ตอนที่แล้ว[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 65 ธรรมชาติของหมาป่า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 67 ทีมก่อตัว หัวหน้าปรากฏ

[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 66 คำพูดไม่กี่คำชี้นำสถานการณ์


ตอนที่ 66 คำพูดไม่กี่คำชี้นำสถานการณ์

ผ่านไปอีกหนึ่งวัน

หลังจากที่เงินของตระกูลหม่าถูกโอนจากมือหนึ่งไปอีกมือหนึ่ง ในที่สุดมันก็ไหลเข้าสู่บัญชีของโคโค่

ในขณะที่ฉินหยู่และฉีหลินเริ่มรอให้อีกฝ่ายส่งสินค้าไปยังซงเจียง เพราะทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันแล้วว่า โคโค่จะต้องรับผิดชอบในการขนส่งสินค้าชุดแรก

เวลาประมาณสิบโมงเช้า

ฉินหยู่ต่อโทรศัพท์ถึงผู้กำกับหลี่ “ฮัลโหล? ผู้กำกับครับ”

“เรื่องนั้นนายแก้ไขเรียบร้อยแล้วหรือยัง” ผู้กำกับหลี่ถามด้วยน้ำเสียงมั่นคง

“เสร็จแล้วครับ สินค้าของซัพพลายเออร์อยู่บนท้องถนนแล้ว และจะไปถึงซงเจียงภายในสามหรือสี่วันอย่างช้าที่สุด” ฉินหยู่ยิ้มและพยักหน้า “ฉันได้แจ้งจูเหว่ยแล้วว่าทันทีที่สินค้ามาถึง พวกเขาจะรับช่วงต่อและส่งมอบให้ตระกูลหม่าในช่วงเวลาสั้นๆ”

“สินค้าในมือมากมาย มันจะเสี่ยงไปหน่อยไหมที่จูเหว่ยจะเข้ามารับช่วงต่อ” ผู้กำกับหลี่ถามอย่างกังวล

“เขาจะไม่มีปัญหา เขาเป็นสมาชิกของทีมที่สามและเป็นของฉัน” ฉินหยู่พูดอย่างหนักแน่น “ครั้งก่อนที่ศัตรูพยายามโจมตีฉัน เขาคือคนที่ตัดสินใจมาช่วยฉัน”

“ในเมื่อนายมั่นใจในตัวเขาขนาดนั้น ฉันก็จะไม่พูดอะไรอีก” ผู้กำกับหลี่พยักหน้าและกล่าวว่า “รีบจัดการเรื่องให้เสร็จโดยเร็ว แล้วกลับมาให้เร็วที่สุด”

“เอาล่ะ งั้นท่านจะเริ่มงานยุ่งมากขึ้นแล้วนะครับผู้กำกับ”

“เรียกฉันว่าพี่หลี่ ต่อจากนี้ไป”

“...!” ฉินหยู่ตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น

แล้วผู้กำกับหลี่ก็วางสายโทรศัพท์

ฉินหยู่ถือโทรศัพท์มือถือและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหัวพูดด้วยรอยยิ้ม

“โฮ่ เมื่อคิดว่าฉันต้องมีหลานชายซื่อบื้ออย่างแมวแก่ในวันหน้า มันหนักหัวจริงๆ”

“นายกำลังทำอะไรอยู่?” ฉีหลินเงยหน้าขึ้นแล้วถาม

“ไม่มีอะไร เฒ่าหลี่ขอให้ฉันเรียกเขาว่าพี่ใหญ่…”

“เฮ้ ช่วยถามเขาหน่อยสิ ยังต้องการน้องชายอีกคนหรือเปล่า?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า!”

ทั้งสองพูดเรื่องไร้สาระ มองหน้ากันและหัวเราะ

……

ผู้กำกับหลี่สวมเสื้อกันลมลำลองและเดินออกจากสำนักงาน เขาหันกลับมาและพูดกับเลขาของเขา “ติดต่อสถานีเหนือ ฉันจะไปเฟิ่งเป่ย และขอให้พวกเขาจัดเตรียมรถให้ฉันด้วย”

“ค่ะท่าน” เลขาพยักหน้า

ประมาณสี่โมงเย็น ผู้กำกับหลี่ขึ้นรถไฟรางเบาไปยังเมืองเฟิ่งเป่ย ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเขตบริหารพิเศษ จากนั้นจึงขึ้นรถไปยังสำนักงานของกลุ่มนายทหารฝ่ายเสนาธิการในเขตอยู่อาศัยในพื้นที่เมืองหลวง

ถัดจากโต๊ะกาแฟโบราณบนชั้นสอง ผู้กำกับหลี่กำลังจิบชาเข้มข้นและพูดด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ ฉันคิดถึงชาของท่านตลอดมาหลังจากไปอยู่ในซงเจียง”

“ฉันจะหามาให้นายตอนขากลับไป” ชายชราในวัยหกสิบเศษวางมือของเขาและถามเบาๆ “เรื่องของนายที่นั่นจบลงแล้วเหรอ?”

“ใช่ ดูเหมือนจะเรียบร้อยแล้ว” ผู้กำกับหลี่เงยหน้ามองอีกฝ่ายแล้วพูดอย่างใจเย็น “อาจารย์ครับ ฝ่ายวิชาการได้เติบโตขึ้นในแผนกต่างๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และกลุ่มผู้ปฏิบัติงานบางคนได้รวมตัวกับองค์กรและกองกำลังท้องถิ่นบางแห่ง เรากำลังรวบรวมจุดยืนของเราอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นพวกเราที่เข้ารับราชการตั้งแต่เนิ่นๆ จึงต้องระวังตัวแม้แต่กระทั่งเวลาที่เราหายใจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา”

“นายมีชื่อเสียงเลื่องลือมาสามปีแล้ว และฉันก็มีชื่อเสียงมาห้าปีแล้ว นี่ไม่ใช่การเมืองเหรอ?” ครูตอบอย่างสงบ

“ในช่วงเวลาที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรือง ทุกอย่างยังคงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่นับสภาพแวดล้อมในปัจจุบันที่มีขึ้นมีลง อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องปกติทั้งนั้น”

“แต่การขึ้นๆ ลงๆ ยังเกี่ยวข้องกับความคิดภายในของผู้คนด้วย ถ้าฉันไม่มีแรงจูงใจ แล้วฉันจะปล่อยให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงต่อไปได้อย่างไร?” ผู้กำกับหลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่ได้แสวงหาผลกำไรในตลาดยา มันเป็นเรื่องของพื้นที่และมาตรการรับมือต่างหาก”

“นายรู้ว่านายกำลังทำอะไรอยู่” ครูพยักหน้า “นายแค่ลงมือทำไปได้เลย ฉันจะพูดอะไรกับเจ้านายถ้าจำเป็น ต่อจากนี้มาเฟิ่งเป่ยบ่อยๆ สิถ้านายมีเวลา ฉันแก่แล้ว...มันจะเป็นแบบนั้นเสมอ วันที่ใครบางคนพูดบางสิ่งตื้นเขินว่า ถ้าคุณอยากทำบางสิ่งด้วยตัวเอง คุณต้องเติบโตโดยเร็ว”

“ขอบคุณครับอาจารย์” ผู้กำกับหลี่ตอบด้วยความสำนึกในพระคุณ

“ในด้านผลประโยชน์ของยานั้น มีคนมากมายที่นายต้องสนอง” ครูเตือนอีกครั้ง “ตั้งแต่สมัยโบราณ เงินไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ ฉันจะกระจายความสัมพันธ์ให้นาย แต่นายควรเลือกเองว่าจะให้ใครใกล้ชิด และให้ใครมากกว่า สำหรับใครที่ให้น้อยก็ต้องมีจิตสำนึกที่ชัดเจน ว่าทำไมนายถึงทำอย่างนั้น”

“แจ่มแจ้งครับ”

“เอาล่ะ มาดื่มชากันเถอะ” ชายชราพยักหน้าและหยุดพูดเกี่ยวกับหัวข้อนี้

……

เวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ฟ้ามืดแล้ว

ในขณะที่ฉินหยู่กำลังกินซาลาเปาแห้ง เขาขมวดคิ้วมองที่ฉีหลินแล้วถามอาการ “นายรู้สึกดีขึ้นไหม”

“ดีขึ้นแล้ว” ฉีหลินตอบทั้งที่ยังคงมีไข้ต่ำตลอดเวลา ริมฝีปากของเขาแตก ใบหน้าไร้สีเลือด และเขาก็ไออยู่เสมอ

“ให้ตายเถอะ ยาชนิดใหม่ไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่” ฉินหยู่วางซาลาเปาลงแล้วขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฉันจะไปหาเถ้าแก่และขอให้เขาแนะนำให้ฉันรู้จักกับหมอ แล้วฉันจะเลือกมาสักคนด้วยตัวเอง”

“ไม่จำเป็น” ฉีหลินโบกมือ “หลี่ถงถูกพวกเราจับมาหลายวันแล้ว ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเจียงโจวตอนนี้ มันอันตรายถ้านายไปที่นั่น”

“ถ้าฉันไม่ไป นายจะถูกไฟคลอกตาย” ฉินหยู่วางซาลาเปาลง “ไม่ต้องห่วง ฉันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”

“มันไม่จำเป็นจริงๆ” ฉีหลินกลัวว่าอาจมีบางอย่างเกิดขึ้นกับฉินหยู่ ดังนั้นเขาจึงยืนกรานอีกครั้ง “รอสามหรือสี่วันจนกว่าสินค้าจะไปถึงซงเจียง เราจะบอกสถานที่ให้โคโค่รู้ และพวกเขาจะพาหมอมาด้วย เมื่อพวกเขามารับหลี่ถง”

“เรารอไม่ได้อีกแล้ว” ฉินหยู่เอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมของเขาขึ้นมา “นายมีไข้เรื้อรัง ปัญหาใหญ่อาจเกิดขึ้นได้ ฉันควรไปพาหมอมาดีกว่า...”

“ฉันบอกว่าไม่! ฟังฉันหน่อยสิ”

ทั้งสองเริ่มโต้เถียงกันในบ้านเกี่ยวกับหมอ

“เจ้านาย พวกคุณมีอะไร...?”

ในขณะนั้น เสียงของเจ้าของหอพักก็ดังขึ้นจากนอกประตูห้องของพวกฉินหยู่

ฉินหยู่หันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงและกำลังจะเดินไปที่ประตูเพื่อมองออกไปข้างนอก ทันใดนั้น เขาเห็นคนเจ็ดแปดคนเดินมาหาเขาจากหน้าต่าง

“นั่นใคร?” ฉีหลินถามขณะนั่งอยู่บนเตียง

ฉินหยู่ขมวดคิ้วและชักปืนออกมา ปลดเซฟตี้ปืนด้วยนิ้วหัวแม่มือของเขา

“เปิดประตู!”

เสียงผู้หญิงที่ชัดเจนดังขึ้นนอกประตู

ฉินหยู่ตกตะลึงและเปิดประตู

เมื่อออกไปข้างนอก เห็นโคโค่ในชุดเสื้อกันลมสีดำ รองเท้าบูทยาวถึงเข่าและผมยาวพาดพาดไหล่ เธอดูเซ็กซี่และเย้ายวนมาก

“ทำไมคุณถึงมาที่นี่?” ฉินหยู่รู้สึกประหลาดใจมาก

“ฉันจะมาทันทีที่ฉันต้องการ” โคโค่ตอบด้วยท่าทางแปลกๆ แล้วก้าวเข้าไปในบ้าน

ฉินหยู่จ้องไปที่ด้านหลังของโคโค่ ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “คุณรู้ว่าเราอาศัยอยู่ที่นี่เหรอ?”

“ฉันเพิ่งได้ยินเรื่องนี้” โคโค่ยืนอยู่ในห้องเอามือไพล่หลังและมองดูสภาพแวดล้อม

หัวใจของฉินหยู่เต้นรัวเมื่อเขาได้รู้ และเขาก็รู้สึกกลัวโดยไม่รู้ตัว

ถ้าคนที่ถามเกี่ยวกับที่อยู่ของเขาไม่ใช่โคโค่แต่เป็นคนจากตระกูลหลี่ในเจียงโจว ตอนนี้คง...

โคโคหันกลับไปมองที่ฉินหยู่ด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ตระกูลหลี่ไม่สามารถแตะต้องที่นี่ได้ พวกเขาไม่มีอำนาจมากเท่ากับเราที่นี่”

ฉินหยู่มองที่โคโค่ด้วยความประหลาดใจราวกับว่าเขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้มองเห็นความคิดทั้งหมดของเขาแล้ว

ฉีหลินนั่งอยู่บนเตียงและมองไปที่โคโค่ ทันใดนั้นเขาก็เปิดปากแล้วถามว่า “พี่ชายของฉัน...?”

“ให้ตายเถอะ ฉันมาที่เจียงโจวด้วยความหลงใหล และก่อนที่ฉันจะได้ทำอะไร ฉันปล่อยให้ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งขังฉันไว้…” แมวแก่เดินเข้ามาจากประตูและถามอย่างกังวล “นายหายดีแล้วหรือยัง”

ฉินหยู่และฉีหลินรู้สึกโล่งใจหลังจากได้เห็นพี่รูปปั้นทราย*

“ไม่เป็นไร ฉันเจ็บแขน”

“ให้ตายห่า ฉันคิดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับนาย” แมวแก่หันกลับมาอย่างเร่งรีบและตะโกน “เอาน่า หมอ รีบมาดูน้องชายของฉันเร็วๆ สิ”

ทันทีที่เขาพูดจบ ชายวัยกลางคนก็เดินเข้ามาถือกล่องเครื่องมือเข้ามา

“คุณมาที่นี่เพื่อพาหลี่ถงไปหรือเปล่า” ฉินหยู่ถามโคโค่

“ใช่” โคโค่พยักหน้า

หลังจากที่ฉินหยู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตอบอย่างไม่แสดงอารมณ์ “นี่ไม่แหกกฎไปหน่อยเหรอ? ฉันไม่ได้บอกคุณเหรอว่า จะให้หลี่ถงกับคุณ เมื่อสินค้ามาถึงเท่านั้น”

โคโค่ได้ฟังก็ยิ้มอย่างสบายใจ “สินค้ามาถึงเจียงโจวแล้ว”

“เป็นไปไม่ได้ เงินเพิ่งไปถึงคุณวันนี้?” ฉินหยู่ไม่เชื่อ

โคโค่ประสานมือไว้ด้านหลังแล้วตอบเบาๆ “ก่อนที่เงินจะมาถึง ฉันได้ส่งคนไปส่งสินค้าให้ซงเจียงแล้ว”

ฉินหยู่ตกตะลึงและเริ่มสงสัยว่า ผู้หญิงที่วัยใกล้เคียงกับเขาคนนี้ มีความร่ำรวยมหาศาลขนาดไหน?

“เก้าโมงเช้าให้คนไปรับของได้” โคโค่เหยียดฝ่ามือออกและยิ้มจนตาหยีโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว

“ฉันหวังว่าเราจะร่วมมือกันอย่างดีต่อไป”

…………………………………………………………

*รูปปั้นทราย = คนซื่อบื้อ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด