267 - มุ่งหน้าสู่รังของศัตรู
267 - มุ่งหน้าสู่รังของศัตรู
การเสียชีวิตของอลิกุจินสร้างความโกลาหลให้แก่โจรวายุทมิฬ
เอี้ยนลี่เฉียงผู้ซึ่งปล่อยลูกธนูออกไป ได้ซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ
เขาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด ผ่านช่องว่างเล็กๆบริเวณซอกหิน เขาสังเกตเห็นสถานการณ์ที่วุ่นวายในกองทัพของโจรวายุทมิฬ
จังหวะการรุกของพวกโจรยุ่งเหยิง บรรดาผู้ที่พุ่งเข้าหาป้อมปราการต่างหันหลังกลับ และผู้ที่ต่อสู้กับเหลียงอี้เจี๋ยและคนอื่นๆก็ถอนตัวออกมา
โจรวายุทมิฬทั้งหมดเริ่มค้นหารอบๆ อย่างบ้าคลั่งราวกับแตนแตกรัง ยังไม่มีใครสามารถหาที่มาของลูกศรได้
หลังจากปล่อยลูกธนูออกไปจากระยะประมาณ 300 วาเอี้ยนลี่เฉียงยังคงอยู่ในความมืด สิ่งนี้ทำให้เหล่าโจรวายุทมิฬเริ่มคุ้มคลั่ง
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงปล่อยลูกศรเขาก็เล็งไปที่คอของอาลิกูจิน เพราะแม้ว่าเขาจะขี่ม้า แต่เขาก็หันศีรษะไปมา ดังนั้นแม้หลังจากเขาถูกยิง
โจรวายุทมิฬคนอื่นๆก็มีปัญหาในการระบุทิศทางที่ลูกศร
เพื่อไม่ให้เปิดเผยตำแหน่งตัวเอง เอี้ยนลี่เฉียงได้ควบคุมพลังของลูกศรนั้นเพื่อไม่ให้เสียงแหวกอากาศของมันดังมากเกินไป
ชีวิตเดียวที่เขาต้องการคือชีวิตของอลิกูจิน ถ้าเขาดึงคันธนูจนสุดในตอนนั้นคนทั้งกองทัพก็จะแห่เข้ามาฆ่าเขาอย่างแน่นอน
เอี้ยนลี่เฉียงพิจารณาอย่างรอบคอบถึงจุดซ่อนของเขาหลังจากปล่อยลูกศรนั้น เขาต้องหาที่กำบังที่มองไม่เห็นจากภายนอก ดังนั้นเขาจึงซ่อนตัวเองทั้งหมดไว้ใต้หินก้อนใหญ่
การพิจารณาของเอี้ยนลี่เฉียงนั้นถูกต้อง เพราะหลังจากที่กลุ่มโจรเริ่มเกิดความวุ่นวายพวกเขาก็แยกตัวมาในทิศทางนี้
แต่ด้วยที่เป็นเวลายามค่ำคืนไม่ว่าพวกโจรจะค้นหาอย่างไรมันก็ไม่มีทางที่จะค้นหาเขาพบ
โจรวายุทมิฬสองสามคนถึงกับโยนคบไฟที่กำลังลุกไหม้ไปยังซากปรักหักพังที่เอี้ยนลี่เฉียงซ่อนอยู่ด้านหลังเพื่อให้แสงสว่างแก่พื้นที่
คบเพลิงที่ใกล้ที่สุดวางอยู่ห่างจากเอี้ยนลี่เฉียงเพียง 20 วาขณะที่ไฟลุกไหม้ด้วยเสียงแตกร้าวท่ามกลางซากปรักหักพัง
เนื่องจากพวกเขาไม่พบเป้าหมายที่แน่นอน โจรวายุทมิฬจึงออกไปหลังจากค้นหารอบปริมณฑลของพื้นที่หินที่เชิงเขา
เอี้ยนลี่เฉียงยังคงนิ่งอยู่เพราะเขามองเห็นนกฮูกตัวนั้นยังคงกระพือปีกค้นหาอยู่ด้านบนท้องฟ้าและเริ่มบินไปทางกลุ่มโจรวายุทมิฬ เมื่อสังเกตเห็นความโกลาหลนกฮูกบินวนอยู่เหนือกลุ่มโจรที่วุ่นวายก่อน จากนั้นจึงเริ่มมองหาทุกแห่งหน
นกฮูกบินต่ำมาก มันอยู่เหนือพื้นดินหลายสิบเมตร ดูเหมือนต้องการจะมองเห็นพื้นดินให้ชัดขึ้น
เอี้ยนลี่เฉียงซ่อนตัวอยู่ใต้หินก้อนใหญ่ กลั้นหายใจด้วยสมาธิอย่างมาก แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นนกฮูกตัวนั้น แต่เขาก็สามารถได้ยินเสียงปีกของมันกระพือในสายลมยามค่ำคืน
หลังจากนั้นสักครู่เสียงกระพือปีกจากปีกของนกฮูกก็จางหายไปจากหูของเอี้ยนลี่เฉียง เอี้ยนลี่เฉียงยังคงรอคอยอีกสักพักหลังจากนั้นเขาค่อยคลานออกมาจากหลุมที่ซ่อนตัวอยู่
ท้องฟ้าว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์
ดูเหมือนว่านกฮูกจะไม่อยู่รอบๆภูเขาเล็กๆแห่งนี้แล้วมันคงกำลังค้นหาในบริเวณอื่น
เอี้ยนลี่เฉียงคลานออกมาจากใต้หินก้อนใหญ่ เขามองไปในระยะไกลและตระหนักว่านกฮูกได้บินไปยังภูเขาอื่นแล้วและกำลังบินวนอยู่ด้านบน
เอี้ยนลี่เฉียมองเห็นนกฮูกได้ง่ายมาก ต้องขอบคุณดวงจันทร์ที่ส่องแสงลงมาทำให้ทัศนวิสัยของเขาค่อนข้างจะชัดเจน
ผ่านไปอีกสิบนาที โจรวายุทมิฬที่คุ้มคลั่งก็ค้นหาทุกบริเวณอีกครั้ง หลังจากล้มเหลวในการติดตามเอี้ยนลี่เฉียง พวกเขาก็ดับไฟที่กำลังลุกไหม้และถอยออกไปพร้อมกับศพของอาลิกูจิน
อย่างไรก็ตามนกฮูกตัวนั้นยังคงวนเวียนอยู่บนท้องฟ้าและไม่จากไปในทันที หลังจากวนไปรอบๆอีกสิบนาทีและไม่พบสิ่งใหม่ๆมันก็บินไปยังป่าที่อยู่ไกลออกไป
เมื่อเห็นว่านกฮูกออกไปในที่สุด เอี้ยนลี่เฉียงก็ยืนขึ้นจากซากปรักหักพัง เขาจ้องมองไปยังทิศทางที่นกฮูกและขมวดคิ้ว
เอี้ยนลี่เฉียงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะกัดฟันและเริ่มวิ่งไปยังที่ที่นกฮูกหายตัวไป
นับตั้งแต่เขาค้นพบนกฮูกตัวนั้น เอี้ยนลี่เฉียงมีความสามารถที่จะสังหารมันก่อนที่มันจะตรวจพบเขา แต่อย่างไรก็ตามเขาต้องการที่จะค้นหาใครบางคนที่ควบคุมมันอยู่
ความรู้สึกของการถูกสอดแนมเป็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกยากที่จะรับ ในช่วงสองสามวันนี้ เอี้ยนลี่เฉียงมักจะรู้สึกราวกับว่ามีดวงตาคู่หนึ่งคอยเฝ้าดูเขาและกองทหารของซุนปิงเฉินอยู่เสมอ
ตอนนี้เขาสามารถหาเบาะแสได้แล้ว เขาต้องการจะลงลึกในประเด็นนี้โดยธรรมชาติ
เนื่องจากนกฮูกตัวนั้นไม่มีตาบนหลังของมัน แน่นอนว่ามันไม่ได้สังเกตว่ามีใครบางคนกำลังเฝ้าดูและวิ่งไล่ตามมันอยู่บนพื้นข้างหลัง
อาจกล่าวได้ว่าเอี้ยนลี่เฉียงกำลังวิ่งด้วยสุดกำลังของเขา เขาใช้กำลังทั้งหมดของเขาและวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขายังผลักดันเก้ากระบวนท่าเงาสายลมจนถึงขีดสุดอีกด้วย
ความรู้สึกของการวิ่งต้านลมกลางคืนในสภาพที่เสื้อผ้ารองเท้าเปียกโชกมันไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไหร่
ในตอนแรกเอี้ยนลี่เฉียงยังคงรู้สึกหนาวเล็กน้อย แต่เมื่อร่างกายของเขาเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆเสื้อผ้าเปียกที่เขาสวมอยู่ก็เหมือนกับถูกโยนเข้าไปในเครื่องอบผ้า
พวกมันถูกเขาเป่าและย่างพร้อมกัน ดังนั้นพวกมันจึงเริ่มแห้ง
แม้ว่าเอี้ยนลี่เฉียงจะไล่ตามนกฮูกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้บนพื้น แต่ระยะห่างของพวกเขายังคงเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
สองพันวา… สามพันวา… สี่พันวา…
หลังจากวิ่งไปครึ่งชั่วยาม ขาของเอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะระเบิด เขาไม่เคยวิ่งในระยะไกลมากถึงขนาดนี้ ถึงกระนั้น ขนาดของนกฮูกก็ยังคงค่อยๆ ลดลงจากสายตาของเขา
มันเคลื่อนห่างออกไปเรื่อยๆจากเขา ในที่สุดก็กลายเป็นจุดสีดำที่มองเห็นได้ชัดเจนบนท้องฟ้า
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกว่าเขากำลังจะยอมแพ้และไม่ไล่ตามต่อ แต่ทันใดนั้นนกฮูกก็ร่อนลงที่หลังเนินแห่งหนึ่ง
เอี้ยนลี่เฉียงจึงทำได้เพียงกัดฟันและวิ่งไปยังเนินเขาเหล่านั้นต่อไป
จู่ๆก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ เขาสงสัยว่าถ้าเขาฝึกฝนคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นหลังจากหมดแรงในการวิ่งในครั้งนี้ ขาของเขาจะแข็งแรงขึ้นและด้วยเหตุนี้จะเป็นการปรับปรุงวิชาตัวเบาหรือไม่?
ความคิดดังกล่าวทำให้เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกตื่นเต้นอยู่ครู่หนึ่ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตรงหน้าเตือนเขาว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะทดสอบความคิดนี้
เอี้ยนลี่เฉียงจึงเพ่งสมาธิไปที่เหตุการณ์ปัจจุบันพร้อมกับที่เท้าของเขายังคงวิ่งต่อไป
เอี้ยนลี่เฉียงยังคงวิ่งต่อไปด้วยกำลังทั้งหมด อย่างไรก็ตามแสงสีเขียวสองสามดวงในถิ่นทุรกันดารสังเกตเห็นเอี้ยนลี่เฉียงและกำลังพุ่งเข้ามาล้อมเขาอย่างเงียบๆ
ขณะวิ่งเอี้ยนลี่เฉียงก็หยิบคันธนูออกมาแล้วเคาะลูกศรยิงใส่สิ่งมีชีวิตพวกนั้น
"ไปนรกซะ…!"
เอี้ยนลี่เฉียงสาปแช่งและส่งลูกศรของเขาบินไปราวกับสายฟ้า แสงสีเขียวสองลูกที่อยู่ใกล้เขาที่สุดส่งเสียงคำรามด้วยความปวดร้าวเมื่อลูกศรของเอี้ยนลี่เฉียงพุ่งเข้าไปในปากมัน
หลังจากนั้นแสงสีเขียวอีกสองสามแห่งก็เสียงเสียงกรีดร้องแล้วกระจัดกระจายหายไป
เสื้อผ้าของเอี้ยนลี่เฉียงถูกทำให้แห้งด้วยความร้อนจากร่างกายก่อนจะเปียกโชกอีกครั้งจากเหงื่อที่ออกมาจากร่างกายของเขา
เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกว่าขาของเขาอ่อนเปลี้ยเหมือนบะหมี่ และปอดของเขาก็รู้สึกเหมือนกับมีถ่านที่คุกรุ่นอยู่สองสามอันถูกยัดเข้าไป ในที่สุดเขาก็มาถึงเนินเขาที่นกฮูกตัวนั้นบินลงมา