ตอนที่แล้วตอนที่ 1662 เข้าสู่การบุกรุกรานครั้งสำคัญ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 1664 เพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพี

ตอนที่ 1663 ปล่องภูเขาไฟ


ตอนที่ 1663 ปล่องภูเขาไฟ

“ไม่ใช่ใต้เท้าหลัวไห่” เว่ยชิงเองก็ได้แสดงสีหน้าหนักแน่นพร้อมกับส่ายหน้า “ใต้เท้าหลัวไห่เขา……ได้สิ้นลมหายใจไปแล้ว”

“อะไรกัน?”

เสียงอันตื่นตระหนกพลันดังขึ้น พร้อมทั้งสภาพที่แตกตื่น จนผู้อาวุโสทั้งหมดของนิกายแสงอัคคีล้วนแต่เผยสีหน้าแตกตื่นตกใจกันหันไปมองเว่ยชิง อีกทั้งยังได้แสดงท่าทีที่ไม่อยากที่จะเชื่อว่าผู้นำผู้อาวุโสของฝ่ายตนเองจะสิ้นใจลงได้

“ข่าวลือนี้ย่อมต้องไม่ผิดอย่างแน่นอน ข้าใช้เวลาเมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้ก็ได้ส่งข่าวไปยังทางด้านของดาวชุยเว่ยนั้นไปแล้ว แม้กระทั่งรูปปั้นจ้าวแดนดาราอันเปี่ยมล้นไปด้วยเทวะพลังบนดาวชุยเว่ยเองก็ยังได้พังทลายลงแล้ว สภาวะสัญลักษณ์ของใต้เท้าหลัวไห่เองก็ได้เลือนรางหายไปแล้ว เขาจะต้องสิ้นใจลงแล้วอย่างแน่นอน และห่างคำนวณดูแล้ว ย่อมสมควรที่จะเป็นเมื่อในช่วงวันเวลาที่มุ่งหน้าเดินทางไปเยือนหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเมื่อหลายวันก่อนกันแล้ว

“การสูญเสียท่านผู้นำผู้อาวุโส แม้แต่ใต้เท้าหลัวไห่เองก็ยังต้องสิ้นลม ภายในหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นยังมีผู้ใดที่มีความสามารถเช่นนี้อีกกัน?”

“ใช่แล้ว เมื่อหลายเดือนก่อนของวันนั้น จากทิศทางด้านของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นแน่นอนย่อมต้องพลังความเคลื่อนไหวที่ก่อตัวเป็นระลอกพลิกฟ้าสะท้านแผ่นดิน แท้จริงแล้วเมื่อในเวลานั้นก็เกิดเรื่องขึ้นแล้วอย่างงั้นหรือ?”

“คงจะไม่ได้เป็นบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักแห่งหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นท่านนั้นทำหรอกกระมั่ง? ก่อนหน้านี้ข้าผู้ชราเองก็ได้ยินข่าวลือกันมาบ้าง ว่าบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักของพวกนางกลับยังหาได้สิ้นชีพลงไม่”

“เป็นไปได้อย่างไรกัน? หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นนับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักมาก็เกือบจะสามหมื่นปีมาแล้ว บรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักของพวกนางหากว่ายังไม่ตายขึ้นมาจริงๆ เหตุไฉนก่อนหน้าถึงยังไม่ปรากฏกายออกมากันเล่า”

“ตอนนี้มาถกกันถึงเรื่องพวกนี้จะไปมีความหมายอะไรกัน? หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเองก็ได้บุกรุกมากันแล้ว บัดนี้ยังคงต้องรีบเร่งหารือเพื่อนสรุปวิธีการรับมือให้ได้เร็วที่สุดจึงจะถูก”

“แล้วจะต่อกรอย่างไรล่ะ? ผู้นำผู้อาวุโสนิกายแสงอัคคีเองก็ได้จบสิ้นไปแล้ว ทางด้านหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นจะต้องมีลั่วหลีเป็นฝ่ายลงมือเองอย่างแน่นอน นิกายแสงอัคคีเรา……ย่อมไม่มีพลังมากพอที่จะไปต้านทานได้!”

“ผู้บ่มเพาะหากว่าหลงลำพองในตัวเองย่อมมีแต่จะกลายเป็นการทำลายตัวเองเอาไว้ ต่อให้เป็นลั่วหลีแล้วจะอย่างไรล่ะ ข้าผู้ชราเองก็จะขอเข้าแลกกับนางเองแล้ว ต่อให้ต้องตายก็ต้องถลกเนื้อของนางออกมาให้ได้สักคำกันแล้วล่ะ!”

……

ผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งหลังจากที่ได้ทราบว่าซื่อฮั่วตายลงไปแล้วนั้น ก็หาได้มีอาการระรื่นและผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปอีกแล้ว ในทุกคนล้วนแต่แสดงสีหน้าและความคิดเห็นที่เคร่งเครียดกันออกมา

เว่ยชิงนั่งอยู่บนบัลลังก์ชั้นบนสุด อีกทั้งยังหาได้เปล่งวาจาใด ประดั่งเป็นเพียงคนนอกก็มิปาน

เป็นเวลาเนิ่นนาน เขาจึงยกมือขึ้นมา ชั่วขณะนั้นเสียงดังอึกทึกในห้องโถงเงียบลงมา แววตาของเหล่าผู้คนได้ถูกเขาดึงดูดเอาไว้

“เอาละ อย่าได้โวยวายกันแล้ว!” เว่ยชิงเอ่ยปากกล่าวอย่างเฉยชา : “หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นรุกรานกันเกินไปแล้ว ถึงแม้จะบอกว่าครั้งนี้อาจจะเป็นภัยพิบัตินิกายแสงอัคคีเรากันแล้ว แต่หากว่าสามารถจัดการสะสางได้ดี ไม่แน่ว่าอาจจะไม่มีโอกาสที่จะวัดความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกับพวกนางได้ก็เป็นได้ ลั่วหลีนับเป็นผู้ทรงพลังขอบเขตกำเนิดราชันนับย่อมไม่ผิดแผกไปอยู่แล้ว ท่ามกลางพวกเราไม่มีผู้ใดสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้ แต่ว่าทุกท่านอย่าได้หลงลืมไปแล้ว พวกนางโจมตี พวกเราตั้งรับ พวกเรายังสามารถหยิบยืมพลังจากค่ายกลต้องห้ามมาได้ สามารถที่จะใช้ลดทอนพลังของพวกนาง อีกทั้ง……มีข่าวลือจากก่อนหน้านี้ที่บอกว่าลั่วหลีได้เกิดข้อผิดพลาดในระหว่างการบ่มเพาะ จนกลายเป็นอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน จะกลัวก็แต่ว่าจะไม่อาจสำแดงพลังความสามารถออกมาทั้งหมดได้”

“ไม่ผิด ที่เจ้าสำนักกล่าวมานั้นย่อมถูกต้อง ใช้ทั้งรุกทั้งรับ พวกเราที่ถือครองความได้เปรียบ!”

“จู้จู้……หรือแท้จริงแล้วทุกท่านจะลืมเลือนไปแล้วว่า พวกเรายังมีของชิ้นนั้นอยู่!หากว่านำของชิ้นนั้นออกมาได้แล้วละก็ ต่อให้เป็นลั่วหลีก็ยังต้องพลาดท่าเสียทีครั้งใหญ่เลยทีเดียว!” ระหว่างนั้นก็ได้มีคนส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาด้วยเสียงประหลาด แย้มยิ้มออกมาด้วยสีหน้าที่ทั้งคลุ้มคลั่งและดุร้าย

คนอื่นเองก็ทราบได้ในเวลาไม่นานถึงสิ่งที่คนผู้นี้กล่าวถึง ล้วนแล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่จะทอสีหน้าแปรเปลี่ยนไป

ขอกำลังใจสักนิด ช่วยสนับสนุนกันหน่อย ที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com เลยครับ

แม้กระทั่งสีหน้าของเว่ยชิงเองก็ยังสาดทอเป็นประกายความตึงเครียดออกมาอย่างสุดแสน เพียงกล่าวขึ้นในทันที : “หากมิใช่ถึงเวลาที่คับขันอย่างถึงที่สุด ของสิ่งนั้นยังคงอย่าได้ปลดปล่อยออกมาแล้ว! ถ่ายทอดคำสั่งข้า ให้ศิษย์ทุกคนเตรียมพร้อมรับการรุกรานจากศัตรู ศึกในวันนี้ หากยังมีอริศัตรูก็จะไร้ซึ่งข้า!”

“มีศัตรูแต่ไร้ซึ่งข้า!” ผู้อาวุโสทั้งหลายจึงค่อยได้ตะโกนขึ้นเสียงดังก้องกังวานกันอย่างพร้อมเพรียง

……

เรือรบทั้งห้าลำยังคงขับเคลื่อนผ่านบริเวณส่วนลึกของชีพจรขุนเขาแสงเพลิงไปอย่างช้าๆ มุ่งหน้าเข้าไปใกล้ยังหัวเรือหลักนิกายแสงอัคคี

ระหว่างทางยังได้ปะทะเข้ากับการป้องกันที่มาจากค่ายกลและพื้นที่ต้องห้ามอีกบางส่วน แต่กลับหาได้สามารถที่จะหยุดการเดินทางของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นได้ไม่ ปืนใหญ่ผลึกของเรือรบเองยังสามารถสำแดงออกมาได้ตามต้องการ จนสามารถทำลายค่ายกลและพื้นที่ต้องห้ามเหล่านั้นไปจนสิ้นซาก

“ปิงหลง เจ้าเดินทางมุ่งหน้าไปก่อน ไปแจ้งต่อคนของนิกายแสงอัคคี ครั้งนี้ข้ามาเพียงเพื่อประหารเบื้องสูงนิกายแสงอัคคีเท่านั้น หากบรรดาศิษย์ชั้นต่ำที่เป็นเพียงเบี้ยล่างนั้นยังอยากที่จะมีชีวิตอยู่ก็จงรีบหลบหนีไปได้แล้ว รอจนเมื่อเรือรบหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเราเปิดศึก ผู้ที่ไม่คิดหลบหนีไปล้วนแต่จะถือว่าเป็นศัตรูกับหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นกันทั้งสิ้น มีแต่ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น” ลั่วหลีจึงได้เอ่ยขึ้นในทันที

“เจ้าค่ะ!” ปิงหลงตอบทันควัน พร้อมกับทะยานร่างลอยขึ้น

ไม่นานนัก ทางด้านหน้าก็พลันสัมผัสได้ถึงจิตสัมผัสของปิงหลงที่แผ่ขยายออกมา ถ่ายทอดข้อความออกไปว่าจะมาเพื่อประหารเบื้องสูงเท่านั้น หากศิษย์ชั้นสามัญมีความคิดที่จะหลบหนีก็จงรับหลบหนีไปได้แล้ว

เหล่าเบื้องสูงของนิกายแสงอัคคีต่างก็สัมผัสได้ถึงสิ่งที่ถ่ายทอดกันเข้ามานี้กันได้ ล้วนแต่อดไม่ได้ที่จะด่าทอกันขึ้นมายกใหญ่ ด่าทอว่าปิงหลงโหดเหี้ยมอำมหิต ไร้ยางอายสุดเปรียบปาน

ศิษย์หลายหมื่นคนของนิกายแสงอัคคี ถึงแม้จะผนึกกำลังกันก็ยังนับเป็นพลังที่น้อยนิดกันเท่านั้น แต่ว่าการที่ต้องมาเผชิญหน้ากับด่านความเป็นความตาย ก็ใช่ว่าทุกผู้คนก็ล้วนแต่จะยอมรุกถอยไปพร้อมกับสำนักไม่ เพิ่มด้วยกับคำประกาศจากปิงหลงที่แจ้งข่าวคราวการสิ้นลมไปของเฒ่าประหลาดซื่อฮั่วไป ก็ย่อมที่จะทำให้ศิษย์นิกายแสงอัคคีบางส่วนถึงกับขวัญแตกกระเจิงกันไปหมดแล้ว

จากตั้งแต่ต้นก็ได้มีคนหลบหนีออกไปจากชีพจรขุนเขาแสงเพลิงแล้ว

ทันทีที่พบเห็นว่ามีคนที่ว่างแผนจะจากไปเหล่านั้น ย่อมต้องมีเบื้องสูงของนิกายแสงอัคคีลงมือฝังศพกันแน่นอนแล้ว เปรียบเสมือนกับการเชิดไก่ให้ลิงดู

การลงมือด้วยความอำมหิตจนสามารถเห็นเลือดได้เช่นนี้ย่อมสามารถสร้างผลกระทบให้แก่ศิษย์ผู้น้อยทั้งหลายได้ แต่ในระหว่างที่เวลาได้ล่วงเลยผ่านไป ก็ยิ่งมีศิษย์นิกายแสงอัคคีที่ยังมีความหวาดกลัวก่อเกิดขึ้นในใจ ยิ่งมีคนเริ่มคิดที่จะหลบหนีกันแล้ว

ลำแสงแต่ละสายที่แตกต่างกันได้ลอยเพิ่มขึ้นมาจากไนิกายแสงอัคคีในตำแหน่งที่แตกต่างกัน พร้อมทั้งมุ่งหน้าไปยังทุกสารทิศ

ลั่วหลีนั้นที่ได้แผ่ซ่านจิตสัมผัสเข้าปกคลุมเอาไว้ทั่วทั้งชีพจรขุนเขาแสงเพลิงอยู่นั้น

หากเป็นผู้ทรงพลังที่มีพลังขอบเขตต่ำกว่าหวนกำเนิดลงไปก็จะปล่อยไปโดยที่ไม่สนใจ พร้อมกับปล่อยให้พวกเขาหลบหนีไปได้ตามสะดวก แต่หากว่าเป็นผู้ทรงพลังขอบเขตหวนกำเนิดคิดหลบหนี ลั่วหลีย่อมต้องทำการลงมือสังหารด้วยตัวนางเอง

ผู้ทรงพลังของนิกายแสงอัคคีที่ไม่ว่าคนใดก็ล้วนแล้วแต่อยู่กันในขอบเขตหวนกำเนิด ในมือยังถือเปื้อนไว้ด้วยเลือดของศิษย์หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นมามากมายนับคณนา ลั่วหลีย่อมไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้อยู่แล้ว

ไม่นานนัก ผู้ทรงพลังที่มีความสามารถต่ำกว่าขอบเขตหวนกำเนิดก็ได้พบว่าเกิดสถานการณ์เช่นนี้คิด พลันเกิดความยินดีกันขึ้นมา โดยที่ไม่แยแสสนใจการห้ามปรามจากทางสำนักอีกต่อไป จึงยิ่งมีคนอีกมากมายเริ่มหนีตายกันมากขึ้น

ช่วงขณะหนึ่ง คนของทั่วทั้งนิกายแสงอัคคีล้วนแต่จิตใจแตกซ่าน ไม่ว่าผู้อาวุโสผู้คุมกฎเหล่านั้นจะใช้การลงทัณฑ์ที่อำมหิตมากถึงเพียงใด ก็ยังไม่สามารถที่จะกอบกู้สถานการณ์กลับคืนมาได้อยู่ดี

“ผู้อาวุโสลั่วหลี ข้าจะล่วงหน้าเข้าไปยังทางด้านนั้นก่อนแล้ว” ทันใดนั้นหยางไคก็ได้หันไปมองยังบริเวณยอดหุบเขาลูกหนึ่งที่อยู่ตรงตำแหน่งทางด้านหลังของชีพจรขุนเขาแสงเพลิง

ลั่วหลีเองก็ได้หันเหลือบมองยังทางด้านนั้น ในใจพลันเข้าใจได้ทันทีว่าเป้าหมายของหยางไคนั้นคืออะไร แต่ก็ไม่อาจที่จะห้ามปรามได้ จึงทำได้แต่เพียงกำชับเอาไว้เพียงว่า : “ยังไงก็ขอให้ระวังเอาไว้ให้มากด้วย”

หยางไคพยักหน้าเล็กน้อย

“ศิษย์น้อง ต้องการให้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วยหรือไม่?” ซูเหยียนได้เอ่ยถามขึ้น

“ไม่จำเป็น เจ้าคอยติดตามอยู่ข้างกายผู้อาวุโสลั่วหลีเอาไว้จะดีกว่า” หยางไคโบกมือไปมา ร่างกายเพียงงขยับเล็กน้อย ก็ได้หายลับไปจากเรือหลักไปแล้ว รอจนกระทั่งผ่านไปได้ไม่นาน ตัวคนก็ได้ออกห่างไปไกลกว่าพันจั้งแล้ว

แววตาคู่งามของลั่วหลีถึงกับกระตุกขึ้นเล็กน้อย

จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ นางจึงค่อยถือว่าเข้าใจขึ้นมา ว่าเหตุใดหยางไคถึงได้สามารถรอดตายจากเงื้อมมือของหลัวไห่ได้อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราวมาตั้งหลายเดือน

หากคิดที่จะอาศัยความวิชาตัวเบาและความพิสดารในด้านความเร็ว ขอบเขตกำเนิดราชันโดยทั่วไปแทบจะไม่สามารถทำอะไรเขากันได้เลย แม้กระทั่งตัวเองเมื่อครู่นี้ก็ยังไม่อาจมองเห็นความเคลื่อนไหวของเขาอย่างชัดเจนได้

นี่ก็คือความเร้นลับที่เกิดจากพลังของมิติอย่างงั้นหรือ?

บนใบหน้าของลั่วหลีก็เผยสีหน้ากระตือรือร้นออกมา ราวกับคิดที่จะลองประมือด้วยสักครา แต่ไม่ว่านางคิดที่จะทำอะไร ก็สัมผัสไม่ได้ถึงความลึกลับซ่อนเร้นอันเป็นพลังอันมหาศาลของมิติอากาศเลยแม้แต่น้อย จึงได้สามารถที่จะสัมผัสได้ถึงความเลือนรางเพียงสายหนึ่งเท่านั้น

จากการถอนหายใจออกมาเพียงเล็กน้อย ลั่วหลีก็ได้เก็บงำประกายเอาไว้ ทราบว่าพลังมิติอากาศแทบจะไม่สามารถสร้างหลุมมิติออกมาได้ จึงค่อยได้หันความสนใจไปยังทางด้านของนิกายแสงอัคคีแทน

ชีพจรขุนเขาแสงเพลิงที่ตั้งอยู่ตรงตำแหน่งด้านหลังสุด ก็พลันมีเกิดเป็นประกายแสงอันเปลือยเปล่า พร้อมทั้งสาดประกายความอบอุ่นออกมา ราวกับว่าเป็นดั่งยอดเขาสูงประมาณพันจั้งได้

ยืนอยู่ตรงใต้เขาพร้อมทั้งแหงนหน้ามองขึ้นไป ราวกับว่ายังสามารถที่จะมองเห็นประกายไฟที่สว่างไสวที่เกิดขึ้นอยู่บนยอดเขานั้นเอง

นี่ก็คือปล่องภูเขาไฟแห่งหนึ่ง อีกทั้งปล่องภูเขาไฟที่ดูไปแล้วไม่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง จากภายในใจกลางปล่องภูเขาไฟก็พลันได้มีบรรยากาศที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังอันมหาศาลปกคลุมกันออกมา ไม่แต่เพียงจะมีสำนึกขอบเขตแห่งเปลวเพลิงที่ร้อนระอุเท่านั้น ยังถึงกับมีพลังอำนาจที่บงการทุกสิ่งอย่างสำนึกขอบเขตแห่งอัสนีเอาไว้ด้วย

ส่วนภายในภูเขาไฟ กลับกำลังอยู่ในบรรยากาศที่เหมือนบางอย่างที่ร้ายกาจยิ่งกำลังจำศีลอยู่ นั่นก็คือสภาวะความโหดเหี้ยมและความดุดันที่กำลังจำศีลอยู่ ทำให้ผู้คนสั่นสะเทือนอย่างกลัวเกรงดุจลูกนก

“ก็คือที่นี่แล้วสินะ” หยางไคที่ได้มาถึงยังบริเวณตีนเขา ซึ่งเป็นไปตามที่ได้คาดการณ์เอาไว้

จากการได้เดินมาสักพัก ระหว่างการต่อสู้กับหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นกับนิกายแสงอัคคีได้อุบัติขึ้น เขาแทบจะหาได้มีตัดสินใจที่จะยื่นมือเข้ายุ่งเกี่ยวไม่ เป้าหมายของเขาก็คือเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีของนิกายแสงอัคคี!

นั่นที่แม้แต่ลั่วหลีเองก็ยังต้องบังเกิดความหวาดกลัวอันตรายในตัวของมันอย่างสุดแสน

กล่าวกันว่า ของสิ่งนี้ที่เสมือนกับสามารถเชื่อมปราณได้เลย อีกทั้งยังมีความคิดสติสัมปชัญญะเป็นของตัวเองมาแต่กำเนิด จึงยากที่จะต่อกรด้วยได้เป็นอย่างยิ่ง

ท่ามกลางการสัมผัสจิตสัมผัส ทั่วทั้งรอบด้านบนยอดเขาภูเขาไฟ ยังได้ปกคลุมเอาไว้ด้วยค่ายกลและเขตแดนต้องห้ามน้อยใหญ่เอาไว้มากมาย ก่อเกิดเป็นพลังทำลายที่ไม่ธรรมดา

ประกายสายตาของหยางไคก็ได้หันไปมองยังบริเวณจุดที่เป็นเพียงความว่างเปล่า จึงทำได้แค่เพียงขยับมุมปากเล็กน้อยวเท่านั้น: “ทั้งสองท่านเหตุใดถึงยังต้องประพฤติตัวซ่อนหัวหลุบหางกันด้วย มิสู้เปิดเผยตัวออกมาอย่างโจ่งแจ้งเป็นอย่างไร?”

เมื่อสิ้นเสียง ก็ได้มีเสียงเย็นชาดังขึ้นมาจากทางด้านนั้น สภาพอากาศพลันเกิดความบิดเบี้ยว เงาร่างประหลาดสองสายก็ได้เดินออกมาจากริ้วรอยที่เกิดขค้นจากสภาพอากาศ

ราวกับว่าได้เดินเข้ามายังโลกหล้าอีกใบหนึ่งก็มิปาน

ทั้งสองคนที่เดินออกมานั้นนับว่ามีอายุที่มากเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีการบ่มเพาะที่จัดอยู่ในระดับขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สาม ตลอดทั้งร่างเกิดเป็นลมปราณศักดิ์สิทธิ์ธาตุอัคคีลุกโชกโชนเหลืออนันต์ ทางด้านซ้ายกลับเป็นผู้ที่มีร่างผอมสูง ทางด้านขวากลับเป็นผู้ที่มีผิวพรรณสีแดงเข้ม ทั้งสองกลับมีแค่เพียงสีหน้าที่ไม่แยแสใดเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าย่อมต้องมีตำแหน่งในนิกายแสงอัคคีที่ไม่ต่ำทรามกันเลยทีเดียว

“เจ้าหนู เจ้าเป็นผู้ใดกัน?” ผู้อาวุโสร่างผอมผู้นั้นก็ได้จ้องหยางไคเขม็ง พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ข้าจะเป็นใครนั้นเจ้ายังคงอย่าได้มาใส่ใจกันแล้ว ที่ข้ามาก็เพื่อที่มารับเพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีนั้นเอสไว้ พวกท่านทั้งสองหากว่ายังต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ เหตุใดถึงไม่ลองบอกถึงวิธีการคลายค่ายกลต้องห้ามที่ผนึกไว้อยู่บนยอดเขาสูงกันล่ะ ว่าอย่างไร?” หยางไคยิ้มแย้มขึ้นแล้วหันไปเหม่อมองไปยังบริเวณทางด้านหน้า

“ผู้เยาว์บังอาจเกินไปแล้ว!” ผู้อาวุโสร่างผอมเดือดดาลหัวฟัดหัวเหวี่ยง : “เพลิงอัสนีสวรรค์ปฐพีของนิกายแสงอัคคีเราเองเจ้าก็ยังบังเกิดความละโมบด้วยงั้นหรือ? เห็นแก่เจ้าที่มีการบ่มเพาะมาจนถึงขั้นนี้ได้ไม่ง่ายดาย อีกทั้งยังสามารถบ่มเพาะมาจนถึงขั้นนี้ได้ด้วยวัยเพียงแค่นี้ ยังคงรีบล่าถอยไปเสียเถอะ ข้าผู้ชราทั้งสองจะไม่ทำให้เจ้าลำบากก็เป็นใช้ได้แล้ว!”

เขาที่คล้ายกับเป็นคนที่โน้มน้าวได้ง่าย แทบจะหาได้คิดลงมือฆ่าในทันทีที่หยางไครุกล้ำเข้ามายังพื้นที่ต้องห้ามของนิกายแสงอัคคีไม่

“ท่านผู้เฒ่าช่างมีเมตตานัก!” หยางไคถึงกับม่านตากระตุกขึ้นทันที มุมปากพลันปรากฏเป็นสีหน้าเย้ยหยัน ที่ด้านบนพื้นที่เท้าขวาได้ย่ำลงก็เพียงแค่เบาๆ เท่านั้น จากนั้นก็ได้กล่าวออกมาอย่างหนักแน่นว่า: “เช่นนี้ท่านผู้เฒ่ามิใช่กลายเป็นว่าทำให้ข้ารู้สึกลำบากใจกันแล้ว?”

ตูม……

ในระหว่างที่หยางไคได้ก้าวเท้าขวาออกไป บนพื้นดินทันใดนั้นก็พลันเกิดเป็นรอยแตกขึ้น รอยแตกสายหนึ่งเองก็ได้เริ่มมาจากเขาและปรากฏเป็นรอยลุกลามเพิ่มขึ้น ตรงดิ่งเข้าไปจุดที่สองผู้เฒ่าปรากฏตัวออกมาในทันที

และท่ามกลางรอยแตกนั้นเอง ก็ได้มีวิถีบริสุทธิ์สองสายซ่อนเร้นเอาไว้ด้วยพลังอันมหาศาลธาตุอัคคีรวมตัวกันพร้อมที่จะปะทุออกมา หยางไคเองก็ได้ขยับกายเข้ามาไกลอย่างไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียง โดยที่ตำแหน่งที่เขาอยู่นั้นกลับอยู่ไม่ห่างไกลออกไปเพียงแค่สามเชียะเท่านั้น

ดุจดั่งสิ่งที่คอยจำศีลอยู่ภายในพสุธาสองสาย และพร้อมที่จะระเบิดจนเกิดเป็นพิษจากอสรพิษขึ้นทุกเวลา

“เจ้าหนูนับว่ามีสายตาคมกล้าไม่เลว ในเมื่อถูกเจ้าตรวจพบได้ เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรให้กล่าวกันแล้ว การเข้ามารุกล้ำพื้นที่ต้องห้ามนิกายแสงอัคคี ก็จงตายไปซะเถอะ!” ผู้อาวุโสสูบผอมผู้นั้นเมื่อได้พบเห็นหยางไคมองพวกเขาทั้งสองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ก็หาได้มีความลังเล พร้อมกับฉีกยิ้มใบหน้าอันเจ้าเล่ห์ออก กระตุ้นลมปราณศักดิ์สิทธิ์ภายในกายขึ้น สิ่งที่จำศีลอยู่ภายในพื้นดินก็พลันปะทุพลังธาตุอัคคีขึ้นทันควัน แปรเปลี่ยนจนกลายเป็นงูเหลือมเพลิงอัคคีขนาดใหญ่สายหนึ่งเท่านั้น พร้อมทั้งหันไปอ้าปากหันเข้าใส่หยางไคหมายมั่นที่จะเขมือบเข้าไปทั้งเป็น

“มีความสามารถอันน้อยนิดยังริอาจหาญมาเป็นที่ขายหน้าแล้ว!” หยางไคหัวเราะออกมาฮาฮา ทันใดนั้นกระบี่กระดูกมังกรมรกตก็ได้ปรากฏขึ้นบนมือ ในระหว่างที่ฟาดออกไปหนึ่งฝ่ามือ ก็พลันเกิดเป็นประกายลำแสงขึ้นมาสายหนึ่งแลบผ่านเข้ามา ด้วยพลังสภาวะที่แสนน่าสะพรึงกลัวเช่นนั้น พลังสภาวะเพลิงอัคคีคลุมนภาดั่งงูเหลือมยักษ์เองนั้นก็แทบจะถูกเสียงกู่ร้องดังขึ้นมาจนแยกจากหนึ่งแบ่งเป็นสอง แปรสภาพจนหายลับไปจนสิ้นจนไม่อาจมองเห็นได้อีก

ศัตรูที่แข็งแกร่ง!ชายชราทั้งสองพลันสบตามองกัน ทอสีหน้าตึงเครียดกันขึ้นมา

.

.

.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด