ตอนที่แล้ว[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 148 ผลประโยชน์ 10,000 หยวน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 150 หนุ่มน้อยจากบ้าน

[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 149 เด็กจรจัดสองคนกับยามดึกอันหนาวเหน็บ


ตอนที่ 149 เด็กจรจัดสองคนกับยามดึกอันหนาวเหน็บ

ก่อนที่ฟันเหยินจะจากไป เขาได้ซักเสื้อผ้าสกปรกทั้งหมดของฉินหยู่ และทำความสะอาดในบ้าน เช็ดตู้เตียง ขอบหน้าต่าง พื้น ซอกหลืบที่เต็มไปด้วยฝุ่นทั่วทั้งห้อง เขาคงจะคิดถึงที่แห่งนี้และอยากจะขอบคุณฉินหยู่ แต่ตอนนี้เขาไม่มีปัญญาจะตอบแทนที่ดีกว่านี้ เขาทำได้เพียงทำงานเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ให้ได้เท่านั้น...

ฉินหยู่รู้สึกอึดอัดใจมากในตอนนี้ เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดเมื่อวานนี้แรงเกินไป ขณะเดียวกันเขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ยากที่สุดในโลกคือการอยู่ใต้หลังคาของคนอื่น โดยเฉพาะคนที่ช่วยคุณนั้นไม่เกี่ยวข้องกับคุณทางสายเลือด ภายนอกฟันเหยินดูไร้ความกังวล เหมือนกับฮอบบิตเกเรตัวน้อย แต่เด็กๆ เหล่านี้มักมีความนับถือตนเองต่ำ เขาไม่สามารถเผชิญหน้าให้ฉินหยู่ ไล่เขาออกจากบ้านได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะจากไปด้วยตนเอง

เมื่อเขามาถึงร้านขายเนื้อ ฉินหยู่โทรหาเซียงเซียง และหลังจากการข่มขู่และหว่านล้อมเธอหลายครั้งจนได้เรื่อง เขาก็รีบจากไป

……

ไฟถนนยามราตรีกระจัดกระจายไปตามถนนใกล้ทางออกเมืองซงเจียง ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณจุดผ่านแดน เริ่มเปลี่ยนตำแหน่งยืนยามกันเป็นระยะๆ

รถบรรทุกเข้าคิวยาวเคลื่อนไปข้างหน้าทีละน้อยใกล้ทางออก ต่างเตรียมเดินทางออกนอกประเทศกันตามปกติ

ริมถนนใกล้ๆ เด็กหนุ่มวัยรุ่นร่างผอมนั่งยองๆ บนขอบถนน ดวงตาของเขาจ้องมองแสงนีออนและฝูงชนบนถนนอย่างว่างเปล่า

เขาออกจากบ้านของฉินหยู่แล้ว จุดหมายปลายทางของเขา? ควรไปที่ไหนดี?

ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา แม้ว่าฟันเหยินจะไม่ได้ติดต่อกับฉินหยู่มากนัก เพราะฉินหยู่ใช้เวลาพักฟื้นในเจียงโจวนานเป็นพิเศษ แต่ฟันเหยินก็รู้สึกเหมือนกับว่า ได้อยู่บ้านเป็นครั้งแรกเมื่อเขาได้เข้าอาศัยอยู่ในบ้านเช่าหมายเลข 88 ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ตอนนี้ เขากำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างนอกท่ามกลางน้ำแข็งและหิมะอันเย็นยะเยือก นึกถึงประสบการณ์ของเขาในช่วงเวลานี้ ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าเขาเพิ่งตื่นจากความฝันที่สวยงามอย่างช่วยไม่ได้...

ฟันเหยินยังคงนั่งอยู่คนเดียว เขามองไปรอบๆ ด้วยความสับสน รู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวในโลกนี้

เขาเม้มริมฝีปากและทรุดตัวลงร้องไห้อย่างยาวนาน ฟันเหยินไม่ใช่เด็กเสแสร้ง แม้จะเป็นผู้ชายแต่เมื่อเจ็บปวดเขาก็หลั่งน้ำตาเช่นกัน เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ทางออกเหมือนคนไร้สติ

เขากำลังจะเข้ามอบตัวและบอกทหารในหอสังเกตการณ์ว่าเขาไม่มีสิทธิ์อยู่ในเขต 9

จากนั้นเขาจะถูกไล่ออกจากเขตนี้อย่างไร้เมตตาและถูกรถทหารพาไปทิ้งในพื้นที่โครงการพัฒนา ทิ้งให้เขาต้องสู้ชีวิตด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง

เขาเดินฝ่าลมหนาวไปจนสุดทาง เห็นหอสังเกตการณ์ที่มีทหารประจำการตั้งอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น

ฟันเหยินหายใจไม่สะดวกขณะเดินไปดันประตูให้เปิดออก

ที่ริมถนน ชายวัยกลางคนในวัยสี่สิบของเขาได้พาเด็กสองคนที่เพิ่งผ่านด่านศุลกากรและเข้าสู่ดินแดนซงเจียง

เด็กน้อยทางซ้ายซึ่งอายุพอๆ กับฟันเหยินชี้ไปที่แผงขายของริมถนนแล้วพูดว่า “พ่อครับ ผมหิวแล้ว... ผมอยากกินบะหมี่ธัญพืช”

“กินขนไก่ไปก่อน” ชายวัยกลางคนหันไปดุลูกชายอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด “รอให้เจ้าได้งานทำก่อน ที่นั่นมีอาหารเลี้ยง”

“พ่อ...ผมหิว ผมอยากกินบะหมี่”

“ฉิบหายเอ๊ย!” ชายวัยกลางคนหันมองไปรอบๆ ด้วยใบหน้าดุราวกับเสือโคร่ง “ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าขออาหารในที่ที่มีคนพลุกพล่าน ข้าไม่มีเงิน!”

เด็กชายก้มหน้าลง และตามที่คาดไว้ เขามีสำนึกเพียงพอที่จะไม่งอแงอีกต่อไป

ชายวัยกลางคนกำลังจะก้าวไปข้างหน้า และเด็กหญิงตัวเล็กทางขวาก็พึมพำอย่างอ่อนแอเช่นกัน “พ่อ...หนูก็หิวเหมือนกัน”

ชายวัยกลางคนหันกลับมาอย่างช่วยไม่ได้และมองดูเด็กทั้งสอง

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ชายวัยกลางคนก็ตัดสินใจหันกลับเดินไปหาแผงขายอาหาร “เอาบะหมี่มาชามหนึ่ง ไม่ ช่างมัน...เอามาสองชามเลย”

“ครับ” คนขายยิ้มแล้วพยักหน้า

“ไป นั่งกินข้าวเถอะ” ชายวัยกลางคนตบหัวลูกชายพลางบอกเขาเบาๆ

เมื่อเด็กชายและเด็กหญิงได้ยินดังนั้น พวกเขาก็นั่งลงที่โต๊ะเล็กๆ ค่อนข้างสกปรกทันที

“พ่อครับ พ่อก็กินด้วยกันสิ”

“เดี๋ยวพ่อจะไปที่ทำงานก่อน แล้วกินข้าวทีหลัง พวกเจ้าสองคนรีบๆ หน่อย” ชายวัยกลางคนถอยออกมายืนห่างจากโต๊ะอาหารและปล่อยให้ลูกๆ นั่งกินอยู่ที่นั่น เพราะเขารู้สึกละอายที่ไม่มีเงินเพียงพอจะซื้ออาหารให้ตัวเอง

เมื่อฟันเหยินที่อยู่ข้างหอสังเกตการณ์เห็นภาพนี้ตรงหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาอีก

ความเฉยเมยต่อโชคชะตาและความโหดร้ายของชีวิตไม่ได้สะท้อนให้เห็นจริงๆ ว่าจุดเริ่มต้นในชีวิตนั้นต่ำเพียงใด แต่สิ่งที่มันทำคือการบั่นทอนคุณค่าในความเป็นคนของคุณ และความเปรียบต่างสุดขั้วที่สะท้อนออกมาในการใช้ชีวิตของคุณ เกิดขึ้นอย่างจงใจต่อหน้าต่อตาคุณ…สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เป็นสาเหตุของการล้มเหลวของชีวิต

ฟันเหยินมองดูเด็กทั้งสองด้วยความริษยาอย่างมาก เขาหันกลับมาอย่างเด็ดขาด และยกมือขึ้นเคาะประตูไม้ของหอสังเกตการณ์

“พรึบ!”

ทันใดนั้นก็มีฝ่ามือมาตบบนไหล่ฟันเหยิน

“ขวับ!”

ฟันเหยินหันกลับมาโดยสัญชาตญาณและเห็นฉินหยู่พร้อมกับเหงื่อโทรมหน้าผาก

ทั้งสองมองหน้ากันภายใต้แสงสลัวๆ ฟันเหยินตกตะลึงพูดอะไรไม่ออก ในขณะที่ฉินหยู่ขมวดคิ้วและต่อว่าขึ้น “นายขี้โมโหมากใช่ไหม? นายทำอะไรผิด นายจะไม่ยอมให้ใครตักเตือนใช่ไหม?”

ฟันเหยินกะพริบตาแดงก่ำของเขา “คุณมาที่นี่ทำไม”

“ฉันเกรงว่านายจะตายข้างนอก” ฉินหยู่ถอนหายใจ ดึงคอของฟันเหยินแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ ฉันจะเลี้ยงอาหารนาย”

……

สิบนาทีต่อมา

ในแผงขายของริมถนนเล็กๆ แห่งหนึ่ง ฉินหยู่เช็ดตะเกียบที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยกระดาษทิชชูแล้วยื่นให้ฟันเหยินแล้วถามว่า “นายนี่ใช้ไม่ได้เลย นายอยู่กับฉันมานานกว่าสามเดือนแล้วนะ จะออกไปจากบ้านโดยไม่ร่ำลาเลยเหรอ!”

ฟันเหยินก้มศีรษะลงและตอบด้วยเสียงสั่น “ฉัน...ฉันเกรงว่า...ฉันทำให้พี่รำคาญแล้ว แทนที่จะไร้ยางอายอาศัยพี่ต่อไป ฉันไปตายเอาดาบหน้าก็ได้... แบบนี้... ฉันคิดว่า เอาไว้เจอกันอีกครั้งเมื่อฉันเข้มแข็งกว่านี้”

“ฮ่าฮ่า ดูนายสิ นายจะทำอะไรเพื่อให้กลายเป็นคนเข้มแข็ง?” ฉินหยู่ถามด้วยรอยยิ้ม “นายต้องเข้มแข็งขนาดไหน ถึงจะเป็นผู้บริหารระดับสูงได้!”

“พี่หยู่ คุณดูถูกฉันเหรอ?” ฟันเหยินเงยหน้าขึ้นแล้วถาม

“ฉันปฏิบัติต่อนายเหมือนน้องเล็ก ไม่ใช่คนที่ฉันยกย่องหรือดูถูก” ฉินหยู่ยื่นจานให้ฟันเหยินพลางคิดอย่างรอบคอบแล้วพูดต่อ “ฟันเหยิน เราทั้งคู่เป็นผู้ชาย และฉันจะไม่ปิดบังเรื่องต่างๆ เห็นไหมว่าฉันเพิ่งเริ่มต้นที่ซงเจียง ปกติแล้วฉันก็ดูแลตัวเองไม่ได้ เพราะงั้นนายก็จะอยู่บ้านฉันได้อีกไม่นานหรอก”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฟันเหยินก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเป็นกังวล

“อย่าคิดมาก ฉันไม่ได้หมายความว่าจะไล่นายออกไปหรืออะไรทั้งนั้น” ฉินหยู่เทไวน์ขาวคุณภาพต่ำหนึ่งแก้วให้กับฟันเหยิน แล้วพูดเบาๆ ว่า “ฉันแค่คิดว่าอายุของนายไม่แก่หรือเด็กเกินไป การอยู่บ้านตลอดทั้งวันก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร”

“ฉันออกไปทำงานได้แล้ว” ฟันเหยินตอบอย่างจริงจัง

“ฟันเหยิน คนเรา ยิ่งจุดเริ่มต้นต่ำเท่าไร ยิ่งต้องตั้งเป้าให้สูง แม้จะไปไม่ถึง ก็ยังไปได้ไกลกว่าคนอื่น” ฉินหยู่เอียงคอเล็กน้อยจ้องมองเขาเป็นเวลานานแล้วพูดต่อ “นายมีลักษณะบางอย่างที่ไม่เหมือนใครและนิสัยของนายก็ยังเป็นปัญหาด้วย ฉันไม่ต้องการให้นายทำงานให้คนอื่น ฉันอยากให้นายไปเป็นทหารของกองทัพ”

ฟันเหยินตกตะลึงอย่างมาก

“นายดื่มไวน์แก้วนี้ จากนี้ไปฉันเป็นพี่ใหญ่ของนาย” ฉินหยู่ชี้ไปที่ฟันเหยินและพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันไม่มีญาติเลยในตอนนี้ เมื่อฉันเห็นนายในอนาคต หมายถึงฉันเห็นครอบครัว”

……

เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว

ฉินหยู่เริ่มเมาได้ที่ ด้วยความคะยั้นคะยอของฟันเหยิน ทำให้เขากดโทรศัพท์ถึงผู้กำกับหลี่ “เฮ้ นายกำลังทำอะไรอยู่?”

ผู้กำกับหลี่ดูสับสน “ฉัน... ฉันกำลังหลับอยู่หรือเปล่า?”

“นายทำบางอย่างเพื่อฉันหน่อย”

“นายพูดอะไร?” ผู้กำกับหลี่กะพริบตา “ฉันทำอะไรให้นายได้ไหม นายดื่มเข้าไปใช่ไหม?”

“อย่าพูดไร้สาระน่า น้องชายของฉันอยากเป็นทหาร...นายจัดหน่วยให้ฉันเร็วเข้า” ฉินหยู่ดื่มมากเกินไปจริงๆ บางทีเขาอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังโทรหาใคร

ผู้กำกับหลี่เกาหัวแล้วมองที่จอโทรศัพท์อีกครั้ง หลังจากแน่ใจว่าเป็นฉินหยู่เขาก็กะพริบตาแล้วถามอีกครั้ง “นายดื่มไปเท่าไหร่แล้ว นายไปคิดเรื่องที่จะพูดให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยมาคุยกับฉัน!”

“อย่าทำท่าอวดดีกับฉันนะไอ้เวร รีบไปจัดการซะ... โทรหาฉันพรุ่งนี้” ฉินหยู่พูดเหมือน ‘สั่งสอน’ และวางสายโทรศัพท์อย่างใจเย็น

ที่บ้าน ผู้กำกับหลี่อยู่ในชุดนอนและมองโทรศัพท์มือถือด้วยสายตางุนงงเป็นไก่ตาแตก “อา...เหี้ยอะไรของมันวะ?!”

……………………………………………………………

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด