ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่2 กองกำลังใหม่เริ่มเดินทัพ

ตอนที่1 โมโลตอฟ


หลังเหตุการณ์ในวันนั้น แนวรบตะวันตกแตกสิ้นแล้ว เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เพราะรู้แบบนั้นแหละถึงได้ขอให้คนขับ BT-5 เปลี่ยนเส้นทางลงใต้เพื่อไปเจอกับทีมอื่นๆ เมื่อไปถึงพวกเราเองก็ได้รับการช่วยเหลือเป็นอย่างดี

แต่ก็เพราะแบบนั้นมันเป็นเพียงอดีตที่ผ่านมาได้ปีกว่าๆแล้ว ตอนนี้น่ะเหรอ?

‘ปรี๊ดดดดดดด...ปรี๊ดดดดดดด...ปรี๊ดดดดดดด...!’

“ทั้งหมดแถว!!”

เสียงนกหวีดดังขึ้น ชายหนุ่มหญิงสาวมากมายลุกและกระโดดออกจากเตียงแล้ววิ่งไปเข้าแถวอย่างรีบร้อน ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมดแม้นี่จะพึ่งตี5 ฉันที่นอนอยู่ใกล้จุดรวมแถวที่สุดค่อยๆลุกช้าๆแล้วบิดขี้เกียจเล็กน้อย จากนั้นค่อยเดินไปเข้าแถวอย่างไม่รีบร้อน เพราะฉันที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่ทหารฝึกเหมือนคนอื่นๆอีกแล้ว ในตอนนี้ฉันเป็นครูฝึกให้เด็กๆพวกนี้ต่างหากล่ะ เพราะงั้นฉันจึงไม่รีบมากที่จะไปรวมแถว เพราะยังไงซะกว่าพวกเขาจะจัดแถวกันเสร็จฉันก็คงเดินไปถึงพอดีนั่นแหละ

“เอ้าๆ! ช้ากันจริงพวกนี้ ให้มันเร็วกว่านี้ไม่ได้รึไง เดี๋ยวสั่งแดกก่อนเลยดีมั้ย!”

ดันไม่เป็นไปตามคาด เด็กน้อยชายหญิงที่พักคนละที่วิ่งมาพร้อมกันก็จริง แต่ทั้งสองยังจัดแถวช้าไม่เปลี่ยนเลย แบบนี้คงต้องลงโทษก่อนซะมั้ง แต่ คงไม่ได้หรอก ฉันไม่นายทหารปกครอง เป็นแค่ครูฝึกในรูปแบบภาคปฏิบัติเมื่อเข้าสู่รถถังแล้ว เพราะงั้นฉันเลยเลือกที่จะเดินมาที่หลังแถวในมุมมืดๆแล้วดูดบุหรี่มวลแรกของวันแทน

“อะไรกันครับHassuna(ฮาสสึนะ) เพิ่งจะตีห้าก็จะดูดบุหรี่แล้วเหรอ”

“เรื่องของฉันค่ะ อีกอย่าง ช่วยอย่าเรียกนามสกุลของฉันด้วย ฉันไม่ชอบเลยเวลาได้ยินนามสกุลนี้ค่ะ อดีตมันฝั่งใจ”

“คร้าบๆคุณEvgeniya (อิเลเนีย) เอ๊ะ! หรือจะให้เรียกคุณRoza (โรซ่า) ดีล่ะครับ ฮ่ะๆๆ”

“จะเรียกอะไรก็เชิญ แต่ห้ามเรียกนามสกุลฉันก็พอ แล้วก็ไปทำงานของนายได้แล้ว ไม่งั้นฉันจะตัดคะแนนแล้วทำเรื่องลดขั้นเงินเดือนนายแน่”

“แหม่ๆ โหดจังเลยนะครับ ก็ได้ๆ ผมจะไม่กวนแล้วครับ ยังไงวันนี้ก็สอนให้เต็มที่นะครับ”

อย่างที่ได้ยิน ฉันมีชื่อ ชื่อกลางและนามสกุลว่า อิเลเนีย โรซ่า ฮาสสึนะ ที่ชื่อเป็นภาษาหนึ่งแล้วนามสกุลอีกภาษาเพราะพ่อของฉันเป็นคนต่างชาติ แต่ว่า เพราะสงครามทำให้พ่อทิ้งครอบครัวแล้วหนีหายไปโดยไม่ได้เป็นทหารรับใช้แผ่นดินจนวันนี้ เพราะงั้นฉันจึงไม่ค่อยอยากได้ยินนามสกุลของคนทิ้งครอบครัวอย่างนี้นักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ว่าฉันจะเกลียดหรอก แค่ไม่รู้สิ...อดีตมันทำให้เจ็บปวดล่ะมั้ง

นายทหารปกครองคนนั้นคือคนที่จะสอนกลยุทธ์ในห้องเรียนให้เด็กเหล่านี้ นั่นหมายความว่าฉันและเขาจะต้องร่วมกันสอนไปพร้อมกันเพื่อให้ทหารใหม่เหล่านี้มีความพร้อมทั้งทางกลยุทธ์และการรบจริงๆ ในรถถังนั้นแม้จะแข็งแรงแต่ก็ไม่ปลอดภัยเลยแม้แต่น้อย หากสั่งการหรือขับหรือยิงสุ่มสี่สุ่มห้าก็โดนฆ่าตายคารถถังเหมือนภารกิจครั้งนั้นยังไงล่ะ

เมื่อแถวถูกจัดอย่างเรียบร้อย ทหารปกครองที่ถือนกหวีดท่าทางน่ากลัวก็สั่งการให้ออกกำลังกายยามเช้าเป็นการยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย ประมาณว่าดันพื้น แทงปลาไหล พุ่งหลัง จิงโจ้ ท่าละ 50ยก และจบปิดท้ายด้วยการดึงข้อให้ขึ้นคนละ20ครั้ง โดยประมาณ แล้วแต่ว่าวันไหนจะเจอครูโหดหรือครูใจดี แต่ดูเหมือนวันนี้เด็กๆจะเจอครูคนโหดซะอย่างงั้น

ระหว่างที่ออกกำลังกายกันจนเสร็จ ฉันก็ดูดบุหรี่หมดพอดี เด็กๆทุกคนกลับมาเข้าแถวรูปแบบเดิมก่อนที่จะถูกปล่อยแถวให้ไปทำทุระส่วนตัวยามเช้า ฉันเองก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน แต่เพราะความวุ่นวายนั้นทำให้ฉันต้องยืนรอให้เด็กๆผ่านไปให้หมดเสียก่อนจึงจะตามไปได้โดยไม่รีบร้อย

“อ๊ะ!...ส...สวัสดีครับครูโรซา!”

“อืมๆ สวัสดีค่ะ รีบไปได้แล้ว เดี๋ยวจะโดนทำโทษเอานะ”

“ครับ!”

“อ...เอ่อ...ผมขอบุหรี่ซักตัวได้มั้ยครับ...”

“หา...!นี่สมองกลวงแล้วรึไงถึงมาขอบุหรี่จากครูน่ะ!!”

“ว๊ากกกก ขอโทษคร้าบบบบบ!!”

เด็กหลายคนรีบวิ่งออกจากลานฝึกจนหมดแล้ว แต่มีเด็กชายคนหนึ่งอายุประมาณ19-20ปีเดินมาทำความเคารพฉันด้วยการชิดเท้าแล้วมาขอบุหรี่จากฉัน เป็นใครก็ต้องดุนั่นแหละ เป็นเด็กเป็นเล็กริคิดเสพของไม่ดี ทั้งที่รู้ว่าผิดกฎที่ห้ามสูบแต่ก็ยังจะขออีก แบบนี้มันไม่น่าให้อภัยแล้ว แม้ตอนนี้เขาจะโดนดุจนเผลอร้องวิ่งหนีไป แต่...

“หมอบ!”

“ครับ!!”

“ดันพื้นท่าเตรียม!!100ครั้ง เริ่ม!!”

เด็กคนนั้นทิ้งตัวลงกับพื้นพร้อมด้วยการลุกดันพื้นตามที่ฉันสั่งเป็นการลงโทษ แต่จะมัวรอให้ครบก็คงไปเข้าแถวประชุมชี้แจงสำหรับนายทหารก็คงไม่ทัน เพราะงั้นเลยให้ครูเวรประจำวันมาคุมเด็กคนนี้แทน ฉันจึงเดินกลับไปที่ห้องพักของตัวเองแล้วทำทุระส่วนตัวก่อนจะถึงเวลารวมแถวให้ทันพอดี

ลานรวมพลหลัก 08:00AM. ค.ศ.1940

แม้ว่าตอนนี้จะยังเช้า แต่ว่าทำไมกันนะ แดดถึงได้แรงขนาดนี้ ชุดที่ฉันใส่แม้จะเป็นเครื่องแบบเสื้อขาวแขนสั้นประดับยศที่ปกเสื้อเป็นดาวทอง4ดวง อินทรธนูประดับเข็มโลหะสีเงินรูปรถถังT-34 และดาว1ดวงที่หนักเอาเรื่องบนบ่าทั้งสองข้าง และกระโปรงแบบจีบสั้นปิดเข่า แต่ก็ยังร้อนจนเหงื่อออกอยู่ดี แบบนี้ถ้าให้เอาแต่ยืนรอผู้บังคับบัญชาล่ะก็ฉันจะหนีแถวให้ดู

“ทั้งหมดตรง! ทำความเคารพผู้บังคับบัญชา ทำ!!”

“สวัสดีครับ/ค่ะ!”

“เอาล่ะ ผมจะไม่มากความเพราะวันนี้อากาศร้อน วันนี้จะให้นักเรียนชายไปเรียนการขับและควบคุมปืนประจำรถถังกลาง T-34 ส่วนนักเรียนหญิงวันนี้ไปฝึกยิงเป้า ขอให้ครูทุกคนสอนทุกอย่างให้ดี เด็กพวกนี้คือกำลังที่สำคัญที่สุดในสนามรบ ทราบ!”

“ทราบ!!”

จะว่าไปนี่ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตอนนั้นที่ฉันยังยศแค่จ่า รถถังไม่ได้ล้ำสมัยแบบนี้ เพราะงั้นบางทีฉันอาจสอนพวกเด็กได้ไม่หมด แต่ว่ายังไงซะทุกอย่างเมื่อยู่ในสนามรบแล้วล่ะก็ลืมไปได้เลย ต้องใช้ทักษะและประสบการณ์ล้วนๆ

รถถังที่ฉันจะได้ขับและฝึกสอนให้นักเรียนนั้นคือรถถังขนาดกลาง T-34 รุ่นปี 1940 ที่บอกว่าเป็นรถถังกลางเพราะน้ำหนักของมันมากกว่ารถถังจำพวก T-50 แต่ไม่หนักถึงขั้นรถถัง KV-1 หรือ KV-2 ในอีกความหมาย รถถังกลางนั้นมีเกราะที่หนา ทำความเร็วได้ถึง50กิโลเมตรต่อชั่วโมงในพื้นราบ เป็นรถถังสำหรับโจมตีแบบ Head to head และยังสามารถตั้งรับการบุกโจมตีของศัตรูได้เป็นอย่างดี เกราะหน้าหนาและเอียงทำมุม60องศา ทำให้มันสามารถกันกระสุนเจาะเกราะได้ถึง90mm. เลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น รถถังคนนี้ยังติดตั้งระบบป้อนปืนไฟฟ้า ทำให้มันสามารถหมุนเปลี่ยนทิศปืนได้อย่างรวดเร็วจนแทบจะเร็วที่สุดเลยก็ว่าได้ ปืนใหญ่เองก็ไม่เบา ขนาดปากกระบอกและกระสุนคือ 76mm. แต่สามารถเจาะเกราะรถถังได้ถึง93mm. เลยทีเดียว นับว่าเป็นรถถังที่มีประสิทธิภาพที่สุดในตอนนี้เลยล่ะนะ

“เอาล่ะฟังทางนี้! แถวตอนเรียง4 ทั้งหมดจัดแถว!”

เพราะการจะเรียนรู้หน้าที่ต่างๆในรถ จำเป็นต้องแบ่งคนให้พอดีกับตำแหน่งต่างๆ เพราะรถคันนี้มีที่นั่งประจำตำแหน่งได้4ที่ คือDriver , Gunner , Loader , Machine gunner และ Commander เพราะงั้นฉันที่เป็นคนสอนจึงจะนั่งไปกับนักเรียนด้วย เพื่อสอนทุกอย่างที่พวกเขาควรรู้ พวกเขาไม่ใช่เรียนเพียงเพื่อเป็นตำแหน่งเดียว แต่ควรเป็นทุกหน้าที่เพื่อเวลาเจอเหตุการณ์จริงเขาอาจต้องเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆนั่นแหละ

เมื่อทุกคนจัดแถวเสร็จแล้ว ฉันก็สั่งให้แถวแรกเดินขึ้นรถถังแล้วนั่งประจำตำแหน่ง ฉันที่ขึ้นคนสุดท้ายจึงไม่สามารถนั่งได้เพราะที่เต็มเลยต้องยืนสอนอยู่ในรถตรงตำแหน่งของ Commander

“ฟังให้ดีนะ รถคนนี้จะไปยังจุดหมายและทำการรบได้ต้องอาศัยการควบคุมของทุกคน ทั้ง4ต้องทำงานภายใต้คำสั่งของคอมแมนอย่างเคร่งครัดและทันที เอาล่ะ สมมุติว่ามีภารกิจให้เคลื่อนที่ไปจุดA คอมแมนจะรับตำแหน่งของผู้บัญชาการจากค่ายแล้วถ่ายทอดคำสั่งให้ทุกคนรู้ จริงๆต้องมีคนนึงเป็นคอมแมนด้วย แต่ตอนนี้ฉันจะเป็นให้ก่อน ส่วนวิธีจะสั่งยังไง ต้องดูทิศทางและบอกให้พลขับรับรู้ทางวิทยุ ฉันจะออกคำสั่งแล้วคนที่เป็นนักเรียนคอมแมนก็สั่งตามทีหลัง เข้าใจแล้วนะคะ”

“ครับ!”

“พลขับ เคลื่อนที่ไปข้างหน้า”

“รับทราบ!”

แลดูจะเรียนรู้ได้เร็วดี สมแล้วที่เป็นนักเรียนที่ถูกฝึกสอนมาแล้วในห้องเรียน แต่ว่าถ้าจะเจอเหตุการณ์จริงจะเป็นยังไงบ้างกันนะ

ไม่นานมากเมื่อรถเริ่มขยับ ทุกคนก็เริ่มตื่นเต้นที่ได้นั่งรถอย่างเห็นได้ชัด คอมแมนเองก็สั่งการณ์อย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดฝาหน้ารถแล้วส่องกล้องส่องทางไกลเพื่อหาเป้าที่หมายแล้วเปลี่ยนทิศราวกับชำนาน จนกระทั่งเรามาถึงจุดที่ต้องหยุดรถตามที่กำหนดแล้ว

“หยุดรถ!”

‘คลืดดดด กลิ๊ก...’

“ทำได้ดีมากค่ะทุกคน เอาล่ะ ต่อไปจะเป็นหน้าที่ของพลปืนและพลโหลดกระสุน ตัวป้อมปืนรุ่นใหม่นี่มีระบบเฟืองไฟฟ้า สามารถควบคุมได้จากแผงควบคุมตรงนี้ ขยับเหมือนเล่นเกมตู้นั่นแหละค่ะ และหากจะยิงล่ะก็อย่าลืมว่าต้องเล็งเผื่อระยะกระสุนย้อยหรือกระสุนตกด้วย ตามเข็มเล็งจะมีระยะบอกว่าต้องเงยปืนขึ้นกี่องศาเพื่อให้ยิงโดนเป้าหมาย ส่วนทิศทางลมไม่ต้องสนใจหรอก ถ้าจะซวยโดนลมพักกระสุนหนักขนาด76ได้ก็ไปทำบุญซะนะคะ”

“เอ่อ...แต่ว่ารถเรามีคนแค่4คนนะครับ ผมก็เป็นพลขับ แล้วใครจะเป็นพลปืนครับ”

“อ่า...นั่นสินะคะ ลืมไปว่ารถนั่งได้แค่4คน งั้น แบ่งคนไปเป็นพลปืนกล1คน มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ฉันขับรถ T-50แล้วค่ะ”

อย่างที่ฉันบอกตอนแรกว่ารถถังคันนี้ใหม่เกินกว่าที่ฉันจะสามารถสอนการใช้งานได้ทั้งหมด เพราะเห็นว่ารถมีขนาดใหญ่เลยคิดว่าคนคงครบพอดี แบบนี้คงต้องเปลี่ยนตำแหน่งใหม่ซะแล้ว

“งั้นฉันจะมอบหมายตำแหน่งใหม่ให้นะคะ พลปืน ทำหน้าที่รับคำสั่งและยิงจากคอมแมนที่ควบตำแหน่งพลขับ ตกลงตามนี้นะคะ”

“ทราบครับ!”

จากตอนแรกที่ตำแหน่งมี5 เลยลดลงเหลือตามจำนวนคน ก็ว่าทำไมไม่มีตำแหน่งพลปืนกลเลย แม้ตำแหน่งนี้อาจฟังดูไม่น่ามี แต่มันสำคัญเมื่ออยู่ดีๆมีทหารราบจะมาโจมตีรถถัง ไม่ก็มีหมอกไม่ก็วิสัยไม่ดีพอให้เล็งได้ พลปืนกลนี่แหละจะเป็นคนยิงกระสุนส่องวิถีให้สามารถเล็งได้อย่างแม่นยำยังไงล่ะ

“ต่อไปจะเป็นการฝึกเล็งและยิง ดูระยะของเป้าหมายตรงนั้นไว้ให้ดีนะคะ เป็นพลปืนจะต้องหาระยะห่างจากเราถึงเป้าหมายให้ได้โดยไว ไม่งั้นก็สุ่มยิงในองศาที่คิดว่ากระสุนจะตกไปโดนเป้าหมาย เอาล่ะ จัดการระยะให้ดี ถ้านายปรับมุมยิงไม่ถนันก็ให้พลโหลดช่วยปรับองศาก็ได้นะคะ”

“เข้าใจแล้วครับ!”

นี่แหละคือจุดที่ยากที่สุด การจะยิงปืนใหญ่นั้นใช่ว่าจับแล้วจะเป็นเลยเหมือนตอนขับหรอกนะ ถึงจะบอกว่าเล็งยังไงก็ได้ให้โดน แต่ถ้าหากมันจะยิงไม่โดนก็คือไม่โดนเลย ดีไม่ดีอาจยิงไม่ออกเลยด้วยซ้ำ ที่พูดแบบนั้นเพราะฉันเจอมาหมดแล้วล่ะ เรื่องแบบนั้นมันมีพลาดกันได้ตลอดอยู่แล้ว

จากที่สังเกตดู คอมแมนคนเก่งกำลังใช้กล้องส่องทางไกลหาระยะของเป้าซ้อมยิงอย่างตั้งใจ แต่ว่าถ้านี่เป็นสงครามจะมัวช้าแบบนี้คงโดนตรวจจับแล้วถูกยิงสวนมาแน่ๆ เอาเถอะ ยังไงนี่ก็เป็นการฝึก จะได้ชินเวลาอยู่ในเหตุการณ์จริง

“หันป้อมปืนขึ้นที่ระยะ150 หมุนป้อมมาทางทิศ012องศา!”

“ครับ!”

“คำนวณมาได้ระยะ 150เมตรอย่างงั้นสินะคะ แล้วก็เรื่องมุม012 น่ะแปลว่าเธอบอกพลขับให้จอดไม่ตรงจุดโดยเอียงไปทางซ้าย12องศา เวลาเข้าฐานฝึกยิงเลยต้องหมุนป้อมปืนย้อนกลับมาทางนี้ เข้าใจนะคะ”

“ค...ครับ ครั้งหน้าผมจะระวังให้มากกว่านี้ครับ”

“คอมแมนครับ ปืนอยู่ตำแหน่งยิงแล้วครับ!”

“รับทราบ ยิงได้!”

“ยิงแล้ว!”

‘ตูมมม!!!’

เมื่อคำสั่งยิงถูกรายงาน คอมแมนจึงลั่นไกโดยการดึงคันโยกเข็มแทงฉนวนให้มันพุ่งไปโดนปลอกกระสุนเพื่อจุดระเบิด จากนั้นก็เกิดเสียงปืนที่ดังสนั่นไปทั้งบริเวณ ฉันไม่รู้หรอกว่าข้างนอกเสียงจะดังแค่ไหน แต่สำหรับในรถแล้วถือว่าดังจนหูอื้อกันเลยทีเดียว ขนาดฉันที่ผ่านการรบมาเยอะยังหูดับตาเบลอได้ขนาดนี้ นักเรียนที่อยู่กับฉันจะเป็นยังไงกันบ้างก็ไม่รู้สิ ฝุ่นควันจากเขม่าดินปืนก็ฟุ้งกระจายไปทั่วจนเข้าตาเสียแล้ว เพราะงั้นเลยเผลอหลับตาแล้วเอาแขนป้องหน้าตัวเองไว้ แย่ล่ะ แสบตาไปหมดแล้วสิต้องรีบหาน้ำล้างแล้ว

แต่ว่า....

‘วิ๊งงงงงงงงงงงง’

“อ...อะไรกัน.....เสียงนี่....”

‘ตูม...ตูม....บึ้มมม....’

‘เคลื่อนที่ไปข้างหน้า!!’

เสียงบางอย่างที่เหมือนเสียงคอมแมนกำลังสั่งการให้เคลื่อนที่รถถัง ฉันที่กำลังมึนเสียงปืนตอนแรกค่อยๆลืมตาและได้สติ ฉันมองไปรอบๆไม่พบตัวเด็กนักเรียนของฉัน แต่กลับพบลูกทีมเก่าที่ฉันเคยร่วมรบมาเมื่อหลายปีที่ผ่านมา นี่มัน....อะไรกันแน่...

‘เราต้องการกำลังสนับสนุนทางทีมปีกขวา คุณโรซา! มาช่วยทางนี้ด้วยค่ะ!!’

‘ทางนี้ก็แย่อยู่แล้วนะ!! หน้าที่ของเราในภารกิจคือป้องกันฐานที่มั่น ไม่ใช่ไปบุกแบบนั้นค่ะ!!’

‘ไม่ไหว...ศัตรูมาไม่หยุด ยิงไม่เข้าเลยแม้แต่นัดเดียว แบบนี้มีหวังเราตายกันหมดแน่...’

‘อย่างเพิ่งถอดใจสิ! ก็ได้! ฉันจะไปช่วยเธอ...พลขับ มุ่งหน้าออกปีกขวา ขับตามคำสั่งของฉันค่ะ!’

เสียงของฉัน เสียงของรถและการสั่นไหวจากการขับเคลื่อนนั้น ทั้งหมดมันเหมือนจริงไปหมด แม้จะรู้ว่ายังไงนี่ก็ไม่ใช่ความจริงแน่ๆ นี่มันอะไรกัน เสียงของฉันที่กำลังตะโกนอย่างเสียสติ ท่ามกลางสนามรบที่วุ่นวาย มันคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูกแต่ก็บอกไม่ได้ว่านี่คือที่ไหนเวลาใด

ดูเหมือนนั่นจะเป็นคำสั่งของฉัน รถ T-50 คันน้อยเปลี่ยนเส้นทางแล้วตรงไปยังรถถังอีกคันที่กำลังถูกระดมยิง รถคันนั้นกำลังขับถอยหลังอย่างรวดเร็วเพื่อหนีศัตรูให้เร็วที่สุด ช่างเป็นภาพที่น่าหดหู่เหลือเกิน

‘ศัตรูทาง-45องศา ฝากหมุนปืนให้ทีค่ะ!”

‘ปรับตำแหน่งพร้อมครับ!’

‘ยิงแล้ว!!’

‘ตูมมม’

‘……..เก๊ง...ฟิ้ววววว’

‘ชิ...ยิงไม่เข้าไม่พอ กระสุนดันแฉลบขึ้นฟ้าอีก แบบนี้ต้องรีบพารถคันนั้นออกจากแนวรบให้เร็วที่สุดแทนก็แล้วกันค่ะ’

‘ตูมมมม เก๊งงงง’

‘อ...อะไรกัน...แย่แล้ว! ตีนตะขาบของเราขาดแล้ว!!’

‘แข็งใจไว้ ฉันกำลังไปค่ะ!!’

‘ไม่ไหว...หนีไม่ได้แล้ว...ช่วยที!...ใครก็ได้...!!’

‘ไม่! อย่าพูดแบบนั้นค่ะ เธอต้องรอด...ทุกคนต้องรอด...ฉันจะไม่ทิ้งลูกทีมแน่ค่ะ!!’

‘ตูมมม บึ้มมมมมมมมมม!!!’

‘ไม่!!!’

ปืนใหญ่จากรถถังศัตรูดังลั่นจากการยิงกระสุนขนาดใหญ่ออกมา ไม่นานนักรถของเพื่อนร่วมรบก็ถูกยิงตัดผ่านด้านซ้ายของตัวรถจนเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง ตัวรถถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆจนแทบไม่เหลือซากอะไรให้เก็บกู้

‘อ๊ากกกกกก ไฟไหม้....ไฟไหม้ตัวผม!!’

‘ปังๆๆๆๆๆๆ!!’

‘อั๊ก...’

คนที่กำลังวิ่งออกจากซากรถถังพร้อมไฟที่ลุกท่วมตัวเขาอาจเป็นพลปืนกล แต่เมื่อเขาวิ่งออกมาพร้อมกรีดร้องจากความร้อนของไฟ รถถังศัตรูก็ยิงปืนกลใส่เขาอย่างรัวจนเขาถูกยิงแล้วลมลงแน่นิ่งและท่วมไปด้วยไฟต่อหน้าฉันและทุกคนที่อยู่บนรถไปเสียแล้ว

‘แจ้งฐานที่มั่น ขอกำลังเสริมด่วนค่ะ...ย้ำอีกครั้ง!! ขอกำลังเสริมจากพิกัดที่ส่งให้ เข้าช่วยเหลือเราโดยด่วนค่ะ!!’

‘ค...คอมแมน...มันหันมาทางเราแล้วครับ!’

‘ถอนกำลังจากตรงนี้ค่ะ เราจะล่อมันให้ออกห่างจากซากรถคันนั้น จนกว่าทีมช่วยเหลือจะตามมาช่วยคนรอด...ใช่...ฉันว่าเธอต้องรอดแน่...เร็วเข้านะคะ!!’

‘ครับ ผมจะขับหนีให้ตามคำขอครับ!!’

เพราะไม่รู้จะทำยังไงอีกต่อไป ฉันทำได้เพียงหวังให้มีใครมาช่วยคนในรถคันนั้นออกมาให้ทัน ก่อนที่จะถูกไฟคลอกตายกันหมด แต่ทางนี่ก็ต้องห่วงตัวเองเหมือนกันที่โดนไล่ยิงอย่างไม่หยุดยั้งแบบนี้ เอาเถอะ ยังไงฉันก็ไม่มีทางตายที่นี่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะยังไง ฉันจะรอดกลับไปพร้อมกองกำลังที่พร้อมต่อสู้เพื่อแผ่นดินแม่ของฉันให้ดู!

‘วิ๊งงงงงงงงงง!’

‘…………………………………’

ทุกอย่างขาวสว่างจ้าไปหมด ไม่นานเสียงของอาการหูอื้อก็ดังขึ้นในหัวอีกครั้ง แต่ว่า เมื่อแสงสว่างนั้นหายไป ร่างกายของฉันก็เบาลงแล้วไร้ความรู้สึกใดๆอีก ไร้ซึ่งเสียงใดๆ สงบสุขุมอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ

“ครูครับ...นี่...!...คุณอิเลเนีย!!”

“เธอหมดสติไปเพราะเสียงดัง ทุกคนอย่ามุงกัน ให้พื้นที่หายใจด้วย!”

“อ...อือ...อะไรกันคะเนี่ย...”

“หน่วยแพทย์! ครูตื่นแล้วครับ!!”

ท่ามกลางเสียงที่วุ่นวายของผู้คน เสียงที่กึกก้องสะท้อนไปมาจากอาการมึนงง ฉันคอยๆลืมตาขึ้นช้าๆแล้วมองไปรอบๆ สิ่งที่ปรากฏคือกลุ่มนักเรียนและหน่วยแพทย์ประจำฐานกำลังพยายามรักษาอาการหมดสติให้ฉัน ว่าแต่เมื่อกี้...Flash back งั้นเหรอ

“ลุกนั่งไหวมั้ยครับ”

“ค่ะ ฉันลุกไหว แล้วนี่ ใครสอนนักเรียนต่อจากฉันคะ”

“มีครูมาแทนให้แล้วครับ เป็นห่วงตัวเองบ้างเถอะครับ คุณไม่เคยเป็นอาการแบบนี้มาก่อน ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว จากนี้หมอคิดว่าควรให้หยุดทำการสอนแล้วพักผ่อน3วันนะครับ”

“อือ เข้าใจแล้วค่ะ”

ทั้งที่สามารถลุกขึ้นยืนให้เห็นว่ายังไหวแท้ๆ ดันกลายเป็นถูกสั่งพักงานซะอย่างงั้น เมื่อกี้ฉันแค่เป็นลมจากเสียงปืนใหญ่ที่ดังกว่าที่เคยเจอแค่นั้นเองนะ แต่ว่าถ้าพูดถึงภาพเหตุการณ์เมื่อกี้ ฉันชักอยากรู้แล้วสิว่าเธอคนนั้นจะรอดปลอดภัยมั้ยนะ บางทีถ้าเธอรอดล่ะก็ น่าจะลองไปหาเธอที่ตึกพยาบาลดู ยังไงแม้เธอจะรอด แต่คงบาดเจ็บไม่น้อยแน่ เธออาจอยู่ที่นั่นก็ได้

เมื่อคิดได้อย่างนั้น ฉันจึงรับใบรับรองแพทย์ไว้ลางานสอนมาเก็บไป จากนั้นจึงเดินหน้าไปสู่ตึกพยาบาลอย่างไม่รีบร้อน เพราะดันอยากบุหรี่ซะได้ เลยว่าถ้ารีบเดินมันจะหมดไม่ทันต้องเสียดายทิ้งก่อนเข้าตึกพยาบาลแน่

โรงพยาบาลค่ายทหารม้าที่1 12:00PM.

เป็นไปตามที่คาดไว้ ฉันเดินพลางดูดบุหรี่มาด้วยจนหมดและมาถึงตึกพอดี ตรงหน้าเป็นตึกคัดกรองคนไข้ที่วุ่นวาย เพราะแม้ว่าที่นี่จะเป็นของทหาร แต่ก็เปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถรับการรักษาได้ เพราะการแพทย์ที่ทันสมัย หมอที่มากประสบการณ์จากสนามรบ ทำให้ที่นี่เป็นที่นิยมมากกว่าโรงพยาบาลหรือคลินิกตามเมืองทั่วไปยังไงล่ะ

แต่ว่า ถ้าจะมาเพื่อหาคนเพียงคนเดียวคงยากลำบากกว่างมเข็มในมหาสมุทรแน่ๆ เอายังไงดี จะเริ่มหาจากที่ไหนก่อนดีนะ

ด้วยความที่จนปัญญาแล้ว ฉันเลยเดินตรงไปที่เคาเตอร์พยาบาลเพื่อสอบถามถึงว่าควรจะไปที่ตึกหรือแผนกไหนในการจะตามหาคนที่ผ่านศึกมาโดยได้รับบาดเจ็บสาหัสบ้าง

“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นอะไรมาเหรอคะ”

“เอ่อ...คือว่า ฉันมาตามหาคนๆนึงน่ะค่ะ เธอเป็นทหารจากหน่วยของฉันเหมือนกัน พอจะช่วยตามหาให้ได้มั้ยคะ”

“แน่นอนค่ะ แต่ขอทราบชื่อ ไม่ก็ลักษณะที่จำได้เพื่อความสะดวกในการตามหานะคะ”

“อ...เอ่อคือ...ฉันไม่รู้จักชื่อและไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยค่ะ แต่ว่า ถ้าเธอคนนั้นรอดและรักษาที่นี่ล่ะก็ เธอจะต้องบาดเจ็บสาหัสจากอาการไฟไหม้แน่ๆค่ะ เพราะครั้งสุดท้ายที่เห็น รถของเธอถูกยิงและเธอหมดสติในรถที่ลุกเป็นไฟน่ะค่ะ”

ให้ตาย อย่างที่คิดไว้จริงๆว่าการตามหาคนนั้นคงไม่ใช่จะเจอง่ายๆ เอาไงกันดี ดันตอบไปแบบลวกๆแบบนั้นจะโดนพยาบาลแสนสวยคนนี้ด่ากลับมามั้ยนะ ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งประมาทต่อสายตาที่มองแบบไม่เป็นมิตรของพยาบาลซะแล้ว

“เอ ถ้างั้นเดี๋ยวจะให้คนในแผนกผู้ป่วยในพาไปดูตามเตียงผู้ป่วยเลยก็แล้วกันนะคะ”

“ค...ค่ะ ขอโทษที่รบกวน”

“ไม่เป็นไรค่ะ! มันเป็นหน้าที่อยู่แล้วนี่นะ”

เฮ้อ...โล่งอกได้มากเลยล่ะที่พยาบาลไม่ดุกลับมา และอย่างน้อยวงจำกัดการค้นหาก็แคบลงมาเยอะเลย แต่ว่าถ้าเธอไม่ได้อยู่ที่นี่ ถ้าเธอตายไปแล้ว...ไม่หรอกน่า เธอต้องรอดอยู่แน่ จิตวิญญาณนักรบของฉันมันบอกแบบนี้ ยังไงก็จะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด

อาคารผู้ป่วยใน 12:28PM.

“หลังจากนี้เชิญตามสะดวกเลยครับ แต่ว่าขอความกรุณาไม่ส่งเสียงดังหรือทำอะไรที่เป็นการรบกวนผู้ป่วยด้วยนะครับ”

“อือ ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอก ขอบคุณมากนะคะทหาร”

ในที่สุดก็เดินมาถึงหลังเดินวกวนไปทั้งโรงพยาบาลจนจะจำทางกลับไปไม่ได้ซะแล้ว แต่ว่าปัญหาที่ตามมาหลังจากนี่คือ ฉันต้องหาเธอคนนั้นให้เจอในผู้ป่วยทั้งหมดมากกว่า100คน ถ้านับแต่คนที่รักษาไฟไหม้ก็มีแค่20กว่าคน ทว่า นี่ใกล้จะหมดเวลาเข้าเยี่ยมแล้ว ถ้าไม่รีบคงต้องรออีกหลายชั่วโมงกว่าจะเข้ามาได้อีก เพราะงั้นการจะตามหาคนในเวลาจำกัดแบบนี้ถือว่ากดดันเอาเรื่องเหมือนกัน

เริ่มต้นด้วยการเดินดูผังการนอนพักของคนไข้ ดูเหมือนที่นี่จะจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างน่าตกใจ ทำให้ฉันมองหาเตียงผู้ป่วยไฟไหม้ ที่ตอนนี้เหมือนจะเหลือแค่12คนเท่านั้นเอง เพราะแบบนั้นฉันเลยไม่รอช้าที่จะตรงไปยังตำแหน่งเตียงพวกนั้นทันที

“นี่คุณคะ พื้นที่ตรงนี้ต้องปลอดเชื้อนะคะ”

“ง...งั้นเหรอ แย่เลยนะคะแบบนี้ พอดีฉันกำลังมองหาทหารคนนึงอยู่ เธอเป็นผู้หญิงอายุประมาณฉันค่ะ เธอถูกไฟคลอกในรถถัง ฉันคิดว่าเธอคนนั้นน่าจะรักษาตัวอยู่ที่นี่ ถ้าเธอคนนั้นรอดนะคะ”

ขณะที่จะเปิดผ้าม้านเข้าไปในโซนพิเศษฉันก็ถูกพยาบาลคนหนึ่งห้ามเอาไว้ด้วยการจับแขนเสื้อแล้วดึงเบาๆ พยาบาลที่มีผมสีบลอนด์ทองอมน้ำตาลนิดๆตัดสั้นถึงหัวไหล่พอดี เธอตัวสูงเกือบเท่าฉันเพราะใส่รองเท้าส้นสูงสีดำ เธอทำผมหวีตรงและเอาส่วนหนึ่งของผมหน้าปิดใบหน้าข้างซ้ายเอาไว้ มือทั้งสองข้างของเธอก็พันผ้าพันแผลเอาไว้เช่นกัน จากที่ดูเธอเองก็คงบาดเจ็บมาเหมือนกัน อาจเพราะเธอคนนี้ไปอยู่ในสนามรบล่ะมั้ง

“ที่นี่ ในห้องนี้ไม่มีทหารหญิงหรอกค่ะ ขออภัยด้วยนะคะ”

“อย่างงั้นเหรอ แย่เลยนะคะ ว่าแต่คุณพยาบาลไปโดนอะไรมาเหรอ ทำไมถึงมีแผลที่มือได้ล่ะ”

“อ...อ๋อ! พอดีว่าเมื่อปีก่อน ชั้นโดนส่งไปในสนามรบแนวหน้าน่ะค่ะ เลยได้แผลจากสงครามมานิดหน่อย...”

พยาบาลคนนั้นตกใจเมื่อถูกยิงคำถามเกี่ยวกับแผลจนสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด และที่มากกว่านั้นคือเธอตอบคำถามของฉันด้วยอาการกระวนกระวาย รวมๆแล้วเหมือนกับว่าเธอพูดโกหกอยู่อย่างเห็นได้ชัด พิรุธชัดขนาดนี้บางทีคงต้องแอบสืบเรื่องของเธอซะแล้ว

“อืม อย่างงั้นเหรอ ยังไงก็ขอบคุณที่ช่วยนะคะ”

“ด้วยความยินดีค่ะร้อยตรี...”

“หืม เดี๋ยวนะ~”

“อ...เอ๋!! อ...อะไรเหรอคะ!”

ตอนแรกว่าจะถอดใจไม่แอบตามเรื่องพยาบาลเพราะคิดมากซะแล้ว แต่ ทำไมเธอถึงรู้ยศของฉันกันล่ะ ทั้งที่เป็นพยาบาลจากสงครามไม่น่าจะเคยเห็นคนระดับนายร้อยหรือนายพันแท้ๆ แบบนี้มันน่าสงสัยสุดๆจนต้องสอบสวนอะไรหน่อยแล้วล่ะ

“เธอ รู้ได้ยังไงว่าฉันมียศร้อยตรีกันล่ะคะ”

“ก...ก...ก็ที่ปกเสื้อของคุณยังไงล่ะคะ ดาว5ดวงนั่น ดูก็รู้แล้วว่าต้องเป็นร้อยตรีแน่ๆค่ะ!”

“อ่อ...งั้นเหรอ จริงอยู่ที่มันเป็นยศร้อยตรี แต่ว่านั้นน่ะมันถูกเปลี่ยนเมื่อ1ปีที่แล้ว ยศใหม่นี่คือพันเอกต่างหากล่ะ นั่นหมายความว่าเธอจะต้องเคยเห็นคนระดับสูงขนาดนี้ในสนามรบมาก่อน และจะเป็นอะไรไม่ได้ นอกจากเธอ ต้องเคยเป็นทหารมาก่อน ใช่ มั้ย คะ”

ยิ่งถามเธอก็ยิ่งสับสนอย่างเห็นได้ชัด พยาบาลสาวท่าทางกังวลมากกำลังพยายามคิดหาคำตอบ แน่นอนว่าคิดนานแบบนี้คือกำลังคิดคำโกหกอยู่แน่นอน ดีล่ะ เธอนี่ช่างน่าสนใจกว่าที่คิดซะแล้วสิ

“เอ่อ...คือ...”

“แล้วตกลงแผลนั่นน่ะ ไม่ใช่อุบัติเหตุแน่ๆ แต่ เป็นแผลจากสงครามอย่างงั้นสินะคะ”

“ม...ม...ไม่ใช่นะคะ...มันคือ...”

“ฉันดูหน่อยได้มั้ย?”

“ม...ไม่ได้นะคะ...!”

แม้พยาบาลจะห้าม แต่ฉันก็ดื้อโดยเปิดผมหน้าที่เธอนำมาปิดไว้ขึ้นโดยไม่ให้เธอตั้งตัวทัน แต่เธอเองก็พยายามปิดมันไว้อย่างสุดแรงเช่นกัน ทว่าจังหวะนั้นเองฉันก็ใช้อีกมือที่ว่างดึงผ้าพันแผลของเธอให้คลายออก เอาล่ะ ความลับของเธอจะถูกเปิดเผยแล้ว

“น...นี่มันอะไรกัน...”

“ไม่นะ...คุณเห็นมัน...ทำไม...ทำไมคุณถึงอยากเห็นมันนักคะ!”

“เฮ้ย!! เธอคนนั้นคิดจะทำอะไรพยาบาลน่ะ! จับตัวไว้เร็ว!!”

“ชิ...แย่เลยนะคะแบบนี้”

แผลที่ปรากฏให้เห็นใต้ผ้าพันแผลนั้นคือ รอยแผลไฟไหม้ที่รุนแรงจนเห็นเป็นรอยอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่หลังมือ ลามไปถึงแขน และที่แน่ๆแผลนั่นอาจลามขึ้นไปถึงท้ายทอยและหัวไหล่แน่ๆ ที่มั่นใจเพราะว่า พอฉันเปิดผมของเธอขึ้นก็ต้องสลดใจ เมื่อได้เห็นรอยแผลไฟไหม้ที่รุนแรงจนตาข้างซ้ายของเธอบอดสนิท ดวงตาข้างนั้นที่กำลังมองฉัน สะท้อนใบหน้าของฉันพร้อมน้ำตาของเธอที่เสียใจอย่างรุนแรง บางทีฉันคงทำอะไรรุนแรงเกินไปสำหรับเธอจนเธอต้องเจ็บปวดเพราะอดีตของเธอก็ได้

แต่อย่างไรก็ตาม เพราะเราสองเสียงดังจนวุ่นวาย ทำให้ทหารที่เข้าเวรวิ่งเข้าควบคุมตัวฉันไว้แล้วจับฉันไปขังชั่วคราวเพื่อลงโทษในข้อหาทำร้ายล่วงเกินเจ้าหน้าที่พยาบาล ถ้าไม่ติดที่ฉันเป็นถึงหัวหน้าหน่วยคงโดนขังเป็นเดือนแน่ๆ ดีนะที่ครั้งนี้แค่3วัน ถือซะว่าเป็นวันพักผ่อนของฉันก็แล้วกัน แม้ว่าหลังจากได้ออกจากคุกนี่ ฉันจะได้กลับมาสอนอีกรอบมั้ยนะ ถ้าจะได้สอนอีกก็ดีไป ยังดีกว่าโดนปลดไปทำงานบัญชีนั่นแหละ

พูดถึงรอยแผลนั่น ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงมีแผลไฟไหม้ขนาดนั้นกัน เธอเป็นทหารแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่า เธอโดนอะไรมาถึงได้เป็นขนาดนั้นกันล่ะ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดเสียจริง ในห้องขังนี่ก็ดูดบุหรี่ไม่ได้ซะด้วย แบบนี้คงลงแดงจนวันออกคงต้องจัดซัก2กล่องซะแล้ว...

2ปี ห้องประชุมผู้บัญชาการทหารม้าที่1 ค.ศ.1942

วันแล้ววันเล่า ทุกครั้งที่อาทิตย์ตก เครื่องบินขนส่งและเครื่องบินรบจากนาๆประเทศ บินขึ้นสู่ท้องฟ้าและมุ่งหน้าสู่สงคราม รถถังมากมายถูกผลิตและขนส่งโดยรถไฟไปยังแนวหน้า วันต่อมาก็ถูกขนกลับมาบางส่วนในสภาพที่พังเสียหายอย่างสิ้นเชิง ศพและซากของสงครามมากมายถูกส่งกลับมาให้ผู้คนได้สลดใจ ศพของนักรบเหล่านี้จะมีญาติพี่น้องบ้างไหมก็ไม่อาจทราบได้

การต่อสู้กินเวลามายาวนานมากกว่า4ปี จนตอนนี้ฉันก็ยังคงฝึกสอนทหารที่ถูกเกณฑ์เข้ามาใหม่อยู่เรื่อยๆเพื่อทดแทนกำลังคนที่ตายไป จากตรงนี้ฉันไม่มีทางรู้ว่าสงครามไปถึงไหนแล้ว จนกว่าฉันจะได้กลับไปเป็นคอมแมนอีกครั้ง

“ขอบคุณทุกท่านที่มาประชุมในวันนี้”

นายพลเดินตรงมาที่เก้าอี้ตำแหน่งของตัวเองแล้วกล่าวทักทายและขอบคุณผู้รวมประชุม จากนั้นจึงนั่งลงแล้วรอรับฟังแผนการรบครั้งใหม่ ฉันเองก็ยังงงอยู่ว่าทำไมถึงต้องมาฟังด้วย ทั้งที่ตอนนี้ก็เป็นแค่ครูฝึกแท้ๆ

“แนวรบทางตะวันตกกลับมาลุกเป็นไฟอีกครั้งแล้ว เราได้รับรายงานว่าพวก PCT ตั้งกำลังแล้วบุกมาทางตะวันตก ทางอังกฤษและฝรั่งเศสกำลังตรึงกำลังไม่ให้ผ่านไปได้ แต่ที่แน่ๆคือเยอรมันถูกตีแตกสิ้นแล้ว”

“ถ้าจะให้ส่งกำลังไปช่วยคงไม่ได้เหมือนกัน สะพานที่เชื่อมแม่น้ำสายหลักถูกพวกมันยึดไปทั้งหมด การจะส่งคนไปยึดในตอนนี้แทบเป็นไปไม่ได้ ศัตรูตรึงกำลังหนาแน่น ทั้งปืนต่อต้านอากาศยาน ปืนครก ปืนใหญ่ต่อต้านรถถัง ป้อมปราการปืนกลอีกมากกว่า30จุด แบบนี้เราไม่มีทางส่งคนไปใช่ในแนวหน้าได้หรอก”

เท่าที่ฟังและดูแผนที่กำกับ สถานการณ์ตอนนี้ทางอังกฤษและฝรั่งเศสที่ตรึงกำลังให้เราถูกปิดล้อมอย่างเลี่ยงไม่ได้ เราที่อยู่ด้านหลังหากจะให้ตีฝ่าเข้าไปกลางวงคงตายกันหมดตั้งแต่แนวนอกแน่ๆ ที่พวกมันไม่บุกรัสเซียตรงๆเพราะอยากกำจัดกำลังหลักคือทางเยอรมันและอังกฤษ รวมถึงอเมริกาบางส่วนที่ติดอยู่ในนั้นให้หมดก่อน แล้วค่อยมาบุกแผ่นดินใหญ่ที่เหลืออยู่ทีหลังสินะ อะไรจะเลวได้ขนาดนี้กัน ชักอยากไปเป่าหัวผู้นำสูงสุดของพวกมันไวๆแล้วเสียจริง

“แย่เลยนะคะ มันกะจะฆ่าทหารทั้งหมดในนั้นก่อนแล้วค่อยมาบุกเราอย่างงั้นสินะ”

“ครับ อย่างที่พันเอกพูด พวกมันส่งกำลังทางอากาศโดยพลร่มที่ขอบแนวรบของเราแต่ไม่บุกเข้าแผ่นดินใหญ่ พวกมันมุ่งหน้าไปทางกำลังรบหลักของเราที่ต่อสู้เพื่อป้อนกันเราที่เหลือแทน เท่ากับว่ามันคิดจะตัดกำลังอย่างเห็นได้ชัดครับ”

“เราจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้! เราต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อเปิดทางส่งกำลังเข้าสนับสนุนและพาทหารพวกนั้นกลับมา ก่อนที่จะสายเกินไป!!”

“แต่ว่า...กำลังรบของเราเสียเปรียบหลายด้าน แบบนี้พวกเราจะเอาอะไรไปสู้กับปืนใหญ่กันล่ะ ส่งไปก็มีแต่จะตายกันหมด ยิ่งพวกมันเอาเทคโนโลยีของเยอรมันกับอังกฤษไปใช้แล้ว...แบบนั้นพวกเราไม่มีทางสำเร็จภารกิจนี้ได้หรอก!”

ห้องประชุมเริ่มเสียงดังและวุ่นวายขึ้นนิดหน่อย การวางแผนหารือกลายเป็นการถกเถียงและมีปากเสียงกันมากขึ้น ฉันที่อยู่ริมนอกแทบไม่มีส่วนในการวางแผนเท่าไหร่เลยคิดจะแอบหาเหล้าขาวมาดื่มซักนิดระหว่างประชุม ก็นะ ห้องประชุมวุ่นวายขนาดนี้เป็นใครก็เครียดเป็นธรรมดา ดูอย่างนายพลทหารราบคนนั้นสิ แทบจะทุบโต๊ะกะให้พังเลยล่ะมั้ง

‘ปัง!!’

“ทุกคนเงี่ยบ! อยู่ในความสงบด้วยค่ะ!!”

“น...นี่เธอ...กล้าดียังไงมายิงปืนในห้องประชุมแบบนี้กันห๊ะ!!”

เพราะรำคาญจนทนไม่ไหวเลยเผลอลั่นปืนขึ้นเพดานหนึ่งนัด เพราะเสียงปืนนั่นทำให้ทุกคนเงียบลงพร้อมทหารที่เฝ้าห้องที่รีบวิ่งเข้ามาเพราะคิดว่าเกิดเรื่องไม่ดี แต่ว่า เพราะฉันเลยทำให้ทุกอย่างสงบลงได้ ทีนี้จะเอายังไงต่อดีล่ะ จริงๆฉันคิดอะไรได้บางอย่างระหว่างแอบกระดกเหล้าขาวดื่มเมื่อกี้แล้วล่ะ แต่ว่าแผนนี้มันจะไปได้สวยมั้ยนะ คิดแล้วก็เครียดจนเผลอกระดกเหล้าขาวจนหมดขวดและจุดบุหรี่ดูดต่อหน้านายพลและทหารชั้นผู้ใหญ่โดยไม่ทันตั้งตัวเสียแล้ว

“อยากได้กำลังไปช่วยแนวหน้าใช่มั้ยล่ะคะ งั้นก็ได้ ฉันจะอาสานำทัพรถถังของฉันไปช่วยเองค่ะ”

“น..นี่เธอ เมาจนเสียสติไปแล้วรึไง! ก็รู้ว่าพวกมันวางกำลังแน่นหนาขนาดนั้น ยังกล้ามาพูดว่าจะอาสานำทัพไปอีกเหรอ ไปช่วยหรือพากันไปตายกันแน่!!”

“หึ...แค่ยึดสะพานน่ะไม่ใช่เรื่องยากหรอกย่ะ ทำเป็นกลัวไปได้ปืนใหญ่ต่อต้านรถถังน่ะ รู้มั้ยฉันผ่านอะไรมาบ้าง แค่ปืนใหญ่กระจอกๆนั่นน่ะฉันตีผ่าไปได้สบายโว๊ย!!”

“เอาล่ะพอได้แล้ว! ถ้าเธอยังทำตัวแบบนี้ผมจะเอาโทษทางวินัย-”

‘คลิ๊ก...’

“หา...พูดว่าอะไรนะย๊ะคุณจ่า...”

ท่าทางฉันจะเมาหนักจริงๆ แต่ฉันก็ยังมีสติพูดคุยกับทุกคนได้ เพียงแต่ที่ฉันทำแบบนี้เพราะเวลาเมามันจะปลดขีดจำกัดจิตใจของฉันจนจ่าที่เป็นคนเรียกประชุมถึงต้องขู่ แต่ก็ขอโทษนะ ฉันเหนือกว่าเรื่องความเก๋าอยู่แล้ว ไม่งั้นไม่กล้าเอาปืนขึ้นมาจ่อหัวจ่าไว้หรอก ให้มันรู้บ้างว่าใครที่รู้จักสงครามเป็นอย่างดีกันแน่

“อ...อึก...”

“อย่าคิดว่าฉันไม่กล้ายิงนะ ถ้ายังไม่อยากตายล่ะก็หุบปากให้สนิททุกคน ฉันจะอธิบายแผนของฉันให้ฟัง”

ว่าแล้วจ่าที่กำลังสั่นกลัวก็ค่อยๆพาให้นายพลและทหารทุกคนนั่งประจำที่อีกครั้ง นี่เป็นโอกาสที่จะได้แสดงความสามารถในการวางแผนและถ่ายทอดประสบการณ์รบทั้งหมดให้พวกผู้นำได้เห็น พวกที่ไม่เคยเจอสงครามจริงๆไม่มีทางรู้หรอกว่าอะไรเป็นยังไงน่ะ ไม่นานฉันก็กระดกแว่นตากรอบสี่เหลี่ยมของตัวเองให้เข้าที่ แล้วลุกไปวางตำแหน่งบนแผนที่อย่างรวดเร็ว

“จากที่เห็น บนแผนที่นี้เต็มไปด้วยแนวป้องกันของศัตรู ถ้าจะตีฝ่าแบบทั่วๆไปคงตายกันหมดอย่างที่คุยกันแน่นอน เพราะงั้นการจะฝ่าวงล้อมเข้าไปข้างในได้ จำเป็นต้องแบ่งกำลังออกเป็น3หน่วย หน่วยที่หนึ่งจะเป็นคนบุกโจมตีสะพานทางเหนือซึ่งมีการวางกำลังน้อยที่สุด และยังใกล้กับกองกำลังรบที่ติดอยู่ในนั้นมากที่สุด ส่วนอีกสองหน่วยที่เหลือให้จัดกำลังเป็นการปูพรมหน้ากระดาน  เราจะสร้างความปั่นป่วนให้ศัตรูคิดว่าเราจะเข้าตีเพื่อยึดพื้นที่ทั้งหมดคืน แต่จริงๆแล้ว-”

“จริงๆแล้วเป็นแผนล่อให้ศัตรูแบ่งกำลังจากสะพานให้มาคุ้มกันกำลังที่ถูกโจมตี อย่างงั้นสินะ หึหึ เป็นแผนที่ไม่เลว แต่เธอคิดว่ามันจะสำเร็จซักแค่ไหนกันล่ะ”

“สำเร็จแน่ถ้าฉันเป็นคนคุมทีม1 คุณไม่ต้องกังวลเรื่องปืนใหญ่ต่อต้านรถถังหรอก ที่ต้องกังวลคือรถถังของพวกมันมากกว่า จากที่เจอมาเมื่อหลายปีก่อนยังน่ากลัวขนาดนั้น แล้วตอนนี้พวกมันจะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน”

หลังเหตุการณ์นั้นเป็นต้นมา ฉันก็ไม่มีโอกาสได้ออกไปรบอีกเลย เพราะงั้นแม้จะผ่านมานานและไม่ได้ออกรบ แต่รถถังคนนั้นฉันยังจำได้ดี รถถังสีดำสนิทพลางด้วยสีเขียวและเหลือง ปืนใหญ่ที่ทรงพลัง ความเร็วและแรงม้าก็สูงจนน่าตกใจ ตัวรถก็ใหญ่ตั้งขนาดนั้นแท้ๆแต่ความเร็วนี่สุดๆเลยล่ะ ยังไงก็ตามหากนี่ผ่านมาหลายปี ฉันว่าตอนนี้มันคงพัฒนารถถังออกมาได้น่ากลัวสุดๆแน่นอน

เมื่อการเสนอแผนการรบของฉันจบลง เหล่าทหารชั้นผู้ใหญ่และนายทหารทุกคนก็เริ่มคุยกันอีกครั้ง ราวกับกำลังหารือว่าจะเอายังไงต่อไป หวังว่าแผนนี้จะได้รับการอนุมัตินะ ไม่งั้นคงโดนขึ้นศาลทหารแน่นอน ดันยิงปืน ดื่มเหล้า ดูดบุหรี่ในห้องประชุมต่อหน้านายพลขนาดนี้ ไม่โดนประหารก็จะเป็นบุญอย่างยิ่ง

“รู้มั้ยว่าถ้าออกจากห้องนี้แล้วเธอจะมีความผิดร้ายแรงน่ะ คุณพันเอก...เอ่อ...”

“อิเลเนียค่ะ อิเลเนีย โรซ่า ฮาสสึนะค่ะ”

“งั้นผมขอเรียกคุณว่าพันเอกฮาสสึนะก็แล้วกัน...ถ้าว่าตามจริงผมว่าคุณคงโดนโทษหนักถึงขั้นสูงสุดอยู่แล้ว แต่ แผนของคุณนั้นผมเห็นว่าพอเป็นไปได้และเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว หากคุณสามารถทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ ผมจะไม่เอาโทษทั้งหมดที่คุณทำ เหมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น แต่ว่า ถ้าคุณเอากำลังทหารราบและหน่วยรถถังใต้การบัญชาการของคุณไปเสียเปล่าล่ะก็ คุณจะถูกนำตัวขึ้นศาลทหารอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ ตกลงนะพันเอกฮาสสึนะ”

“ค่าๆ จะว่ายังไงก็เชิญ ไม่ต้องห่วงเรื่องศึกนักหรอกค่ะท่านนายพล ขอบคุณที่อนุมัติภารกิจนี้นะคะ”

เฮ้อ...โล่งอกราวกับยกภูเขาออกจากอก ยังดีที่ฉันคิดว่ากล้าเสี่ยงทำเรื่องแบบนั้น คุ้มแล้วล่ะที่จะได้ออกไปรบ ออกไปแก้แค้น ออกไปต่อสู้เพื่อแผ่นดินแม่ที่ถูกแย่งชิงไป ความพายแพ้ในครั้งนั้นมันผลักดันให้ฉันมีกำลังลุกสู้ในตอนนี้ ไม่ว่ายังไงฉันก็จะไปภารกิจนี้แน่นอน

“ผมขอเรียกภารกิจนี้ว่า ยุทธการณ์โมโลตอฟ เราจะให้หน่วยที่1เข้าตีและยึดสะพานมาให้ได้ และจะต้องป้องกันไม่ให้มันทำลายสะพานเด็ดขาด ส่วนอีกสองทีม เราจะจัดหากำลังมาให้อย่างสุดความสามารถ วันนี้เลิกประชุมได้”

“ครับ!!”

“ค่า...”

ภารกิจชื่อโมโลตอฟงั้นเหรอ ก็ฟังดูเข้าท่านะ แม้ชื่อจะเป็นอาวุธทำลายล้างที่อันตรายแต่ใครก็ทำได้ง่ายๆอยู่ดี เอาเถอะ ไม่ว่าชื่อมันจะเป็นยังไงฉันไม่สนใจหรอก ที่ต้องทำตอนนี้คือรับภารกิจแล้วหาคนมาช่วยต่อสู้ในหน่วยต่างหากล่ะ ต้องเป็นคนที่พร้อม และมีความสามารถที่จะช่วยให้รถถังของฉันสามารถทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดียังไงล่ะ ยิ่งคิดก็ยิ่งมีไฟในการทำศึกขึ้นมาแล้ว แบบนี้ทั้งคืนคงต้องจัดเหล้าขาวอีกซัก5ขวดแล้วล่ะ~~

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด