ตอนที่แล้วตอนที่ 1651 ตบหน้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 1653 โบยบินก่อกำเนิดขึ้นใหม่เป็นดั่งวิหคหงส์

ตอนที่ 1652 ศิษย์ที่ถูกทอดทิ้ง


ตอนที่ 1652 ศิษย์ที่ถูกทอดทิ้ง

ในเวลาที่สนทนากันอยู่ ซื่อฮั่วมุมปากกระตุก แม้แต่เขาก็คิดในใจว่าเว่ยเฟิงมันดีไม่คู่ควรกับซูเหยียนจริงๆ ไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะยกรองเท้าให้ผู้อื่นเลยด้วยซ้ำ

แต่โอกาสที่จะได้จัดการกับหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นที่ดีเช่นนี้ คงทำได้แต่บีบให้หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นยอมประนีประนอมด้วย เช่นนั้นนิกายแสงอัคคีก็จะสามารถมีความได้เปรียบในการแย่งชิงได้ในอนาคต

ที่สำคัญยังมีอยู่อีกข้อ ที่จะสามารถหยิบยืมใช้เรื่องในครั้งนี้ได้ เพื่อเป็นการจู่โจมได้ถึงจิตวิญญาณของลั่วหลี ทำให้จิตวิญญาณของนางต้องแตกสลาย

หากว่าสามารถทำได้สำเร็จ วันข้างหน้าจะต้องทำให้บังเกิดเป็นจิตมารขึ้นภายในใจของลั่วหลีแน่นอน จนไม่อาจมีความก้าวหน้าในการบ่มเพาะอีกต่อไป

และทางด้านของเขาที่สามารถมีความก้าวหน้าในการบ่มเพาะที่สูงขึ้นไปได้อีกขั้น ภายใต้ความเหลื่อมล้ำเช่นนี้ อนาคตข้างของดาววารีสีชาดย่อมต้องตกเป็นของนิกายแสงอัคคีอย่างแน่นอน

พึ่งจะสิ้นเสียงของซื่อฮั่ว หรานอวิ่นถิ่งก็ได้ก้าวขึ้นมาทางด้านหน้าหนึ่งก้าว ทอสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าวแล้วกล่าว: “ความคิดเพ้อฝัน ซูเหยียนเป็นศิษย์สายตรงของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น มีหรือที่จะตบแต่งออกไปได้? ชั่วชีวิตนี้ของนางมีแต่ต้องอยู่หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเท่านั้น ไม่ว่าที่ใดก็ไม่สามารถไปได้!”

ซื่อฮั่วเพียงหัวเราะด้วยน้ำเสียงประหลาด โดนที่หันไปมองหรานอวิ่นถิ่งแล้วกล่าว: “หากว่าข้าผู้ชราดูไม่ผิดแล้วละก็ สิ่งที่นางบ่มเพาะก็สมควรที่จะเป็นวิชาลับที่ไม่ถ่ายทอดสู่ภายนอกของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น คงจะเป็นพลังภายในหยกน้ำแข็งแล้วใช่หรือไม่?”

“หากใช่แล้วจะเป็นไรไป?” หรานอวิ่นถิ่งไม่ทราบว่าเขามีแผนการอะไรไม่

“หากว่ามาเช่นนี้ เช่นนั้นก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ ข้าผู้ชราเองก็เห็นว่านางเป็นคนที่มีจิตใจเรียบง่าย หฤทัยน้ำแข็งดูหมดหมอง น่าจะได้รับการสะท้อนจากเคล็ดพลัง ราวกับว่ายังไม่ได้มีแต่เพียงเท่านี้……อือ ด้วยสภาพของนางในตอนนี้ เกรงว่าในเวลาปีสองปี การบ่มเพาะจากทั้งร่างก็คงจะแตกซ่าน จนท้ายที่สุดก็ต้องกลายเป็นเพียงคนธรรมดา แล้วจะไปมีประโยชน์อะไรต่อหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเจ้ากันอีก?”

หรานอวิ่นถิ่งถึงกับทอสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย วินาทีนั้นเฒ่าประหลาดซื่อฮั่วถึงกับสามารถใช้สายตาที่แรงกล้า

มองเห็นสภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในซูเหยียนได้อย่างกระจ่าง อีกทั้งยังมีแต่นางที่เป็นเพียงผู้เป็นอาจารย์เท่านั้นจึงจะทราบถึงเรื่องเหล่านี้ได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าซื่อฮั่วที่เพียงพบพานกับซูเหยียนเป็นครั้งแรกจะสามารถที่จะมองออกได้

ผ่านไปได้สักพัก สีหน้าของหรานอวิ่นถิ่งก็ได้หมองคล้ำขึ้นอย่างถึงขีดสุด หันไปเหม่อมองซูเหยียนอยู่แวบหนึ่ง ภายในแววตายังบังเกิดความคาดหวังออกมาจนเห็นได้ชัด

แต่ซูเหยียนกลับหาได้ทันสังเกตเห็นไม่ อีกทั้งยังหาได้มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ แต่กลับยังคงมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข ที่ยืนอยู่ตรงจุดนั้น ยังคงเป็นข้างกายของหยางไค ราวกับว่าสิ่งที่เรียกกันว่าการบ่มเพาะพลัง ในสายตาของนางแทบจะเป็นเพียงแค่ความว่างเปล่าเท่านั้น ขอเพียงแค่สามารถอยู่ร่วมกับหยางไคได้ ต่อให้ต้องตายก็นับว่าควรค่าแล้ว

หรานอวิ่นถิ่งถึงกับยิ่งรู้สึกผิดหวังขึ้นยิ่งกว่าเดิมแล้ว

“ซูเหยียน……” บนใบหน้าของหยางไคกลับเต็มไปด้วยประหลาดใจ เมื่อได้หันไปที่ข้างกายตน ดวงตาคู่งามที่แทบจะไม่ได้ละสายตามาจากตัวเองมาโดยตลอดเลยก็ว่าได้

เขาจึงค่อยได้รีบปลดปล่อยจิตสัมผัสออกมา เพื่อเข้าทำการตรวจสอบภายในร่างกายของซูเหยียน เพื่อที่จะดูว่ามีจุดใดที่ไม่ถูกต้องกันอยู่บ้าง

สภาวะพลังภายในร่างของซูเหยียนย่อมต้องไม่สงบนิ่งอยู่บ้างแน่นอน เห็นได้ชัดว่าได้รับการสะท้อนกัดกินจากพลังที่ฝึกปรือมา ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ยังถือว่าเบาบางอยู่ แต่หากปล่อยให้เรื้อรังเป็นเวลานาน ย่อมต้องสาหัสมากขึ้นอย่างแน่นอน

“ไม่เป็นไร” ซูเหยียนเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ ทอสีหน้าสงบเสงี่ยม หาได้เป็นกังวลต่อชะตาชีวิตของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“ข้าจะหาวิธีเพื่อคลี่คลายปัญหาของเจ้าเอง” หยางไคสูดหายใจเข้าลึกๆ แสดงสีหน้าเคร่งขรึมมองไปที่นาง กล่าวยืนยัน

“เจ้าฆ่าตัวตายไปเสียก็ได้แล้ว ไยจึงยังต้องมาให้นางต้องมาเผชิญกับด่านที่ยากลำบากเช่นนี้อีกกัน!” หรานอวิ่นถิ่งถึกกับมีเพลิงโทสะเดือดขึ้นมาอีกระลอก พร้อมทั้งหันไปตวาดใส่หยางไค

“ท่านอาจารย์ ยังคงขอให้ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนี้อีกแล้ว!” ซูเหยียนพลันสลายรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าลง ขมวดคิ้วอันดกดำ แสดงอารมณ์ตึงเครียดอย่างรุนแรง : “หากว่าศิษย์น้องเกิดตายขึ้นมา ข้าเองก็ไม่คิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป!”

หรานอวิ่นถิ่งถึงกับอ้าปากค้าง หันไปมองซูเหยียนด้วยสีหน้าตกตะลึง พร้อมทั้งเผยสีหน้าวิตกกังวลออกมา

นับเป็นครั้งแรกที่ซูเหยียนแสดงกิริยาท่าทางและพูดจากับนางเยี่ยงนี้ นี่ได้ทำให้หรานอวิ่นถิ่งต้องบังเกิดความแตกตื่นอย่างถึงที่สุด ตลอดที่ผ่านมานี้ ซูเหยียนล้วนแต่ยอมเชื่อฟังคล้อยตามนางทุกอย่าง ตนเองไม่ว่าจะให้นางไปทำอะไร ศิษย์คนนี้ล้วนแต่ทำได้ดีกว่าที่คาดหวังไว้นับร้อยเท่าพันทวี จึงทำให้นางพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งได้รับความสำคัญ

แต่มาวันนี้ นางกลับโต้แย้งกับตัวเองไปเสียแล้ว

เมื่อได้เห็นเช่นนี้ ตัวเองที่ลำบากลำบนคอยอบรมสั่งสอนนาง เป็นอาจารย์ที่ทำให้นางได้เห็นถึงความหวังอันยิ่งใหญ่ แต่กลับยังไม่อาจที่จะเทียบได้กับเจ้าหนูผู้นี้ได้

หรานอวิ่นถิ่งถึงกับหัวเราะออกมาเสียงเย็นชา ทอใบหน้าเย็นเยียบ หันไปมองหยางไคด้วยแววตาที่ลึกล้ำ แล้วใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำกล่าวต่อเขาว่า: “เจ้าหนู เจ้าถือเป็นข้อผิดพลาดของซูเหยียนแล้ว ต่อให้เจ้าตายไป ก็ไม่อาจชดใช้บาดที่เจ้าก่อได้หมดสิ้นลงไม่!”

หลังจากที่กล่าวจบ นางก็ได้ถอยกลับไปอีกครั้ง หลับตาทั้งสองข้างลง ราวกับไม่คิดที่จะไปยุ่งเกี่ยวหรือรับรู้เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปอีกแล้ว

“ข้าจะเป็นข้อผิดพลาดสำหรับศิษย์พี่หรือไม่นั้น กลับยังไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะบอกกล่าวได้ แล้วอย่างเจ้ายังถือเป็นอะไรได้?” หยางไคตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เอาล่ะ เรื่องไม่เป็นเรื่องก็พักไว้แต่เพียงเท่านี้เถอะ!” ซื่อฮั่วก็ได้ยันกายลุกขึ้น ใช้แววตาที่ประดุจดั่งเปลวเพลิงเผาผลาญมองเข้ามา จากนั้นก็ได้หันไปใช้สายตากดดันมองไปที่ลั่วหลี : “ข้าผู้ชราได้บอกเจตนาออกมาอย่างชัดเจนแล้ว ลั่วหลี คงจะได้เวลาที่สมควรจะตัดสินใจแล้ว ส่งตัวคนมา ข้าผู้ชราก็จะจากไปในทันที หากว่าไม่ส่งมอบมา……”

ภายในวาจาของเขายังได้แฝงเจตนาของการข่มขู่ออกมาให้ได้เห็นอย่างชัดเจน

ผู้อาวุโสทุกท่านของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นล้วนแต่มีสีหน้าเปลี่ยนไปกันอย่างรุนแรง

ลั่วหลีก็ได้หันไปมองซื่อฮั่วด้วยอาการเฉยชา จากนั้นก็ได้ส่ายหน้าแล้วหันไปมองหลัวไห่ โดยที่กล่าวจากริมฝีปากที่เนียนนุ่มว่า : “นี่ก็คือความตั้งใจของใต้เท้าหลัวไห่อย่างงั้นหรือ?”

นางเองก็ย่อมต้องกระจ่างแจ้งเสียยิ่งกว่าผู้ใด ในครั้งนี้ซื่อฮั่วถึงกับอาจหาญมาตอแยจนถึงเกาะสุดขั่วเยือกเย็น ย่อมต้องเป็นการเอาตัวศิษย์ที่มีความโดดเด่นที่สุดภายในสำนักไปโดยที่ไม่สนใจสายตาของผู้ใด เป็นเหมือนกับการสั่นคลอนรากฐาน โดยที่สืบเนื่องมาจากการที่มีหลัวไห่คอยให้การหนุนหลังอยู่นั้นเอง!

ข้าจะกระซิบให้เจ้าฟังถึงความลับของหยางไค มาที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com สิ

หากไม่มีหลัวไห่แล้วละก็ ซื่อฮั่วแม้คิดที่จะย่างกรายเข้าสู่บริเวณโดยรอบในระยะพันลี้ของเกาะสุดขั่วเยือกเย็นก็ยังไม่อาจทำได้

หลัวไห่เพียงหัวเราะออกมาอย่างเงียบเชียบ แล้วตอบไปด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า: “คำพูดของศิษย์น้องลั่วหลีนี้ยังไม่นับว่าสมเหตุสมผลเท่าที่ควร เรื่องนี้ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นเรื่องของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเจ้าและซื่อฮั่วแห่งนิกายแสงอัคคี ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักก็แค่เพียงมาได้ในเวลาเหมาะเจาะเท่านั้น จนสามารถพบเห็นเรื่องที่น่าสนใจเช่นนี้ได้”

จากการสนทนาระหว่างกัน หลัวไห่ก็ได้เอ่ยขึ้นว่า: “กระนั้นข้าผู้เป็นเจ้าสำนักกลับรู้สึกว่าสิ่งที่ซื่อฮั่วกล่าวมาก็ถือว่าไม่ผิดเลยเสียทีเดียว คุณสมบัติของศิษย์นามว่าซูเหยียนแม้ว่าจะไม่ธรรมดาสามัญ แต่ในเมื่อได้รับการสะท้อนย้อนกลับของพลังภายในหยกน้ำแข็ง จะกลัวก็แต่เพียงว่าหลังจากนี้คงจะต้องได้รับการเคี่ยวกรำครั้งยิ่งใหญ่ มิสู้ตบแต่งให้กับเว่ยเฟิง พวกเจ้าทั้งสองก็ประจวบกับสามารถผูกสัมพันธ์กันเช่นนี้ได้ จนสามารถคลี่คลายบุญคุณความแค้นระหว่างสำนักไปได้ วันข้างหน้าย่อมกลมเกลียวกันได้แน่นอน มิใช่เรื่องที่ดีที่สุดหรอกหรือไร?”

จากที่ได้ยินเขากล่าวมาเช่นนี้ ลั่วหลีถึงกับทอสีหน้าชาด้านเล็กน้อย ทราบว่าหลัวไห่นั้นได้ยืนอยู่กับฝ่ายของนิกายแสงอัคคีนั้นไปแล้ว

ในส่วนที่บอกถึงการผูกสัมพันธ์ด้วยการตบแต่งกัน ก็จะสามารถคลี่คลายบุญคุณความแค้นระหว่างกันได้นั้น……นี่แทบจะไม่ใช่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอกหรือไงกัน

สองสำนักใหญ่ที่ต่อสู้แย่งชิงกันอยู่บนดาววารีสีชาดมาหลายพันกว่าหมื่นปี บุญคุณความแค้นเช่นนี้ย่อมกล่าวได้ว่าเปรียบเสมือนหนี้เลือดที่มากมายท่วมท้นดั่งทะเลเลือดไปแล้ว วันใดที่มีนิกายแสงอัคคีก็จะไม่มีหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น หากวันใดที่มีแต่เพียงหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นก็จะต้องไม่มีนิกายแสงอัคคี ระหว่างสองสำนักจะมีก็แต่การต่อสู้แย่งชิงไปตลอดกาล หากไม่วอดวายก็ไม่เลิกรา

“ข้าเข้าใจแล้ว” ลั่วหลีพยักหน้าลงเล็กน้อย พร้อมทั้งหลับตาที่เปรียบเสมือนผลึกน้ำค้างคู่นั้นลง เห็นได้ชัดว่ากำลังตกอยู่ภายใต้ความลำบากใจในการตัดสินใจ

หาได้มีคนคิดที่จะไปรบกวนนาง เหล่าผู้อาวุโสของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นทั้งหมดล้วนแต่กำลังหันไปเหม่อมองลั่วหลี หมายมั่นว่าจะได้เห็นคำตอบในการตัดสินใจเช่นนี้ของนาง

หลัวไห่เองก็มีสีหน้าราบเรียบดั่งสายลมที่แผ่วเบา ค่อยๆ ลิ้มรสชาติของชาหอมอย่างเงียบเชียบ

แต่กลับเป็นซื่อฮั่วที่มีท่าทีพออกพอใจอย่างออกนอกหน้า อีกทั้งยังหลุดหัวเราะเสียงประหลาดออกมาไม่ขาด

เขาหาได้กลัวว่าลั่วหลีจะไม่ยอมรับปากเขา ในครั้งนี้เมื่อได้สวมหนังพยัคฆ์ของหลัวไห่มาเพื่อทำการใหญ่แล้ว ก็ย่อมต้องกดดันหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นให้ได้มากที่สุด อีกทั้งนังหนูที่มีชื่อว่าซูเหยียนผู้นั้น ก็เป็นได้เพียงแค่ตัวหมากที่ใช้แล้วทิ้งในการแย่งชิงเท่านั้น

เมื่อไม่มีซูเหยียน แต่ก็ยังมีจางเหยียน หวังเหยียน……หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นถึงอย่างไรก็ยังมีศิษย์สตรีอีกมากมายถึงเพียงนี้อยู่แล้ว ยังต้องไปกลัวว่าจะเลือกคนที่เหมาะสมสักคนออกมาได้อีกงั้นหรือ?

เว่ยเฟิงที่ได้ตกอยู่ในสภาพอนาถอีกต่อไปแล้ว ในเวลานี้เขาแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากแมวที่กำลังสูดดมกลิ่นเศษอาหารได้ก็มิปาน ถึงกับต้องกลอกตาไปมาวุ่นวาย ถึงแม้บนใบหน้ายังเกิดความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนสลักลึกจนถึงจิตใจ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะทอสีหน้ายิ้มแย้มแล้วหันไปมองซูเหยียน แววตาคู่นั้นแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากกำลังมองของเล่นชิ้นใหม่ของตัวเอง อีกทั้งยังเป็นสายตาที่น่าสะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่ง

ในใจที่ยิ่งบังเกิดความชั่วร้ายขึ้น ก็ได้นึกถึงว่าหลังจากที่ซูเหยียนตกมาอยู่ในเงื้อมมือแล้วจะเคี่ยวกรำสตรีผู้นี้กันอย่างไร แล้วจะสั่งสอนหยางไคเยี่ยงไรให้รู้สำนึกว่ามาตอแยกับตัวเองนั้นเป็นเช่นไร

หยางไคและซูเหยียนทั้งสองที่ยืนเคียงคู่อยู่ตรงใจกลางตำหนักน้ำแข็ง แต่กลับแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากคนนอกไปเสียแล้ว

หาได้มีคนคิดที่จะไปสนใจพวกเขาว่าจะรู้สึกหรือมีความเห็นอย่างไร ภายใต้บทสนทนาของเบื้องสูงเช่นนี้ พวกเขาทั้งสองแทบจะไม่ได้มีอำนาจที่จะเปล่งวาจาเลยด้วยซ้ำ

หางตาคู่งามของซูเหยียนที่เอ่อล้นไปด้วยความสุขสมก็เริ่มเกิดความกังวลเกาะกุมขึ้นมาเล็กน้อย อีกทั้งมือน้อยที่กุมมือของหยางไคอยู่ยังได้เกิดแรงบีบที่แน่นขึ้น

นางเองก็ได้ลอบตัดสินใจแล้วว่า หากว่าท่านผู้นำผู้อาวุโสหากคิดที่จะประนีประนอมด้วยแล้วละก็ เช่นนั้นก็มีแต่ต้องใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อทำให้หยางไคสามารถมีความหวังที่จะหลบหนีออกไปได้! อีกทั้งในส่วนของตัวนางเอง ต่อให้ต้องตาย ก็จะไม่ยินยอมไปยังสถานที่อย่างนิกายแสงอัคคีแห่งนั้นแน่นอน

หยางไคทอแววตาเย็นเยียบมองไปที่รอบข้าง ราวกับว่าทุกอย่างนี้แทบจะหาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเอง เพียงสำรวจมองลั่วหลีด้วยแววตาที่แปรเปลี่ยนไป

ผ่านไปได้สักพัก เขาจึงค่อยได้ถอนหายใจออกมา พร้อมกับหันไปกระซิบที่ข้างโสตของซูเหยียน : “ศิษย์พี่หญิง เชื่อใจข้างหรือไม่?”

ซูเหยียนคิดก็ไม่จำเป็นต้องคิด ก็ได้พยักหน้าตอบในทันที

“เช่นนั้นก็ดี” หยางไคยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย : “ศิษย์น้องขอให้การรับรอง วันนี้ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถพาตัวศิษย์พี่ไปได้ หากมีคนหมายปองในตัวเจ้า ข้าจะทำให้พวกเขาต้องตายทั้งเป็นเอง!”

“เช่นนั้นศิษย์พี่ก็จะเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อเอง” ซูเหยียนหันไปขยิบตาให้กับหยางไค ด้วยอาการและสภาพเช่นนี้ถึงกับได้ทำให้หยางไคต้องมองด้วยความตะลึงลาน เขาที่หาได้เคยพบเห็นด้านนี้ของซูเหยียนมาก่อน ราวกับเป็นเพราะกำลังตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติ จึงทำให้นางกล้าที่จะตัดสินใจที่จะทำเรื่องที่ไม่คาดคิดออกมาได้

เสียงจากการสนทนาระหว่างทั้งสองถึงแม้จะเบาบาง แต่ก็ยังมีหรือที่จะรอดพ้นไปจากหลัวไห่กับซื่อฮั่วทั้งสองคนได้

เมื่อได้ยินวาจาสามหาวจากหยางไค ขอบเขตกำเนิดราชันทั้งสองท่านนี้ก็พลันหันไปมองหยางไคด้วยอาการหัวเราะเยาะ ถึงกับแสดงอาการไม่แยแสออกมา

“ลั่วหลี คงจะได้เวลาที่จะตัดสินใจแล้ว” หลัวไห่เองก็อดทนรอคอยต่อไปไม่ไหวจนถึงกับต้องกล่าวออกมา

กลับเป็นเขาที่รีบร้อนที่จะได้พาหยางไคกลับไปยังดาวชุยเว่ย เพื่อที่จะวิเคราะห์ความลับที่อยู่ภายในกายของหยางไคให้ดี มีหรือที่จะยินยอมมัวแต่มาเสียเวลาอยู่ในที่แห่งนี้กัน

ลั่วหลีลืมตา พริบตานั้น สายตาทุกคู่ภายในตำหนักน้ำแข็งก็ได้หันมามองที่นาง

คนแรกที่นางหันไปมองก็คือซูเหยียน หางตาคู่งามถึงกับบังเกิดความปวดร้าวขึ้นมาบ้าง กระนั้นก็ยังเกิดความโลเลขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียว แต่กลับหาได้มีคนได้ทันสังเกตเห็นไม่

“ส่วนตัวคน พวกเจ้าก็พาไปเถอะ หวังว่าวันหน้าพวกเจ้าจะสามารถดูแลนางได้เป็นอย่างดี!” เมื่อลั่วหลีกล่าววาจาประโยคนี้จบ ทันใดนั้นพลังสภาวะทั่วร่างก็ได้แปรเปลี่ยนจนเศร้าหมองขึ้นมาบ้าง เสมือนกับก้อนพลังที่แตกระเบิดซ่าน แม้กระทั่งใบหน้าก็ยังซีดเผือดลงเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่าการยอมถอยให้เช่นนี้ ถือเป็นการยอมรับฝืนความต้องการจากใจจริงของนางไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว จนทำให้อาการบาดเจ็บที่เป็นทุนเดิมของนางยิ่งหนักหนาสาหัสดั่งหิมะที่ทับถมลงไป

“ผู้นำผู้อาวุโส……” หรานอวิ่นถิ่งถึงกับเปล่งเสียงจนแทบดุจดั่งกรีดร้องออกมา

แม้ว่าจะมีการคาดเดาอยู่ในใจ แต่หลังจากที่ผู้อาวุโสได้ให้คำตอบ เธอก็ยังคงรับไม่ได้หลังจากที่เอ่ยถึงเงื่อนไขออกมา นางก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก เพียงแค่มองไปที่ซูเหยียนพร้อมกับถอนหายใจออกมายาวๆ ด้วยความเจ็บปวด แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมอีกครั้ง: “นี่เป็นทางเลือกที่เจ้าเลือกเอง ก็จงอย่าได้เสียใจในภายหลังแล้ว!”

ในขณะนี้ ในที่สุดนางก็ตัดสินใจที่จะยอมแพ้ในตัวของซูเหยียน

อย่าพึ่งได้กล่าวว่านางไม่อาจที่จะคลี่คลายจิตใจที่พังทลายไปแล้วของซูเหยียนได้ หรือต่อให้ปล่อยให้ซูเหยียนไว้ในที่แห่งนี้ วันข้างหน้านางก็ยังสามารถที่จะทำอะไรได้ เพียงเพื่อศิษย์เช่นนี้เพียงคนเดียว ได้ทำให้หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นทั่วทั้งสำนักต้องตกอยู่ในจุดวิกฤติ ย่อมไม่คุ้มค่ากันอยู่แล้ว จะบอกว่าเพียงแค่คำสั่งของลั่วหลี นางก็มิอาจที่จะฝ่าฝืนได้อยู่แล้ว

หากใช้ซูเหยียนแลกกับทั้งสำนัก เช่นนั้นนางก็ไม่ต่างอะไรไปจากคนบาปของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นกันแล้ว

นางย่อมไม่ทำเช่นนี้แน่นอน เพียงแค่ความสำคัญระหว่างลูกศิษย์และสำนัก ก็ไม่ควรที่จะนำมาเอ่ยถึงกันแล้ว

นางหลับตาลง หาได้หันไปมองซูเหยียนอีก

“สาสมใจนัก!” ซื่อฮั่วหัวเราะออกมาฮาฮา

หลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดตนเองก็สามารถควบคุมอยู่เหนือกว่าลั่วหลีไว้ได้อย่างสมบูรณ์ การทำให้นางอ่อนน้อมเบื้องหน้าตัวเองได้ แม้ว่าจะเป็นการหยิบยืมชื่อเสียงอำนาจบารมีของหลัวไห่ก็ตาม แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ย่อมนับเป็นสิ่งที่ซื่อฮั่วต้องการเห็นอย่างถึงที่สุด

.

.

.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด