ตอนที่แล้วSign in Buddha's palm 166
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปSign in Buddha's palm 168

Sign in Buddha's palm 167 ไม่มีใครเทียบข้าได้!


Sign in Buddha's palm 167 ไม่มีใครเทียบข้าได้!

“แผ่นดินที่กว้างกว่า นภาที่สูงขึ้น”

ซูฉินมีสีหน้าเคร่งขรึม ร่ายวจีออกมาหนึ่งบท

หากยืนอยู่บนผืนดิน แม้แต่ซูฉินก็แทบจะไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย เพราะเมื่อเทียบกับโลกนี้ตัวเขาช่างเล็กจ้อยเหลือเกิน

แต่ตอนนี้ซูฉินยืนอยู่บนผืนฟ้า เขาค้นพบว่าโลกทั้งใบกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ

“นี่คือกระแสปราณฉีที่ว่า?”

ซูฉินเชื่อคำพูดของโม๋จีเกือบทั้งหมดแล้วในตอนนี้

ถ้าแค่เรื่องปราณฉีมีปริมาณเพิ่มขึ้น อาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญได้ แต่ตอนนี้โลกทั้งใบกำลังเปลี่ยนแปลงไป คงต้องปักใจเชื่อเรื่องกระแสปราณฉีกำลังเปลี่ยนผันจากปากคำของโม๋จีเสียแล้ว

“โลกหล้ากำลังจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก”

ซูฉินกลับไปที่พระราชวังถัง

คราวนี้เขาไม่ได้กลับไปโถงพระราชวังอันสูงตระหง่านใต้ผืนดิน แต่ยืนอยู่หน้าตำหนักชุนฝั่งขวา

“มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดอีกคนหนึ่งอยู่ภายในวัง”

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดเอาไว้ และพบว่าแม่ทัพแห่งวังหลวงได้แปรสภาพกำลังภายในจนก้าวเข้าสู่ระดับหนึ่งขั้นสูงสุดเรียบร้อยแล้ว

ถ้าเป็นเมื่อก่อนซูฉินก็คงไม่คิดว่ามันผิดปกติอะไร แม่ทัพแห่งวังหลวงอยู่ในระดับชั้นที่หนึ่ง ห่างจากการแปรสภาพเพียงแค่ก้าวเดียว ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าวันหนึ่งจะตัดผ่านไปได้

แต่หลังจากตระหนักถึงการคงอยู่ของกระแสแห่งปราณฉี ซูฉินก็ไม่คิดเช่นนั้นอีกต่อไป

“ยอดยุทธภายในเมืองฉางอันก็คงเพิ่มขึ้นเช่นกัน”

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินแผ่ขยายออกไปครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งเมืองฉางอัน

“ถ้ายังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป อย่างมากที่สุดภายในเวลาไม่กี่ปีตำนานยุทธคงได้ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง...”

ซูฉินคาดเดาอยู่ภายในใจ

พลังปราณฉีภายในโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป และง่ายขึ้นมากสำหรับยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดในการเข้าใจถึงพลังฟ้าดิน ในกรณีนี้อาจจะมีบางคนสามารถใช้ประโยชน์จากกระแสพลังดังกล่าวได้จริงๆ จนเข้าสู่ขอบเขตตำนานยุทธ

“ในเมื่อมันเป็นผลดีสำหรับจอมยุทธคนอื่นๆ แล้วสำหรับข้าทำไมมันจะไม่ดีเล่า?”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน

หากกระแสปราณฉีไม่เพิ่มขึ้นและยังคงอยู่ในยุคตกต่ำ แม้ว่าซูฉินจะมีโอสถเป็นจำนวนมาก ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ยี่สิบกว่าปีถึงจะเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่หกขั้นสมบูรณ์

ส่วนการจะทะลวงจากระดับนภาชั้นที่หกไปสู่ชั้นที่เจ็ดนั้น เกรงว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักสิบถึงยี่สิบปี

แต่ยามนี้...

“สองปี”

“อย่างน้อยสองปี ข้าจะสามารถทะลวงผ่านไปยังนภาชั้นที่เจ็ดได้”

ซูฉินคาดคิดในใจ

เมื่อมาถึงระดับที่เป็นอยู่นี้ ความเข้าใจในตนเองของเขานั้นถือว่าแม่นยำที่สุดแล้วและสามารถสัมผัสได้ถึงทุกอย่างที่ละเอียดอ่อนภายในตน ไม่ใช่แค่ความก้าวหน้าในการฝึกตน

“นภาชั้นที่เจ็ดในสองปี นภาชั้นที่แปดอีกสิบปี และนภาชั้นอีกเก้าอีกสามสิบปี”

“จากการคาดคะเนนี้ อย่างน้อยสุดก็ห้าสิบปี ข้าจะไปอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตนภาทั้งเก้าชั้น และจะทะยานสู่ขอบเขตยอดอรหันต์ได้?”

สีหน้าของซูฉินแสดงให้เห็นถึงความสุขล้น

ห้าสิบปียาวนานหรือไม่เล่า?

บางทีสำหรับคนธรรมดาห้าสิบปีอาจจะเป็นครึ่งหนึ่งของทั้งชีวิต

แต่ในสายตาของอรหันต์เช่นซูฉินที่มีอายุขัยกว่าหนึ่งพันปี ห้าสิบปีก็เป็นเพียงหนึ่งในยี่สิบส่วนของอายุขัยทั้งหมด

“มาดูสรรพคุณของผลไม้แก่นปีศาจเสียหน่อย”

ซูฉินอยู่ในอารมณ์ที่ดี จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตัวเขาผสานเข้ากับคลังของระบบและจ้องไปที่ผลแก่นปีศาจที่คล้ายหัวใจสีดำกำลังเต้นตุบๆ

ก่อนหน้านี้เขากำลังจดจ่ออยู่กับปัญหาเรื่องกระแสปราณฉี จึงละเลยการตรวจสอบผลไม้แก่นปีศาจจากโลกถ้ำปีศาจใต้พิภพไปเสียสนิท

“จากพลังที่ผันผวนอยู่ภายใน มันเทียบเท่าได้กับผลไม้สีแดงหนึ่งร้อยผล”

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

ถ้าเขาต้องการลงชื่อแล้วได้รับผลไม้สีแดงร้อยผล เขาจะต้องลงชื่อเข้าใช้แท่นบูชาเทพธรณีฯ อย่างต่อเนื่องอย่างน้อยก็หนึ่งเดือน

แต่ตอนนี้ผลไม้แก่นปีศาจผลเดียวก็ช่วยแก้ปัญหานั้นได้แล้ว

“หากมีผลไม้จิตวิญญาณเช่นนี้อีกเป็นพันๆ ผล ก็คงเพียงพอสำหรับการฝึกฝนของข้าในระดับนภาชั้นที่เจ็ดแล้ว”

ซูฉินค่อนข้างพึงพอใจ

องค์ประกอบภายในของผลไม้แก่นปีศาจผลนี้ไม่ใช่พลังฟ้าดิน แต่เป็นปราณปีศาจปริมาณมหาศาลจากโลกถ้ำปีศาจใต้พิภพ

เมื่ออยู่ต่อหน้าตำนานยุทธคนอื่นๆ ผลไม้แก่นปีศาจก็ไม่ต่างไปจากพิษร้ายและไม่สามารถดูดซับเข้าไปได้

แต่สำหรับซูฉินก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเพียงใช้ร่างทองมารพุทธะเพื่อแปรเปลี่ยนปราณปีศาจภายในผลไม้แก่นปีศาจให้กลายเป็นแก่นแท้แห่งพลัง ซึ่งก็ลำบากขึ้นอีกนิดหน่อยเท่านั้น

“เก็บไว้ก่อนแล้วกัน”

“ตอนนี้ข้าอยู่ในระดับนภาชั้นที่หกเท่านั้น การใช้ผลไม้แก่นปีศาจนั้นเป็นการสิ้นเปลืองจนเกินไป รอจนถึงนภาชั้นที่เจ็ดเสียก่อนดีกว่า”

ซูฉินค่อยๆ เก็บจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนกลับมา

และในตอนที่ซูฉินกำลังจะเดินเข้าไปในตำหนักชุนฝั่งขวานั้น

หลีหว่านก็วิ่งจ้ำเท้าเข้ามา

“ลุงสาม”

“ลุงสาม”

“ข้า ข้า ข้า...”

หลีหว่านวิ่งมาหาซูฉิน คำพูดติดๆ ขัดๆ ด้วยความตื่นเต้น

“ค่อยๆ พูด”

ซูฉินเหลือบมองหลีหว่านและกล่าวออกอย่างไม่ใส่ใจนัก

“เอาล่ะ” หลีหว่านสงบใจลง ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงพูดขึ้นว่า “ลุงสาม ข้าตัดผ่านอีกครั้งแล้ว...”

“ตอนนี้ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธระดับชั้นที่เจ็ด...”

ใบหน้าอันสวยงามของหลีหว่านเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

ตัวนางเพิ่งจะเข้าสู่ระดับชั้นที่แปดเมื่อไม่นานมานี้ แต่ใช้เวลาเพียงไม่นานนางก็เข้าสู่ระดับชั้นที่เจ็ดเสียแล้ว?

ถ้าไม่ใช่เพราะหลีหว่านยืนยันแล้วว่าร่างกายตนปกติ กำลังภายในก็แข็งแกร่งดี เกรงว่าคงคิดว่าตนเข้าใจผิดไปแน่

“ไม่เลว”

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย ไม่บ่อยนักที่เขาจะชมเชยหลีหว่าน

แม้จะเป็นผลมาจากกระแสปราณฉี แต่ที่หลีหว่านข้ามระดับชั้นได้จากการเปลี่ยนแปลงของกระแสปราณฉีเพียงแค่เล็กน้อย ก็เห็นได้ชัดถึงความพยายามของตัวนางเองแล้ว

“ลุงสาม ทำไม ทำไม...”

หลี่หว่านเต็มไปด้วยความสงสัยจึงพูดออกมา “ทำไมข้ารู้สึกว่าการฝึกยุทธจึงกลายเป็นเรื่องง่าย...”

“ง่าย?”

ซูฉินยิ้มและพูดแฝงความลึกซึ้งเอาไว้ “ไม่ใช่แค่เจ้าที่รู้สึกว่ามันง่าย แต่พื้นพิภพใต้ผืนฟ้านี้ทุกสิ่งจะกลับกลายเป็นง่ายขึ้น”

“อย่างนี้นี่เอง...”

หลีหว่านพยักหน้าโดยไม่เข้าใจนัก

แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าซูฉินพูดถึงอะไร แต่อย่างไรเสียการบ่มเพาะนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังของผืนฟ้าและพื้นพิภพ เนื่องจากซูฉินเป็นผู้พูดมันก็ควรเป็นเรื่องจริง

“ตอนนี้เจ้าเป็นจอมยุทธระดับชั้นที่เจ็ดแล้ว ข้าจะสอนบางสิ่งให้กับเจ้า”

ซูฉินมองไปที่หลีหว่านแล้วกล่าวขึ้นมา

หากโลกนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ปราณฉีกำลังจะกลับคืนมา เป็นไปได้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะมีผู้คนที่ทรงพลังอำนาจผุดเพิ่มขึ้นอีกมากมาย

ดังนั้นซูฉินจึงต้องตัดสินใจที่จะปลูกฝังพลังอำนาจให้กับอาณาจักรถัง

“จริงหรือ?”

ดวงตาของหลีหว่านเป็นประกายเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น

“แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องจริง”

ดวงตาของซูฉินสงบนิ่ง

“วิชาหมัด ฝ่ามือ ท่าเท้า มีด ดาบ เกาทัณฑ์”

“เลือกมาหนึ่งอย่าง เจ้าอยากจะเรียนรู้สิ่งใด”

ซูฉินพูดอย่างช้าๆ

“ฟังดูซับซ้อนยิ่งนัก” หลีหว่านกะพริบตาและมองซูฉินอย่างมีความหวัง “ลุงสาม ข้าเรียนทั้งหมดนั่นเลยมิได้หรือ?”

“ทั้งหมด?”

ซูฉินยิ้มเมื่อได้ฟังเรื่องนี้แล้วจึงส่ายหัว “พลังงานของทุกคนมีขีดจำกัด และเป็นเช่นเดียวกันแม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ”

“แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ตำนานยุทธ และเซียนเทพปฐพีก็ยังชำนาญในบางศาสตร์บางแขนงเท่านั้น หากต้องการจะเรียนรู้ทั้งหมด ความสำเร็จในอนาคตของเจ้าจะถูกจำกัด ได้ไม่คุ้มเสีย”

ซูฉินพูดอย่างอ่อนโยน

อันที่จริงตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน แม้แต่พระโพธิธรรมแห่งวัดเส้าหลินที่ว่ากันว่าร่ำเรียนวิชามามากมาย ก็เรียนรู้เฉพาะศาสตร์วิชาภายในวัดเส้าหลินเท่านั้น ส่วนทักษะวิชาอื่นๆ ภายในโลกหล้านั้นค่อนข้างจำกัด

เมื่อหลีหว่านได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของนางก็ดูครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่

“ลุงสาม”

จู่ๆ หลี่หว่านก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ มองไปที่ซูฉินแล้วพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “แล้วลุงสาม ท่านชำนาญในด้านใด?”

“ข้า?”

ซูฉินหัวเราะราวกับคนบ้า เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงตาค่อยๆ สงบนิ่งก่อนจะพูดว่า

“ข้านั้นไม่มีใครมาเทียบได้!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด