ตอนที่แล้วWS บทที่ 158 ดวงตาแห่งความมืด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปWS บทที่ 160 นานแล้วนะที่ไม่ได้เจอกัน

WS บทที่ 159 สร้างสำเร็จ


ในเมืองเดอตัส เมอร์ลินสั่งให้ชาบิลป้องกันไม่ให้ใครมารบกวนเขา

เมอร์ลินเริ่มต้นในขั้นตอนสุดท้ายในการสร้างคาถาระดับหนึ่งของเขา

โดยคาถาที่เขากำลังจะสร้างก็คือรูปปั้นผู้พิทักษ์ซึ่งถูกสร้างใหม่โดยเดอะเมทริกซ์ซึ่งมันมีความซับซ้อนพอ ๆ เพลิงพิโรธในตอนนั้น

ก่อนหน้านี้ พลังจิตของเมอร์ลินยังไม่ถึงระดับสองและคาถาระดับศูนย์ทั้งหก มันได้ใช้พลังจิตไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว ดังนั้นทำให้การสร้างเพลิงพิโรธในตอนนั้นถึงล้มเหลว

ถ้าเขามีเพียงสี่คาถา เขาอาจจะสร้างคาถาระดับหนึ่งได้สำเร็จ อย่างไรก็ตามมันก็มีข้อดีและข้อเสีย

ถ้าเขาสามารถเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่งได้ ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นมากแต่สำหรับนักเวทย์หกธาตุ แม้ว่ามันจะมีข้อเสียอยู่บ้างแต่มันก็แลกมาด้วยศักยภาพที่ทรงพลังที่เหนือกว่านักเวทย์ธรรมดาอย่างเทียบไม่ติด

สำหรับระยะเวลาการจำลองคาถา คาถาระดับศูนย์ใช้เวลาเพียงสองหรือสามชั่วโมงเท่านั้นเนื่องจากโครงสร้างของมันไม่ซับซ้อนมาก

อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่กับเพลิงพิโรธกับรูปปั้นผู้พิทักษ์ ด้วยความซับซ้อนของมันทำให้เขาเริ่มต้นจำลองที่ละส่วนอย่างช้า ๆ

เวลาได้ผ่านพ้นไปรูปร่างโมเดลสามมิติของโครงสร้างเวทมนต์คาถารูปปั้นผู้พิทักษ์ได้ปรากฏบนจิตใต้สำนึกของเขา

หากเมอร์ลินไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเดอะเมทริกซ์ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสร้างโครงสร้างเวทมนต์ที่ซํบซ้อนขนาดนี้ขึ้นมาได้ เมอร์ลินรู้ตัวดีว่าหากเขาไม่มีเดอะเมทริกซ์ เขาก็คงไม่มีทางเป็นนักเวทย์ได้

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพลังจิตหรือการสร้างโครงสร้างเวทมนต์ เขาพึ่งพามันเสมอมา เขาต้องขอบคุณมันจริง ๆ ที่ทำให้เขากลายเป้นนักเวทย์หกธาตุที่แข็งแกร่งในตอนนี้

เวลาได้ผ่านพ้นไป หนึ่งชั่วโมง สามชั่วโมง ห้าชั่วโมง สิบชั่วโมง

วันเวลาได้ผ่านพ้นไป เมอร์ลินยังคงจำลองคาถารูปปั้นผู้พิทักษ์ ตอนนี้มันได้มาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว

ในตอนคาถาเพลิงพิโรธ เขาได้มาถึงเพียงแค่ตรงนี้แต่ด้วยพลังจิตที่ไม่เพียงพอ เขาจึงล้มเลิกไปแต่ในครั้งนี้เขามีพลังจิตถึงขั้นสองแล้ว ด้วยพลังจิตที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เขาจึงไม่รู้สึกเหนื่อยแม้ว่าเขาจะทำการจำลองคาถาต่อเนื่องเป็นเวลาสองหรือสามวัน

*บูม*

ทันใดนั้น เมอร์ลินได้ตัวสั่น การจำลองคาถารูปปั้นผู้พิทักษ์ผ่านไปด้วยดี ทันใดนั้นพายุพลังธาตุดินได้โหมกระหน่ำเข้ามาในตัวเขาอย่างไร้จุดสิ้นสุด

หากสร้างโครงสร้างเวทมนต์สำเร็จแล้ว มันจะดูดพลังธาตุเข้าไปเพื่อสะสมพลังเวทย์อัตโนมัติ ถ้าต้องการเพิ่มพลังเวทย์อย่างเร่งด่วนสามารถใช้หินธาตุอันล้ำค่าได้

เมอร์ลินลืมตาขึ้นมาและเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย

“ในที่สุด ฉันก็ทำสำเร็จ ฉันสร้างคาถาระดับหนึ่งได้แล้ว!”

แม้ว่านี่จะเป็นเพียงคาถาระดับหนึ่งอันแรกของเมอร์ลินแต่มันก็เป็นก้าวแรกที่สำคัญของเขา คาถาระดับหนึ่งนั้นแตกต่างจากคาถาระดับศูนย์โดยสิ้นเชิง หากบอกว่ามันแตกต่างราวกับฟ้ากับเหว มันก็ไม่ได้เป็นการเกินกล่าวจริงนัก

เมอร์ลินได้ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเวทมนต์คาถารูปปั้นผู้พิทักษ์อย่างใกล้ชิด

ในไม่ช้า เขาก็สังเหตเห็นความไม่สมดุลระหว่างโครงสร้างเวทมนต์ทั้งหมดของเขา สาเหตุมาจากการสร้างโครงสร้างเวทมนต์คาถาระดับหนึ่ง รูปปั้นผู้พิทักษ์

เขาหวังว่าอาการแบบนี้จะเป็นเพียงแค่ชั่วคราว หากเกิดความไม่สมดุลในระยะยาวอาจก่อผลเสียร้ายแรง ทำให้คาถาที่มีอยู่ดั้งเดิมแตกสลายได้

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีนักเวทย์หลายคนนำให้เมอร์ลินจำลองคาถาทันทีที่ เขาทำการสร้างคาถาสำเร็จ

เมอร์ลินได้ตรวจสอบโครงสร้างเวทมนต์ของคาถารูปปั้นผู้พิทักษ์และพบว่ามันก็มีขอบสีเทาแบบที่คาถาอื่น ๆ ที่เขามี นี่แสดงว่ามันสามารถร่ายแบบเสริมพลังหลังจากที่ถูกร่ายสามครั้งได้

ก่อนหน้านี้เขากังวลว่าเอฟเฟ็คนี่จะหายไป อย่างไรก็ตาม เมื่อได้รู้ผลลัพธ์เช่นนี้ เขาก็รู้สึกโล่งอก

หลังจากนั้นเขาได้เร่งสะสมพลังเวทย์ในโครงสร้างเวทมนต์ด้วยหินธาตุธาตุดิน

...

ผ่านไปหนึ่งเดือน ในที่สุดเมอร์ลินก็ออกจากห้องของเขา แม้ภายนอกเขาดูไม่ต่างเมื่อก่อนแต่ภายในเขาได้สร้างคาถาระดับหนึ่งที่เป็นก้าวแรกที่ไปนำสู่นักเวย์ระดับหนึ่งเรียบร้อยแล้ว

“พ่อมดเมอร์ลิน ในที่สุดท่านก็ออกมาจากห้องของท่านแล้ว”

ชาบิลที่เฝ้ารอนอกห้องของเมอร์ลินทุกวัน เมื่อเขาพบว่าเมอร์ลินออกมาจากห้องเขาก็เข้ามาหาเมอร์ลินทันที

“หื้ม คุณชาบิล มีอะไรรึเปล่า?”

ก่อนหน้านี้เมอร์ลินได้สะสมพลังเวทย์สำหรับคาถารูปปั้นผู้พิทักษ์ด้วยหินธาตุในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตอนนี้เขาสามารถร่ายคาถาได้มากกว่าสามสิบครั้ง

ด้วยจำนวนเท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับการต่อสู้ธรรมดา เมอร์ลินจึงหยุดสะสมพลังเวทย์และให้มันสะสมต่อโดยธรรมชาติ แม้ว่าเขาจะมีหินธาตุที่มากพอแต่เขาไม่คิดที่จะใช้มันโดยเปล่าประโยชน์

ส่วนโครงสร้างเวทมนต์ที่สะสมพลังเวทมาอย่างยาวนานอย่างลูกไฟกับแช่แข็ง ตอนนี้พลังเวทย์ได้สะสมมาถึงขีดสุดแล้วโดยที่เขาสามารถร่ายออกมาได้ถึง 90ครั้งในครั้งเดียว

โครงสร้างเวทมนต์แต่ละอันมีความจุสูงสุดไม่เหมือนกัน แม้ว่าเขาจะสามารถร่ายคาถาออกมาได้ไม่ถึงร้อยครั้งแต่ตัวเลขนี้ค่อนข้างน่ากลัว โดยคาถาระดับศูนย์ทั่วไปมันมีความจุได้เพียง 30ครั้ง หรือบางอันก็ทำได้ถึง 40 50ครั้ง

การที่ร่ายเวทย์ออกมาได้มากกว่าร้อยครั้งนั้น ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเดอะเมทริกซ์ที่ทำให้เขาได้โครงสร้างเวทมน์ที่ยอดเยี่ยมมาก หากคำนวณด้วยตัวเอง เขาไม่มีทางได้โครงสร้างที่มีประสิทธิภาพได้ขนาดนี้อย่างแน่อน

ชาบิลคงไม่รู้ว่าเมอร์ลินคิดอะไรอยู่ เขาชำเลืองมองอย่างระมัดระวังและพูดออกมาว่า “คือว่า...ท่านบารอนแห่งเมืองเดอตัส ท่านได้ยินว่าพ่อมดเมอร์ลินอยู่ที่นี่ดังนั้นเขาจึงต้องการจะพบท่านเมอร์ลิน ถ้าท่านไม่รัง...”

ก่อนที่ชาบิลจะพูดจบประโยค สีหน้าของเมอร์ลินมืดลงทันที เขาตวัดสายตาและพูดอย่างเย็นชาทันทีว่า “คุณทำข้อมูลของฉันรั่วไหลงั้นหรือ?”

ชาบิลรู้สึกเสียวสันหลังทันทีและพยายามระงับความกลัวในมจของเขา ในขณะที่เขาปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

“ไม่ ไม่ พ่อมดเมอร์ลิน ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้เป็นคนพูดเรื่องของท่าน เนื่องจากกองกำลังป้องกันเมืองเดอตัสได้พบศพของโจรจำนวนมากในป่าเมเปิ้ล หลังจากที่พวกเขาทำการสืบสวน พวกเขาได้ทราบเรื่อง ท่านเมอร์ลินโปรดให้อภัยให้ข้าด้วย”

เมอร์ลินขมวดคิ้ว ชาบิลเป็นเพียงพ่อค้า ดังนั้นชาบิลต้องการพึ่งพาตัวตนของเมอร์ลินฐานะนักเวทย์เพื่อปกป้องตัวเอง

เมอร์ลินไม่สนใจเรื่องนั้น เขาไม่อย่างหาเรื่องยุ่งยากมาเข้าตัว

“ฉันจะไม่ไปพบเขา ฉันจะออกจากเดอตัสเร็ว ๆ นี้ และก็เรียกเอ็มม่ามาหาฉันด้วย”

หลังจากนั้นเมอร์ลินก็เงียบหยุดชั่วคราวและตวัดสายตามองชาบิลอย่างเย็นชา

“คุณชาบิล ฉันหวังว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นอีก”

ชาบิลพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกเหมือนสายตาของเมอร์ลินสามารถมองผ่านความคิดของเขาได้ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเมอร์ลินกำลังจะออกจากเมืองเดอตัสไปแต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากทำตามที่เขาสั่ง

ผ่านไปสักพัก ชาบิลได้พาเอ็มม่ามาที่บ้านพักของเมอร์ลิน เขาได้ใช้พลังจิตตรวจสอบเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะสัมผัสได้ถึงพลังจิตของเขา นั่นทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ

หลังจากที่เขาพบว่าพลังจิตของเอ็มม่ามาถึงให้ระดับที่จะเป็นนักเวทย์ได้ แม้ว่าจะห่างไกลกับการเป้นนักเวทย์ระดับหนึ่งแต่อย่างน้อยเธอก็สามารถสร้างคาถาระดับศูนย์หนึ่งหรือสองคาถา

“คุณชาบิลออกไปก่อน ฉันมีอะไรจะพูดกับเอ็มม่า”

ชาบิลพยักหน้าด้วยความเคารพและเดินออกจากบ้าน เขาสั่งทุกคนไม่ให้เข้าใกล้บ้านพักของเมอร์ลิน

หลังจากชาบิลออกไปแล้ว เมอร์ลินได้เผยรอยยิ้มออกมาและพูดว่า

“เอ็มม่า เธอต้องการเป็นนักเวทย์หรือไม่?”

“นักเวทย์? แบบเดียวกับท่านที่มีพลังที่แข็งแกร่ง?”

เมอร์ลินพยักหน้า “ถูกต้อง ตราบใดที่เธอสร้างโครงสร้างเวทมนต์ทีละขั้นตอน เธอก็จะแข็งแกร่งได้เหมือนกันฉัน”

สายตาของเอ็มม่าเผยให้เห้นความตื่นเต้นของเธอ จากนั้นเธอพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันก็สามารถเอาชนะพวกโจรเหล่านั้นและปกป้องท่านพ่อ ท่านแม่ได้ ฉันอยากจะเป็นนักเวทย์ ฉันหวังว่าท่านจะช่วยฉันได้”

เมอร์ลินยิ้มเบา ๆ เขาคิดว่าเด็กสาวคงไม่เข้าใจความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนักเวทย์ว่ามันเป็นอย่างไร ถ้าหากเธอเป็นนักเวทย์ระดับเริ่มต้น ด้วยพลังเพียงเท่านี้ มันก็มากพอที่จะจัดการกองโจรพวกนั้นได้

ด้วยสาวตาที่แน่วแน่ของเอ็มม่าทำให้เขาหวนนึกถึงตอนที่อยู่แบล็กวอเตอร์ ในตอนที่เขาได้รับตำราเวทมน์จากชายชราอีธาน เขาปรารถนาที่จะเป็นนักเวทย์เพื่อความแข็งแกร่งและปกป้องครอบครัวของเขา

“การเป็นนักเวทย์มันไม่ง่ายเลย ก่อนอื่นเธอต้องเรียนรู้วิธีสร้างโครงสร้างเวทมนต์ซะก่อน”

เมอร์ลินตัดสินใจจะให้โอกาสเด็กสาวคนนี้และเธอก็มีคุณสมบัติที่จะเป็นนักเวทย์ด้วย

“ฉันจะออกจากเมืองเดอตัสในอีกไม่ช้าแต่ก่อนที่ฉันจะจากไป ฉันจะมอบคาถาระดับศูนย์ทั้งสามอันให้กับเธอและจะทิ้งบันทึกที่ฉันเขียนไว้ให้กับเธอด้วย ในอีก 3ปีฉันจะกลับมาหาเธอ ถ้าเธอสามารถสร้างคาถาเหล่านี้ได้ ฉันจะพิจารณารับเธอเป็นลูกศิษย์ของฉัน”

เมอร์ลินเชื่อว่าเอ็มม่าเป็นเด็กสาวที่มีพรสวรรค์ แม้เขาจะไม่อยู่ที่นี่สอนเอ็มม่าแต่เธอก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง

เขาได้มอบคาถาระดับศูนย์ ลูกไฟ, แช่แข็งและโล่ปฐพีให้กับเอ็มม่า เธอนั้นโชคดีกว่าเมอร์ลินที่ได้รับแหวนจากชายชราอีธานในตอนนั้น

“เอาล่ะ กลับไปหาคุณชาบิลได้แล้ว วันนี้ฉันจะออกจากเมืองเดอตัส”

หลังจากเมอร์ลินจัดเตรียมทุกอย่างให้เอ็มม่าและของเขาเสร็จแล้ว เขาก็พร้อมที่จะจากเมืองนี้ไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด