรื่องนี้ ฉันลืมตัวค่ะ ขอโทษด้วยค่ะ”

เธอลดหัวลงและเหลือบมองข้อมือเธอ ลุกขึ้นจากชิงช้าและรีบเปลี่ยนเรื่อง“มันสายแล้ว ฉันต้องไปทำงานแล้วค่ะ”

“ถ้ามันไม่ใช่เพราะความประมาทของฉัน จิงซีคงไม่ปิดปากสนิทแบบนี้”

เสียงต่ำดังจากด้านข้างเธอ และด้วยความละอายใจในตัวเอง เขาหยุดฝีเท้าเร่งรีบของเซิ่งอั้นหรานไว้ด้วยคำพูดนี้

เธอผงะและหันกลับมา

หูฉันผิดปกติหรือเปล่า? อวี่หนานเฉิงดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่ชอบพูดเรื่องส่วนตัว ครั้งก่อนที่เธอถามเรื่องจิงซี เธอยังโดนเขาดุ

“คุณหมายความว่า จิงซีไม่เต็มใจพูดงั้นเหรอคะ?”

เธอถามไปโดยไม่รู้ตัว

อวี่หนานเฉิงพยักหน้าเล็กน้อย สีหน้าของเขาดูซับซ้อน

“จิงซีพูดจ้อไม่หยุดตอนเขาอายุสองขวบ แต่หลังเป็นไข้สูง เขาก็ไม่ยอมพูดอีก หมอบอกว่าเส้นเสียงกับเส้นประสาทของเขาไม่เสียหาย แต่เขาไม่ยอมพูด บอกว่ามันเป็นปัญหาทางจิต”

“ปัญหาทางจิต?” ความทุกข์ใจปรากฏในดวงตาของเซิ่งอั้นหราน“เขาเจออะไรมางั้นเหรอคะ?”

พอพูดถึงเรื่องนี้ อวี่หนานเฉิงก็ยิ่งรู้สึกผิด เขาถอนหายใจ

“ไม่รู้”

มันเพราะเขาไม่รู้ เขาถึงโทษตัวเองยิ่งกว่าเดิม มันเพราะไข้สูงนั้นมาโดยไม่มีเหตุผล สิ่งที่จิงซีเจอคืนนั้นยังไม่ชัดเจน คนใช้ที่ดูแลจิงซีในบ้านเก่าก็ไม่รู้อะไร ดังนั้นเขาจึงไม่อยากทิ้งจิงซีไว้กับปู่ของเขาอีก

พอเห็นจิงซีป่วยหนักและเกือบเสียชีวิตเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นเองเขาถึงรู้ตัวว่าการเป็นพ่อไม่ใช่การกลับไปหาลูกในยามว่างเท่านั้น แต่มันคือความรับผิดชอบของคนเป็นพ่อ มันเป็นหน้าที่ทั้งชีวิต

อวี่หนานเฉิงขมวดคิ้วและดูไม่สบายใจอย่างมาก

“ไม่น่าแปลกที่คุณจะกังวลถึงจิงซีมากขนาดนี้ แต่อดีตก็คืออดีต อย่าคิดมากเลยค่ะ”

คำปลอบแบบนี้ไม่ช่วยอะไร สีหน้าของอวี่หนานเฉิงยังไม่ผ่อนคลาย เซิ่งอั้นหรานเสียใจที่ถามเรื่องที่เขาเจ็บปวด

ฉันจะไม่ยอมให้เขาต้องเสียใจเพราะฉัน!

จากมุมหางต่อเธอ เธอพลันเห็นชิงช้าที่เธอเพิ่งลึก และดวงตาก็เป็นประกาย

“ประธานอวี่ คุณเคยเล่นชิงช้าไหมคะ?”

ประโยคนี้ทำให้อวี่หนานเฉิงเหลือบมองเธออย่างสงสัย ก่อนเขาจะได้สติ เซิ่งอั้นหรานก็ดึงเขาไปและกดเขานั่งลงบนชิงช้า

“ตอนคุณเล่นชิงช้า คุณสามารถลืมปัญหาทั้งหมดได้ ประธานอวี่ นั่งลงเถอะค่ะ ฉันจะเหวี่ยงชิงช้าให้คุณเอง”

“ฉันไม่ต้องการให้เธอเหวี่ยงให้”

“ฉันยินดีค่ะ ประธานอวี่ ฉันรู้ว่าฉันเป็นสาเหตุให้คุณเศร้า นั่งนิ่ง ๆ สิคะ”

“เซิ่งอี้นหราน” มุมปากอวี่หนานเฉิงกระตุก เขากัดฟันและพูด“ฉันขอสั่งให้เธอหยุด”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด