ตอนที่แล้วตอนที่ 1640 ไม่คิดให้ก็ต้องให้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 1642 แรงกดดันของหรานอวิ่นถิ่ง

ตอนที่ 1641 วาจาอันมิถูกชะตา


ตอนที่ 1641 วาจาอันมิถูกชะตา

“เช่นนั้นในครั้งนี้น้องหยางมาเยือนดาววารีสีชาดด้วยเรื่องอันใดอย่างงั้นหรือ?” ปิงหลงจึงได้ถามออกไปอีกครั้ง

“ผ่านทางมาโดยไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น”

“เจ้าทราบหรือไม่ว่าในช่วงหนึ่งปีมานี้นิกายแสงอัคคีได้คอยสืบหาร่องรอยเพื่อตามหาเจ้ามาโดยตลอด?”

“เคยได้ยินมาก่อน”

“เพราะเหตุใดนิกายแสงอัคคีถึงได้ต้องการเสาะหาเจ้ามากถึงเพียงนี้กัน?”

หลังซักถามไปหลายประโยค คำถามของปิงหลงก็ได้ค่อยๆ ถามออกไปตรงๆ ขึ้นมา

หยางไคยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็จิบน้ำชาเข้าไปหนึ่งคำ พร้อมกับเงยหน้าขึ้น : “ไม่ทราบเหมือนกัน!”

“ไม่ทราบงั้นหรือ?” ปิงหลงยิ้มน้อยๆ ครู่หนึ่ง กระนั้นน้ำเสียงก็ได้เปลี่ยนจนกลายเป็นทุ้มต่ำลง : “เช่นนั้นข้าขอถามอีกสักคำถาม ราชาดวงดาวดาวชุยเว่ยใต้เท้าหลัวไห่ได้มาเยือนดาววารีสีชาด ใช่เป็นเพราะมีสาเหตุมาจากเจ้าใช่หรือไม่?”

“ในเมื่อผู้อาวุโสทราบอยู่แล้ว เหตุใดถึงยังถามมากความกันอีกล่ะ?”

ปิงหลงประหลาดใจ : “ใต้เท้าหลัวไห่มาเพราะเจ้าจริงอย่างงั้นหรือ?”

ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะเป็นเพียงแค่การคาดเดาของนาง ถึงอย่างไรหลังจากที่หลัวไห่มาเยือนดาววารีสีชาด ก็ไปเยือนนิกายแสงอัคคีแล้ว ส่วนนิกายแสงอัคคีก็ได้เริ่มเสาะหาร่องรอยของหยางไค เมื่อโยงทุกอย่างนี้เข้าด้วยกัน ก็พอที่จะทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะคาดเดา

คาดเดาก็ส่วนคาดเดา หลังจากที่ได้รับการยืนยันจากหยางไค ปิงหลงก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

หลัวไห่เป็นถึงบุคคลระดับใด? ทอดตามองไปทั่วแดนดารา นั่นถือได้ว่าเป็นเหล่าคนที่จัดอยู่ในอันดับต้นๆ เลยทีเดียว ถึงกับเพียงเพื่อหยางไค มาจากดาวชุยเว่ยเยือนดาววารีสีชาด นี่ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้ขบคิดไม่เข้าใจกันได้เลย

“เพราะเหตุใดกัน?” ปิงหลงไล่ตามต่อ

หยางไคส่ายหน้า ตอบไปด้วยสีหน้าจริงจัง : “เรื่องนี้ผู้เยาว์ก็ไม่อาจตอบได้เหมือนกัน หากผู้อาวุโสต้องการที่จะทราบแล้วละก็ มิสู้ไปถามไถ่ตัวของหลัวไห่เอง”

แววตาของปิงหลงถึงกับเกิดความประหลาดใจขึ้นอย่างลึกซึ้ง

หยางไคถึงกับเรียกแต่เพียงนามของหลัวไห่เท่านั้น! โดยที่แทบจะหาได้มีความเคารพเลยแม้แต่น้อย

ก็พอที่จะทราบอยู่บ้างแล้วว่าการเดินทางของหลัวไห่ในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเขาจะมีความสัมพันธ์อะไรหรือไม่ แต่การแสดงความเคารพต่อผู้ทรงพลัง ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องต้องห้ามที่ถึงอย่างไรก็มีแต่ต้องเพิ่มคำว่าผู้อาวุโสหรือไม่ก็คำว่าใต้เท้านำหน้า

ในข้อนี้ต่อให้แม้แต่ขอบเขตกำเนิดราชันโดยทั่วไปก็ยังไม่มีข้อยกเว้น ปิงหลงถึงแม้จะเป็นถึงจ้าวหุบเขาหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น แต่ก็ยังคงต้องให้ความเคารพโดยการเรียกเขาว่าใต้เท้าหลัวไห่

ส่วนหยางไคกลับมองข้ามสิ่งนี้ไป

ปิงหลงก็ได้คอยสังเกตสีหน้า แล้วถามไปด้วยความประหลาดใจว่า : “เจ้ากับใต้เท้าหลัวไห่มีความแค้นต่อกันงั้นหรือ?”

“ข้าถูกเขาไล่ต้อนจากดาวชุยเว่ยมาจนถึงดาววารีสีชาด ยังดีที่สามารถมีชีวิตรอดมาได้หลายต่อหลายครั้ง ผู้อาวุโสคิดว่าข้ามีความแค้นกับเขาใช่หรือไม่?” หยางไคยิ้มอย่างแผ่วเบา

เขากลับหาได้คิดที่จะปิดบังไม่ เพราะเรื่องเช่นนี้ต่อให้ปิดบังไปก็ไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้อยู่แล้ว

ปิงหลงและหรานอวิ่นถิ่งถึงกับสะท้านไปทั้งร่างในเวลาเดียวกัน ถึงกับอดไม่ได้ที่จะเหม่อมองหยางไค

ผ่านไปได้สักพัก ปิงหลงก็จึงค่อยมีสีหน้าเดิมกลับคืนมา : “เจ้านับว่ามีโชควาสนาที่ไม่เลวเลย ถึงกับสามารถทำให้ใต้เท้าหลัวไห่ลงมือไล่ล่าเอาชีวิตได้!”

“เจ้าและใต้เท้าหลัวไห่มีความแค้นใดต่อกัน พอจะบอกกล่าวรายละเอียดมาบ้างหน่อยหรือไม่!” หรานอวิ่นถิ่งก็ได้โพล่งขึ้นในทันที นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางได้เอ่ยปากนับตั้งแต่มายังที่แห่งนี้ อีกทั้งภายในน้ำเสียงยังหาได้มีกลิ่นอายของการหักล้างทางความคิดอีกด้วย

นี่ถึงกับทำให้หยางไคต้องขมวดคิ้วขึ้น ลอบคิดในใจว่าข้าเองก็ไม่ได้เป็นศิษย์ของหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเสียหน่อย ไยจึงต้องใช้น้ำเสียงกำชับต่อตนเองเพื่อบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกัน?

นางยังคิดว่าหยางไคสามารถอยู่รอดปลอดภัยไร้เรื่องราวได้ โดยที่ทั้งหมดทั้งสิ้นล้วนแต่ขึ้นอยู่กับโชควาสนา หากมิใช่เป็นเพราะสิ่งเหล่านี้ ผู้ที่อยู่ในขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สองเพียงคนหนึ่ง มีหรือที่จะสามารถรอดชีวิตจากเงื้อมมือของผู้ทรงพลังกำเนิดราชันขั้นที่สองได้?

ทว่าเมื่อคิดขึ้นได้ว่านางถึงอย่างไรก็ยังเป็นอาจารย์ของซูเหยียน หยางไคเองก็ไม่พึงควรที่จะชักสีหน้าใส่นาง จึงทำได้แต่เพียงกล่าวไปว่า : “ในข้อนี้ยังคงอย่าได้มีโทสะต่อข้าน้อยเลยถึงอย่างไรก็ไม่อาจแพร่งพรายออกไปได้”

“เจ้าหนู เจ้าใช่ยังไม่กระจ่างแจ้งในสถานการณ์ในตอนนี้กัน? ที่นี่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเกาะสุดขั่วเยือกเย็นข้า เจ้าไปรังควานผู้ทรงพลังอย่างใต้เท้าหลัวไห่เช่นนั้น หากยังอยากที่จะมีชีวิตรอด ก็จงให้เข้าร่วมมืออย่างว่าง่าย มิเช่นนั้นต่อให้เจ้ามีความสามารถจนล้นฟ้าก็ยังที่จะรอดพ้นจากภัยในครั้งนี้ได้!” หรานอวิ่นถิ่งเห็นว่าหยางไคถึงกับไม่รู้จักสถานการณ์จนถึงเพียงนี้ ถึงกับอดไม่ได้ที่ต้องชักสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา

หยางไคที่กำลังมองไปที่นาง ก็ได้หรี่ตาลง พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า : “ท่านผู้อาวุโสคิดที่จะข่มขู่ข้าอย่างงั้นหรือ?”

หรานอวิ่นถิ่งใบหน้าเย็นเฉียบไปชั่วขณะ ในขณะที่กำลังจะกล่าวอะไรออกมา ปิงหลงก็ได้รีบเอ่ยขึ้นในทันที : “ผู้อาวุโสสูงสุดหาได้มีความหมายเช่นนี้ไม่ เพียงแต่ว่าเรื่องนี้กลับไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างแน่นอน ข้าเองก็มีส่วน ที่ได้เรียกเจ้าว่าหยางไคไปแล้ว หยางไค เจ้าถึงแม้จะมีคุณสมบัติในการบ่มเพาะที่ไม่เลว แต่การไปล่วงเกินผู้ทรงพลังต่อใต้เท้าหลัวไห่เช่นนั้น เกรงว่าอนาคตจะต้องเป็นที่น่ากังวลแล้ว”

“ข้าทราบดี” หยางไคพยักหน้าโดยที่หาได้เก็บมาใส่ใจแต่อย่างไร

“ในเมื่อเจ้าเองก็ทราบอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าผู้เป็นเจ้าสำนักก็ไม่ขอกล่าวมากความแล้ว หุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเรามีผู้นำผู้อาวุโสประจำการอยู่ อีกทั้งยังมีการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตกำเนิดราชัน ถึงแม้จะไม่อาจเทียบกับใต้เท้าหลัวไห่ได้ แต่ก็ยังนับว่ามีพลังฝีมือที่ไม่เลว อีกทั้งยังได้เคยพบปะกับใต้เท้าหลัวไห่อยู่หลายต่อหลายครั้ง มิสู้เจ้าลองเล่ารายละเอียดของเรื่องราวออกมา หากว่าเป็นไปได้แล้วละก็ ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักก็จะเรียนเชิญท่านผู้นำผู้อาวุโสออกหน้า ช่วยเจ้าว่ากล่าวสักหลายประโยค เพื่อคลี่คลายวิกฤติในครั้งนี้ เจ้าเห็นเป็นอย่างไรบ้าง?”

ปิงหลงที่ยังอยู่ในสภาพที่จิตใจ ได้ทำให้โทสะในใจหยางไคลดทอนลงบ้าง กระนั้นก็ยังคงส่ายหน้าแล้วตอบ : “เรื่องของข้าน้อยก็มิขอรบกวนเหล่าท่านผู้อาวุโสแล้ว ข้าน้อยจะเป็นคนไปสะสางด้วยตัวเอง”

“เจ้า? เจ้ามีความสามารถอะไรที่จะไปสะสางเรื่องเช่นนี้ได้?” หรานอวิ่นถิ่งราวกับไม่ได้ไม่อาจรอคอยหยางไคตอบได้อีกต่อไปแล้ว เพียงส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันออกมา “เจ้าหนู สุราคารวะไม่ชอบกลับชอบสุราจับกรอก เจ้าไม่ว่าอะไรก็ไม่บอกกล่าว แล้วจะมาหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเราทำไมกัน!”

“มิใช่ว่าหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นคอยตามหาข้ามาโดยตลอดอย่างงั้นหรือ?” หยางไคสาดทอแววตาหันไปมองหรานอวิ่นถิ่ง

หรานอวิ่นถิ่งทอสีหน้าเดือดดาล ภายในกายกลับเดือดพล่านเต็มไปด้วยลมปราณศักดิ์สิทธิ์ เกิดเป็นพลังสูงจนสะท้านไปทั้งฟ้า พร้อมกับปกคลุมเข้าไปที่หยางไค กระนั้นเจ้าเองก็ควรที่จะคิดให้กระจ่าง หากว่าเจ้าเห็นด้วยแล้วละก็ ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักก็จะถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์ ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักจะขอร้องให้ท่านผู้นำผู้อาวุโสออกหน้า เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ของเจ้า”

“ความหวังดีของผู้อาวุโส ข้าน้อยขอรับไว้ด้วยใจแล้ว!” หยางไคตอบไปอย่างเฉยเมย

สนับสนุนผู้แปลได้ที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com ค่ะ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเจ้าก็พักอยู่ที่นี่ไปก่อน เรื่องราวหลังจากนี้……ค่อยว่ากล่าวกันอีกคราเถอะ” ปิงหลงส่งเสียงถอนหายใจออกมา จากนั้นก็หันกายเดินจากไป

หรานอวิ่นถิ่งหันไปจดจ้องหยางไคด้วยความเดือดดาล พร้อมทั้งส่งเสียงดังเหอะแล้วเดินออกไป ในช่วงเวลาที่เดินมาจนถึงหน้าประตูหอ ก็ได้หันกายกลับมาในทันที สาดทอแววตาหันไปมองกดดันหยางไค แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น: “เจ้าหนู เจ้าอย่าได้คิดว่าผู้อาวุโสอย่างข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้ามีเจตนาอะไร ข้ายังคงขอเตือนเจ้ายังคงตายใจต่อเรื่องนี้เอาไว้เสีย ถึงอย่างไรนางก็ต้องเปรียบเสมือนดั่งราชินีหงส์หวนคืนฟ้า มิใช่บุคคลที่คนอย่างเจ้าจะสามารถมาทำให้แปดเปื้อนได้ ทางที่ดีเจ้าเองก็อย่าได้ไปขัดขวางเส้นทางของนางไว้จะดีกว่า!”

หลังจากกล่าวจบ หรานอวิ่นถิ่งก็เรียกได้ว่าแทบจะไม่ให้โอกาสหยางไคได้ตอบโต้ ก็พลันหันกายเดินจากไป

หยางไคทอสีหน้าเฉยชา พร้อมกับยืนอยู่ที่เดิม โดยที่ใช้สายตาส่งนางและปิงหลงจากไป

ทว่าเมื่อได้ยินความหมายในคำพูดของนาง แท้จริงแล้วนางก็ทราบอยู่แล้วว่าตัวเองมีความสัมพันธ์กับซูเหยียนแล้ว ไม่แปลกใจเลยทันทีที่เข้ามาก็ได้มุ่งเป้ามาที่ตัวเองอันเต็มไปด้วยสำนึกความเป็นศัตรูอย่างเต็มเปี่ยมถึงเพียงนี้

คาดว่าคงจะเป็นจิตวิญญาณในการปกป้องศิษย์ พร้อมกับสูดลมหายใจลึกๆ เข้ามาหนึ่งคำ หยางไคเองก็จึงค่อยบังเกิดความเดือดดาลขึ้นในใจ

ว่ากันตามตรง ซูเหยียนสามารถมีอาจารย์ท่านที่คิดแทนนางเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เลวอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าหรานอวิ่นถิ่งผู้นี้กลับมีท่าทีที่ทำให้หยางไคไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง

“ศิษย์น้อง ท่าทีที่เจ้าแสดงออกในวันนี้นับว่าไม่ถูกต้องนัก” ในระหว่างที่หรานอวิ่นถิ่งเดินทางกลับ ปิงหลงก็ได้หันไปมองหรานอวิ่นถิ่งด้วยความสงสัย : “เจ้าใช่ไปทราบอะไรมาบ้างใช่หรือไม่? เหตุใดถึงได้จงเกลียดจงชังหยางไคถึงเพียงนั้นกัน เจ้าเคยรู้จักเขามาก่อนหรือไรกัน?”

“ไม่รู้จัก!” หรานอวิ่นถิ่งส่ายหน้า ไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ถอนหายใจขึ้นอย่างกะทันหัน : “ศิษย์พี่ มิขอปิดบังท่าน หยางไคผู้นี้และซูเหยียนได้เคยรู้จักกันมาก่อน!”

“อ๋อ? พวกเขาทั้งสองมีหรือที่จะไม่รู้จักได้?” ปิงหลงโพล่งออกมาด้วยอาการแตกตื่นตกใจ

“มิใช่ว่าเขาเป็นผู้ที่มาจากทวีปถ่งซ๋วนหรอกหรือไงกัน? ซูเหยียนเองก็จากที่แห่งนั้นงั้นหรือ! ก่อนหน้านี้พวกเขาคล้ายกับมีความสัมพันธ์ศิษย์พี่น้อง อีกทั้ง……”

ปิงหลงขมวดคิ้วดกดำ ราวกับขบคิดอะไรขึ้นมาได้ พร้อมกับกล่าวออกมาด้วยอาการตะลึงลาน: “แท้จริงแล้วพวกเขาก่อนหน้านี้……”

“มิผิด!ไม่แต่เพียงเท่านี้ ซูเหยียนเองก็หาได้เป็นหยกขาวไร้ความด่างพล่อยมาตั้งแต่แรกแล้ว!”

“อะไรกัน?” ในที่สุดสีหน้าของปิงหลงก็ได้แปรเปลี่ยนไปทันควัน พร้อมทั้งกล่าวออกมาด้วยความแตกตื่นตกใจ : “แต่ว่า……แต่ว่าซูเหยียนมิใช่ว่าบ่มเพาะพลังหยกน้ำแข็งอย่างงั้นหรือ? เป็นไปได้อย่างไรที่ไม่ถูกพลังย้อนทวนกัน?”

“ย้อนทวนนั้นได้ย้อนทวนมาแล้ว แต่ก็ตกอยู่ภายใต้การสยบด้วยการบ่มเพาะของซูเหยียน ขอบเขตจิตใจที่ได้เริ่มเกิดความบกพร่อง จิตใจน้ำแข็งที่ได้รับการปัดเป่า!” หรานอวิ่นถิ่งจึงได้กัดฟันแล้วกล่าว : “หากว่าข้าคาดเดาได้ไม่ผิดแล้วละก็ เช่นนั้นเจ้าหนูผู้นั้นที่มุ่งหน้ามาเยือนเกาะสุดขั่วเยือกเย็น ก็เพื่อที่จะมาหาซูเหยียนกันแล้ว เมื่อวานนี้ข้าเองก็ได้พบว่าพวกเขาทั้งสองได้มีพลังในการสื่อสัมพันธ์ผ่านจิตวิญญาณชนิดพิเศษอย่างหนึ่งได้”

สีหน้าของปิงหลงถึงกับเปลี่ยนแปลงกลับกลาย พร้อมกับพึมพำกล่าวขึ้นว่า : “พวกเขาทั้งสองถึงกับสามารถสื่อสัมพันธ์กันผ่านจิตวิญญาณได้ เช่นนี้มิใช่ว่ามีจิตใจที่สื่อวิญญาณของคู่รักกันอย่างงั้นหรือ? ดูเหมือนว่าความสามารถระหว่างพวกเขาจะไม่ธรรมดาสามัญกันแล้ว หากว่าเป็นเช่นนี้แล้วละก็ เช่นนั้นในอนาคตของซูเหยียนมิใช่ว่าต้องถูกตัดรอนไปแล้วหรือไรกัน?”

“ยังพอที่จะมีวิธีแก้ไขอยู่!” ภายในแววตาของหรานอวิ่นถิ่งพลันทอความโหดเหี้ยมออกมา

เมื่อได้หันไปมองสีหน้าของนาง ปิงหลงเองก็คล้ายกับทราบความคิดได้ในทันที จึงค่อยได้ส่ายหน้าแล้วตอบ : “ยังคงอย่าได้ทำเช่นนี้ก่อน การมาเยือนของใต้เท้าหลัวไห่ หากว่าเขาเกิดตายลงในตอนนี้ เช่นนั้นหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นเราก็คงจะไม่มีอะไรบอกกล่าวต่อใต้เท้าหลัวไห่ได้แล้ว อีกทั้ง วิธีเช่นนี้ก็ยังไม่สามารถรับรองได้ว่า หากเกิดกลายเป็นว่าซูเหยียนเกิดเกลียดชังเจ้าขึ้นมาละ……”

“จะเกลียดชังไปก็ไม่มีปัญหา!” หรานอวิ่นถิ่งเพียงหัวเราะดังเหอะเหอะออกมา ภายในรอยยิ้มยังได้เผยความคลุ้มคลั่งออกมา : “มิขอปิดบังศิษย์พี่ ชั่วชีวิตนี้ของข้าคงจะไม่มีความหวังที่จะสำเร็จสู่ขอบเขตกำเนิดราชันได้อีกแล้ว แต่ซูเหยียนกลับมีคุณสมบัติเช่นนี้อยู่ สิ่งที่ข้ามิอาจทำได้ ข้ากลับคาดหวังว่านางจะสามารถทำได้! ขอเพียงแค่นางสามารถก้าวไปจนถึงขั้นนั้น ต่อให้เกลียดชังข้าไปแล้วจะเป็นอย่างไร? ถึงอย่างไรก็ย่อมต้องมีสักวัน ที่นางจะสามารถเข้าใจได้ ว่าสิ่งที่ข้าทำลงไปนั้นล้วนแต่หวังดีต่อนาง!”

“ศิษย์น้อง……” ปิงหลงเหม่อมองไปที่นาง ทันใดนั้นก็ได้ถอนหายใจออกมา อีกทั้งยังทอสีหน้ามลหมอง

การที่หรานอวิ่นถิ่งกล่าวมาว่าตนไม่มีความหวังที่จะเลื่อนขั้นเข้าสู่ขอบเขตกำเนิดราชัน นางเองก็มิใช่ว่าไม่เคยทดสอบมาก่อนไม่? ภายใต้ขอบเขตที่เหนือกว่าขอบเขตหวนกำเนิดขั้นที่สามระดับสูงสุด ที่เรียกได้ว่าติดอยู่ในขั้นนี้มาหลายปีแล้ว หลายต่อหลายครั้งที่คิดจะก้าวข้ามขอบเขตนี้ ล้วนแล้วแต่ต้องพบเจอกับความล้มเหลว จนแทบจะไม่อาจเข้าถึงความลี้ลับซ่อนเร้นที่อยู่ภายในขอบเขตกำเนิดราชันได้เลย

ประจวบกับหากเป็นไปตามที่หรานอวิ่นถิ่งบอกมาทั้งหมด ชั่วชีวิตนี้ของพวกนางก็แทบจะไม่อาจที่จะก้าวข้ามพ้นทวารด่านอย่างขอบเขตกำเนิดราชันกันได้เลย นอกเสียจากว่าจะพบพานกับวาสนาที่พลิกฟ้า จึงจะสามารถก้าวข้ามขอบเขตนี้ไปได้!

ปิงหลงเองก็เข้าใจถึงความในใจของหรานอวิ่นถิ่ง แต่กลับรู้สึกว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปแล้วละก็ ย่อมมิใช่เรื่องดีแน่นอน ยังคงทำได้แต่เพียงกล่าวกำชับเท่านั้น : “เรื่องนี้ขอให้ข้าได้ไตร่ตรองอย่างละเอียดก่อน เจ้ายังคงอย่าได้ทำอะไรผลีผลามไป!”

“ข้าทราบดี”

ในขณะที่เดินหน้ากันต่อไปได้สักระยะ ทั้งสองก็ได้แยกย้ายกัน

หรานอวิ่นถิ่งได้มุ่งหน้าไปยังทางด้านที่พำนักของซูเหยียน นางยังจำเป็นที่จะต้องสนทนาอย่างเปิดใจกับศิษย์กันสักครา เพื่อให้นางได้รับทราบถึงความเป็นนิรันดร์ของวิถี ความรักระหว่างชายหญิงล้วนแต่ทว่าเป็นเพียงแค่หมอกควันบังตาเท่านั้น แทบจะไม่ควรค่าที่จะเก็บมาขบคิด

ไม่นานนัก หรานอวิ่นถิ่งก็ได้มาถึงแล้ว ในที่ห่างไกลออกไป นางก็ได้พบเห็นศิษย์ผู้หนึ่งที่กำลังสนทนากับซูเหยียนอยู่ที่นอกเรือนน้ำแข็ง ในขณะที่กำลังดูว่าทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ อีกทั้งยังมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความวิงวอน

จนกระทั่งเมื่อได้เดินเข้ามาใกล้ หรานอวิ่นถิ่งจึงค่อยได้พบว่า ชิงเหยาผู้นี้ก็คือศิษย์ที่ได้มาเยือนหุบเขาหฤทัยเยือกเย็นพร้อมกับชิงเหยานี้เอง

ภาพของศิษย์คนนี้ที่สลักอยู่ภายในความทรงจำของหรานอวิ่นถิ่ง ถึงอย่างไรเมื่อในสมัยก่อนที่นางได้พาซูเหยียนกลับมาเยือนหุบเขาหฤทัยเยือกเย็น ชิงหย่าก็ได้ติดตามมาด้วย เพียงแต่ว่ากลับมีคุณสมบัติที่ไม่อาจเทียบกับซูเหยียนได้ ดังนั้นจึงทำได้แต่พำนักอยู่ที่นอกเกาะเท่านั้น

เมื่อได้พบว่าหรานอวิ่นถิ่งได้เข้ามา ชิงหย่าและศิษย์สตรีสองนางนั้นก็ได้หยุดสนทนากันโดยพลัน พร้อมกับหันไปยังอีกทางด้านหนึ่ง จากนั้นก็ได้ผสานมือคารวะแล้ว : “ศิษย์น้อมคารวะผู้อาวุโสสูงสุด!”

.

.

.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด