ตอนที่แล้วตอนที่3 เศษสวะ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่5 นัดหมายประลองยุทธ์

ตอนที่4 กลัวจนคุกเข่า


ตอนที่4 กลัวจนคุกเข่า

ไม่นานเท่าไหร่นัก เฉี่ยวเอ๋อก็ปรุงอาหารที่เย่เจวี๋ยชอบมาสองสามจาน เป็นชุดอาหารสารอาหารครบถ้วน วานให้นางป้อนอาหาร เย่เจวี๋ยเคี้ยวข้าวอย่างเอร็ดอร่อย

ทันใดนั้นเอง พลางเห็นว่าสองคนที่นอนหมดสภาพหน้าเรือนก็ถูกคนรับใช้หิ้วปีกออกไป หากเย่เจวี๋ยเดาไม่ผิดนี่คงเป็นคำสั่งของผู้อาวุโสตระกูลเป็นแน่

ตามคาดไว้ หลังจากนั้นไม่นาน ผู้อาวุโสใหญ่ก็เดินทางเข้ามาและตะโกนลั่นดังว่า

“เจ้าสารเลว เจ้ากำลังรนหาที่ตายแล้ว!”

ผู้อาวุโสใหญ่ เย่หยวนซานกำลังโกรธเกรี้ยวอย่างชัดแจ้ง เขามีหลานชายเพียงสองคนเท่านั้น และทั้งคู่ล้วนมีความสามารถที่ดีเยี่ยม เดิมทีเขาคาดการณ์ไว้ว่า ทั้งคู่จักต้องสามารถทะลวงผ่านอาณาจักรก่อกายาขึ้นไป และได้รับโอกาสเข้าสู่นิยายใหญ่ แต่ใครจะไปคาดคิดว่า จุดตันเถียนของพวกเขาจะมาถูกทำลายลงแบบนี้ และสิ่งที่น่าหงุดหงิดใจที่สุดคือ โดนไอ้พิการไร้ความสามารถเล่นงาน หากไม่แม้แต่บ่มเพาะพลังได้ หลานชายทั้งสองคนจะไม่โดนเนรเทศออกจากตระกูลหรอกรึ?

อย่างไรก็ตาม ถึงจะเห็นท่าทางการแสดงออกอันแสนโกรธเกรี้ยวของผู้อาวุโสใหญ่แล้วก็ตามที แต่เย่เจวี๋ยยังคงหันศีรษะกลับไปตักข้าวกินอย่างสบายใจ

“ข้าตาบอดมองไม่เห็น และไม่ทราบด้วยว่าท่านอาวุโสใหญ่ขุ่นเคืองด้วยเหตุอันใด ไฉนถึงมาแหกปากตะโกนอยู่ที่นี่”

เมื่อเห็นว่าเย่เจวี๋ยนั่งนิ่งไม่ไหวติง ผู้อาวุโสใหญ่ก็ยิ่งเดือดดาลจัด พลันระเบิดอารมณ์กะทันหัน เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้วแต่อีกฝ่ายยังจงใจแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง พล่ามไร้สาระออกมา หากไม่สั่งสอนเจ้าเด็กนี่สักบทเรียนคงทำตัวหยิ่งผยองหนักกว่าเก่าเป็นแน่ คิดได้เช่นนั้นเขาจึงย่างเท้าก้าวเข้าประตูทันที

“เดี๋ยวก่อน”

แต่พอได้ยินสุ้มเสียงนี้ดังขึ้นมา เย่เจวี๋ยก็รู้ได้ทันทีว่านี่เป็นอาสองของเขา เย่ชุ่นซิน เขาเป็นบุตรบุญธรรมของเย่ซิงฉง กล่าวได้ว่า ณ ปัจจุบัน เขาคือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดอันดับสองของตระกูลเย่ แม้กระทั่งผู้อาวุโสใหญ่เองยังต้องเรียกเขาว่า อาสอง

“ผู้อาวุโสใหญ่ ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นผู้คนในตระกูลจึงตื่นตระหนกขั้นนี้ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าเจวี๋ยเอ๋อตอนนี้กำลังได้รับบาดเจ็บสาหัส และยังไม่สามารถคุ้นชินกับสถานะภาพตอนนี้ได้”

จากที่ได้ยินคำกล่าวของเย่ชุ่นซิน จะเห็นได้ชัดว่าเขากำลังพูดเพื่อปกป้องเย่เจวี๋ยอยู่

หากไม่ใช่เพราะดวงตาของเย่เจวี๋ยตอนนี้มิได้บอด บางทีเขาอาจจะเชื่อไปแล้วว่า เย่ชุ่นซินพยายามจะช่วยเหลือตนจริงๆ แต่อย่างไร ท่าทางของอีกฝ่ายหรือจะสามารถหลบซ่อนจากสายตาเขาได้? อย่างไรเสีย เขาเคยไต่เต้ากลายเป็นถึงยอดจักรพรรดิผู้ไร้เทียมทาน ได้พบเห็นผู้คนมาแล้วนับไม่ถ้วน

หากอาสองคนนี้ตั้งใจจะปกป้องเขาจริงๆ คงไม่ยอมปล่อยให้หยางติงเทียนควักเนตรจักรพรรดิสายฟ้าของเขาออกมาแน่นอน

อาสองนี่มันจิ้งจอกเฒ่าดีๆ ตัวหนึ่งนี่เอง เย่เจวี๋ยจะมองไม่ออกได้อย่างไร?

ผู้อาวุโสใหญ่ได้ยินแบบนั้นจึงกล่าวตอบไปว่า

“อาสอง อย่าลืมเสียว่าตนเองก็เป็นอาของหลานชายทั้งสองของเราชายชราเช่นกัน เจ้าสารเลวน้อยตัววนี้ช่างร้ายกาจโดยแท้ ฉวยจังหวะทีเผลอทำลายจุดตันเถียนของหลานชายทั้งสอง จนพิการไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้อีก แม้แต่รากฐานพลังชีวิตยังแตกสลาย”

ทว่าอย่างไร ทันทีที่เย่ชุ่นซินได้ยินแบบนั้น คู่คิ้วพลันขมวดเข้าหากันทันใด เขากล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจตอบว่า

“ผู้อาวุโสใหญ่ คงกล่าววาจาไร้แก่นสารแล้วกระมัง? สภาพอาการของเจวี๋ยเอ๋อตอนนี้ท่านยังเห็นไม่ชัดเจนอีกงั้นรึ? ไม่เพียงระดับขั้นพลังยังอยู่เพียงอาณาจักรก่อกายาระดับหนึ่งเท่านั้น แต่เขายังมองไม่เห็นอีกด้วย แล้วเขาจะทำร้ายหลานชายทั้งสองได้อย่างไร?”

“เจวี๋ยเอ๋อ เจ้าไม่ต้องกลัวไป อาสองคนนี้จะยืนหยัดเพื่อทวงความเป็นธรรมแก่เจ้าเอง แม้นแผ่นฟ้าจักถล่มลงมา!”

คำกล่าวของเย่ชุ่นซินฟังดูแล้วช่างซาบซึ้งกินใจนัก บรรดารุ่นเยาวชนทั้งหลายของตระกูลเย่ที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่รอบนอกต่างรู้สึกชื่นชม อย่างไรเสีย ถ้าเขาคนนี้ทำอย่างที่กล่าวได้จริงๆ มีหรือที่เย่เจวี๋ยจะโดนควักลูกตา? แค่ได้ฟังก็รู้สึกกระดากปากแทนแล้ว!

“อันที่จริงแล้ว...ข้าเกรงว่า หากข้าบอกความจริงกับท่านอาสองไป กลัวจะไม่เชื่อ...”

เย่เจวี๋ยหัวเราะเย้ยหยันอยู่ภายในใจ พลางกล่าวต่อว่า

“แม้ข้าจะมองไม่เห็น แต่...ข้าก็รู้เช่นกันว่าใครเป็นคนลงมือ”

“เมื่อคืนข้าทนอาการปวดดวงตาไม่ไหว เอ่ยปากร้องขอความตายครั้นแล้วครั้นเล่า แต่สวรรค์ยังมีตา ข้าโชคดียิ่งนักที่ได้ยอดฝีมือท่านหนึ่งมาช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ ทั้งยังบอกอีกว่า ในอดีตเขาเองก็เคยเป็นคนตาบอดเช่นกัน นับว่าเป็นชะตาฟ้าดินลิขิต และรับข้าเป็นศิษย์”

“ช่วงฟ้าดินสลัว ท่านอาจารย์ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับให้แก่ข้า แต่คาดไม่ถึงเสีย หลานชายทั้งสองของผู้อาวุโสใหญ่กลับเดินทางมาที่นี่เพื่อกลั่นแกล้งรังแกและพยายามจะฉุดเฉี่ยวเอ๋อกระทำการสกปรก ยิ่งไปกว่านั้นยังสบประมาทข้าว่า ไอ้บอด ซึ่งนี่เป็นคำต้องห้ามของท่านอาจารย์ ห้ามผู้ใดเอ่ยแบบนี้ต่อหน้าท่านเด็ดขาด คำนี้เปรียบดั่งวาจาต้องห้าม ทันใดนั้นท่านอาจารย์ก็ลงมือจัดการทันที แต่ส่วนที่เหลือหลังจากนั้นข้าไม่ทราบจริงๆ ว่า อาการของทั้งคู่จะร้ายแรงถึงขั้นพิการ”

“โอ้ แล้วท่านอาจารย์ของข้ายังกล่าวอีกว่า มดตัวน้อยเฉกเช่นอาณาจักรก่อกายา ศิษย์ข้าอย่าได้เกรงกลัวไม่ อาจารย์คนนี้สามารถล้างบ้างนับพันหมื่นได้ภายในหนึ่งกระบวนท่า”

“เจ้าสารเลวน้อย นี่จักต้องพูดเล่นแล้วเป็นแน่ จะบอกว่ามียอดฝีมือรับเจ้าเป็นศิษย์อย่างงั้นรึ? ช่างไร้สาระสิ้นดี! ฮ่าฮ่า...”

พอได้ยินแบบนั้น ผู้อาวุโสก็ระเบิดเสียงหัวเราะเยาะลั่น

อย่างไรก็ตาม เย่เจวี๋ยยังคงยืนยันคำเดิมกล่าวตอบว่า

“หากผู้อาวุโสใหญ่ยังคงยืนกรานไม่เชื่อ นี่ก็สุดแท้แก่ท่านแล้ว กล่าวได้เพียง ต่อให้หลานชายของท่านมายืนต่อหน้าข้า ข้ายังต่อยไม่โดนเลยด้วยซ้ำ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย ขณะเดียวกันเย่ชุ่นซินก็ย่างเดินหน้าตรงไปหา คล้ายว่ากำลังตรวจสอบลมหายใจของเย่เจวี๋ยว่าเขากำลังโกหกหรือไม่ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า

“ข้าคิดว่า นี่อาจจะเป็นไปตามที่เจี๋ยเอ๋อกล่าวไป เพียงว่า อาจารย์ของเจ้าเองคงจะทิ้งชื่อเสียงเรียงนามไว้แก่เจ้าบ้าง?”

เมื่อเย่ชุ่นซินถามไปได้นั้น เขาก็เพ่งสมาธิตรวจสอบลมหายใจของเย่เจวี๋ยทันที ดูว่าจะมีปฏิกิริยาอะไรหรือไม่

ซึ่งเย่เจวี๋ยก็ตระหนักดีว่า อาสองคนนี้กำลังคิดหรือทำอะไรอยู่ พลางกล่าวเยาะเย้ยภายในใจว่า

‘คิดว่าจะตรวจสอบง่ายปานนั้น? นี่เป็นถึงกายวิญญาณเขมือบสวรรค์ เจ้าโง่!’

กระนั้นเอง บนพื้นผิวการแสดงออก เย่เจวี๋ยแสร้งทำเป็นเคารพอาสองคนนี้อย่างมาก พอได้ยินคำถามเอ่ยดัง เขาก็รีบประสานมือกล่าวตอบไปว่า

“ท่านอาจารย์ทิ้งทวนไว้ว่า ผู้คนแห่งพิภพบรรพกาลซวนหยวนต่างขนานนามเขาว่า เซียนบอดสวรรค์”

“เหอะ! ช่างเป็นชื่อที่ไร้สาระ! เซียนบอดสวรรค์? ฮ่าฮ่า...ข้าว่าเจ้าถูกลิขิตมาเพื่อเล่นตลกมากกว่า!”

คำกล่าวของผู้อาวุโสใหญ่เป็นที่ชัดเจน เขาไม่เชื่อเรื่องไร้สาระของเย่เจวี๋ยแม้แต่น้อย ถึงกระนั้นเขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใดเย่เจวี๋ยถึงทำร้ายหลานชายทั้งสองปางตายเช่นนี้ได้

คล้อยหลังได้ยินเช่นนั้น สิ่งไม่คาดคิดพลันเกิดขึ้นทันใด เย่ชุ้นซินอุทานเสียงดังลั่นอย่างตื่นตระหนกยิ่ง

“อันใด?! เซียนบอดสวรรค์งั้นรึ!! นี่...นี่คือยอดฝีมือขนานแท้แห่งพิภพบรรพกาลซวนหยวน! เจวี๋ยเอ๋อ เจ้านับว่าโชคดีอย่างยิ่งยวดที่ได้ยอดเซียนคอยชี้นำทางให้ จงจำเสียเอาไว้ เจ้าจักต้องเพียรขยันฝึกปรือตามที่เขาสั่งสอนเข้าใจหรือไม่!”

ทีแรกที่ได้ยินย่อมไม่มีใครเชื่อ แต่ทันทีที่พวกเขาได้ยินเย่ชุ่นซินอุทานขึ้นมาแบบนี้ ต่างเผยสีหน้าตื่นตะลึง เชื่ออย่างสุดหัวใจ กระทั่งสีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่เองยังต้องแปรเปลี่ยน เขาแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

เย่เจวี๋ยคาดไม่ถึงเช่นกันว่า ไอ้สิ่งที่เขาปั้นน้ำเป็นตัวกล่าวอ้างไปอย่าง เซียนบอดสวรรค์อะไรนั้นจะมีตัวตนอยู่จริงๆ บนผืนพิภพแห่งนี้ เขาลูบบริเวณผ้าแพรสีขาวที่พันตาเขาไว้และกล่าวว่า

“ท่านอาจารย์ยังกล่าวกับข้าอีกว่า หากมีผู้ใดกล้ามารังควานข้าในอนาคต จงท่องคาถาที่เคยสอนไป เขาจะตรวจจับตำแหน่งได้ทันที แม้นระยะไกลห่างนับพันหมื่นลี้ แต่เขาสามารถฉีกห้วงมิติเดินทางมาช่วยได้ทันที”

พอได้ยินแบบนั้น สีหน้าทุกคนดูเคร่งเครียดขึ้นทันใด จำได้ว่าเย่เจวี๋ยเคยกล่าวไว้ มดน้อยอาณาจักรก่อกายานับพันล้างบางได้ภายในหนึ่งกระบวน ไม่เพียงแค่นั้น หากสามารถฉีกห้วงมิติเดินทางมาได้แบบนี้ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า ท่านอาจารย์ของเย่เจวี๋ยต้องบรรลุอาณาจักรเซียนบรรพกาลฟ้าแล้วอย่างแน่นอน

ทันทีที่เห็นปฏิกิริยาของทุกคน เย่เจวี๋ยพลันแสยะยิ้มในใจและไม่ลืมที่จะขู่กลับไปว่า

“เดิมที ท่านอาจารย์โกรธเกรี้ยวอย่างมากที่หลานชายทั้งสองของผู้อาวุโสใหญ่สบประมาทข้า จึงต้องการล้างแค้นโดนตั้งใจจะเผาเมืองแห่งนี้ให้เป็นทะเลเพลิง ทว่าข้าก็พยายามเกลี้ยกล่อมจนท่านอาจารย์สงบลง แต่อย่างไร...เพื่อท่านอาวุโสใหญ่และท่านอาสองแล้ว ข้าเองก็ไม่อยากถูกตีตราว่าเป็นเด็กเลี้ยงแกะเช่นกัน ถ้าอย่างนั้น...ข้าคงต้องร่ายคาถาดังกล่าวจริงๆ แล้ว เพื่อให้ท่านอาจารย์มาแถลงไขกับพวกท่านด้วยตัวเอง”

พอพูดจบ เย่เจวี๋ยก็เริ่มปริปากท่องคาถาอะไรสักอย่างขึ้นพึมพำ

เสี้ยวอึดใจที่เห็นการกระทำของเย่เจวี๋ย ทุกคนโดยรอบต่างตื่นตระหนักอย่างหนัก เย่หยวนซานถึงกับคุกเข่าลงต่อหน้าเย่เจวี๋ย เคลื่อนเข้าไปจับมือของเขาแน่นและกล่าวเสียงอ่อนว่า

“ข้าเชื่อแล้ว! ข้าเชื่อแล้ว...”

นี่ต้องเป็นเรื่องตลกอันใด ไม่ได้ยินที่เย่เจวี๋ยพูดก่อนหน้านี้หรอกรึ? ต้องการล้างแค้นแทนลูกศิษย์โดยการเผาเมืองหลงเย่ให้เป็นทะเลเพลิง? ยอดฝีมือระดับชั้นนี้ จะให้เรียกมาเพื่ออันใด? ฆ่าตัวตายเล่น?

“ผู้อาวุโสใหญ่ไม่จำเป็นต้องจำใจเชื่อข้า เดี๋ยวท่านอาจารย์มาครู่เดียว เดี๋ยวท่านก็จะกระจ่างเอง”

ทันทีที่คำกล่าวเหล่านี้เปล่งดังออกมา ทุกคนโดยรอบต่างคุกเข่าลงโดยพร้อมเพรียง

ใช่! กระจ่างเป็นแน่แท้! และที่กระจ่างชัดที่สุดคือ ทุกคนในเมืองจะต้องตายเป็นแน่แท้!

ทุกคนคิดได้อย่างนั้นจึงรีบคุกเข่าลงกันพื้น ตะโกนลั่นสุดเสียง

“นายน้อยคิดให้รอบคอบก่อนเถิด โปรดใจเย็นลงก่อน!”

เย่เจวี๋ยได้ยินแบบนั้นจึงหยุดมือ ขณะที่ทุกคนถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก เขาก็ยิ้มกล่าวว่า

“ในกรณีเช่นนี้ พวกท่านทุกคนคงจะเชื่อกันแล้ว แต่ถ้าหากมีใครยังคงกังขาสงสัย และต้องการพบหน้าท่านอาจารย์ ก็บอกข้าได้ทุกเมื่อ แล้วข้าจะท่องคาถาเรียกให้”

ทันทีที่สิ้นเสียง ทุกคนรีบโบกมือปัดส่ายหัวปฏิเสธโดยไว ผู้อาวุโสใหญ่ดูตื่นตระหนกหนัก รีบตอบไปว่า ไม่มีใครกังขาอีกแล้วแน่นอน จากนั้นก็รีบหาข้ออ้างจากออกไปทันที

เห็นว่าทุกคนจากออกไปกันหมดแล้ว เฉี่ยวเอ๋อก็เดินไปปิดประตู นางในตอนนี้ค้นพบแล้วว่า นายน้อยในเห็นอยู่ ณ ปัจจุบันดูทรงพลังและน่าหวั่นเกรงอย่างยิ่ง เขาสามารถทำให้ทุกคนคุกเข่าลงต่อหน้าได้โดยไม่ต้องขยับตัวด้วยซ้ำ

เพลาเที่ยงวัน ปรากฏเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากข้างนอกอีกครั้ง เย่เจวี๋ยกำลังฝึกปรือตัวเองอยู่ในขณะนั้น จึงวานให้เฉี่ยวเอ๋อ ออกไปเปิดประตูต้อนรับแทน และที่แท้ก็เป็นท่านอาสองของเย่เจวี๋ย เย่ชุ่นซินที่มาหา

อย่างไรเสีย คราวนี้เย่ชุ่นซินมาพร้อมกับพร้อมกับกล่องในมือ เขาขอให้เฉี่ยวเอ๋อออกไปก่อน โดยบอกไปว่ามีเรื่องสำคัญจะมาคุยกับเย่เจวี๋ย

พอเข้ามาถึงในห้อง เย่ชุ้นซินไม่พูดพร่ำทำเพลง เปิดกล่องในถือมาด้วยออกมา เผยให้เห็นหินลมปราณคุณภาพสูงมากมายอยู่ภายใน พอเห็นเช่นนี้เข้า เย่เจวี๋ยเป็นอันเข้าใจได้ทันที

เย่ชุ่นซินกล่าวกับเย่เจวี๋ยว่า

“เจวี๋ยเอ๋อ อาหวังว่าเจ้าจะไม่ถือโทษโกรธเคืองอาสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมด อาคนนี้ช่างไร้ความสามารถ ไม่สามารถช่วยเจ้าได้ แต่มั่นใจในตัวอาเถิด ตราบใดที่แข็งแกร่งขึ้น ขอสัญญาเลยว่าอาคนนี้จะชิงเอาเนตรจักรพรรดิสายฟ้าของเจ้าคืนมาให้จงได้!”

เย่ชุ่นซินแสดงบทบาทท่านอาแสนกตัญญูฉากใหญ่เป็นครั้งแรก โดยให้เหตุผลว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำใจต้องสละดวงตาของหลานไปก่อนในตอนนั้น ยามใดที่ตระกูลเย่แข็งแกร่งขึ้น เขาจะแย่งชิงเนตรจักรพรรดิสายฟ้ากลับมาคืนอย่างแน่นอน

จากนั้นเขาก็แกล้งถามเย่เจวี๋ยขึ้นว่า

“ก่อนหน้านี้มีคนนอกมากอยู่มากเกินไปจึงไม่สะดวกที่จะเอ่ยถาม เจวี๋ยเอ๋อ พอบอกท่านอาคนนี้ได้ไหมว่า...เคล็ดดวิชาใดกันที่เจ้าได้รับสืบทอดมาจากเซียนบอดสวรรค์? หากต้องการทวงคืนเนตรจักรพรรดิสายฟ้าของหลานกลับคืนมา อาจำเป็นต้องพัฒนาความแกร่งกล้าโดยไว”

แม้น้ำเสียงของเย่ชุ่นซิงที่กล่าวออกมาเหมือนจะดูหวังดี แต่ความโลภที่ฉายแววสะท้อนออกจากนัยน์ตากลับทรยศเขาไปแล้ว

‘ที่แท้ก็อยากได้เคล็ดวิชาจากข้านี่เอง หึหึ...สมแล้วที่มีความทะเยอทะยานดุจหมาป่า แต่ในเมื่อต้องการเช่นนี้ก็เตรียมตกหลุมพรางที่ตัวเองขุดไว้ได้เลย’

เย่เจวี๋ยหัวเราะเย้ยหยันกับตัวเองภายในใจ แต่สีหน้าที่แสดงออกมากลับเปี่ยมล้นไปด้วยความชื่นชม

“ขอบคุณท่านอาสองเป็นอย่างยิ่ง ที่ตั้งใจทวงคืนความเป็นธรรมให้ข้า เคล็ดวิชาลับที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดให้มีชื่อว่า เคล็ดเซียนบอดสวรรค์ ฝึกปรือจนบรรลุ สามารถเหินหาวทะยานท่องเก้าสวรรค์ได้ดั่งใจนึก อายุยืนยาวตราบเท่าฟ้าดินสิ้นสลาย”

ขนาดคนโง่ได้ฟังยังรู้ว่าโกหก อายุยืนยาวตราบเท่าฟ้าดินสลายงั้นรึ? ถ้ามีเคล็ดวิชาที่วิเศษขนาดนั้นจริงๆ จักรพรรดิเทพสายฟ้าอย่างเขาคงไม่ต้องมากลับชาติมาเกิดใหม่เช่นนี้หรอก แต่เย่ชุ่นซินผู้ถูกความโลภบดบังถูกเป่าหูยังไงก็เชื่อไปซะทุกอย่าง

“นี่จริงรึ?”

เป็นอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด พอเย่ชุ่นซินได้ยินแบบนั้น แววความโลภที่ซ่อนลึกกลางนัยน์ตายิ่งเฉิดฉายสว่างจ้ากว่าเดิมนักหนา น้ำเสียงฟังดูตื่นเต้นจนแทบควบคุมไม่อยู่

“ข้าจะโกหกท่านได้อย่างไร ท่านอาจารย์กำชับกับข้าไว้หนักแน่น ห้ามถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้ให้ใครอื่นโดยง่าย”

คำกล่าวของเย่เจวี๋ยเน้นย้ำหนักแน่น แต่ฟังดูอีกแง่ เห็นได้ชัดว่าเป็นกลอุบาย จงใจชี้โพรงให้กระรอก แต่เย่ชุ่นซินในเวลานี้ที่จิตใจมัวแต่หมกหมุน จะสามารถแยกแยะออกได้อย่างไร?

“ท่านอาคนนี้เองก็หาใช่คนอื่นไกลของเจ้าไม่ แถมท่านเซียนบอดสวรรค์เองก็บอกว่า ห้ามถ่ายทอดให้ใครโดยง่าย หาใช่ว่าห้ามมิให้ถ่ายทอดให้ใครอื่นโดยเด็ดขาดเสียหน่อยจริงหรือไม่? เจ้าถ่ายทอดมาให้ข้า และนับจากวันนี้ข้าจักฝึกปรือให้หนักขึ้นเป็นสองทวีเท่า ยามเมื่อตระกูลเย่กลับมารุ่งเรือง อาคนนี้จะบุกไปชิงเนตรจักรพรรดิสายฟ้ากลับคืนให้เจ้า ว่าอย่างไรล่ะ?”

ใครได้ยินก็หาว่า นี่มันเรื่องหลอกเด็กขัดๆ ขณะเองกล่าวเสนอออกไปเช่นนี้ เย่ชุ่นซินก็สังเกตทีท่าของเย่เจวี๋อย่างใกล้ชิด เห็นว่าหลานชายคนนี้ดูลังเล เขาจึงถือโอกาสหยิบกล่องที่นำมาด้วยออกมาวางตรงหน้า คว้ามือเย่เจวี๋ยพร้อมบอกให้ลองสัมผัสดู ทั้งหมดในกล่องนี้คือหินลมปราณคุณภาพสูงทั้งสิ้น

‘หุหุ...ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตายถึงปานนี้ ก็อย่าตำหนิข้าทีหลังแล้วกัน…’

เย่เจวี๋ยยิ้มเยาะอย่างสนุกสนานอยู่ภายในใจ และตอบตกลงทันที เย่ชุ่นซินดีใจอย่างมากและรีบยื่นกล่องเก็บหินลมปราณให้เย่เจวี๋ยกอดมันเก็บไว้

ตอนนี้ท่านปู่ของเขายังคงเก็บตัวอยู่ เป็นตายอย่างไรกลับไม่ทราบ ดังนั้นเขาจำต้องยกระดับความแข็งแกร่งของตนเองโดยเร็ว เป้าหมายแรกคือจัดการเย่ชุ่นซินให้พิการก่อนอื่นใด และรอจนกว่าความแกร่งกล้าจะเพิ่มพูนมากกว่านี้ ค่อยเคลื่อนไหวตามแผนต่อไป

ในหมู่พวกเขา ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีขั้นพลังสูงสุดอยู่แค่อาณาจักรก่อกายาระดับแปดเท่านั้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด