ตอนที่แล้ว[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 52 บนถนนมรณะ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 54 ความหวังริบหรี่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง

[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 53 นี่คือชีวิตของฉัน


ตอนที่ 53 นี่คือชีวิตของฉัน

ฉินหยู่ฟังคำถามของแมวแก่และตอบด้วยเสียงหัวเราะเงียบๆ “ฉันไม่ได้ไปขโมยมัน ฉันไปที่นั่นเพื่อชื่อเสียง”

“ฮ่าฮ่า” คำตอบของเขาทำเอาแมวแก่ยิ้มอย่างหวั่นเกรง

ทั้งสองมองหน้ากันเป็นเวลานาน แล้วฉินหยู่ก็ถอนหายใจก่อนพูดต่อ “ฉันก็เป็นคนนะ จำเป็นต้องกินเหมือนกัน”

“ฉันเข้าใจแล้ว” แมวแก่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า

……

ทั้งสองขับรถนานกว่าสิบชั่วโมงจนมาถึงพื้นที่โครงการพัฒนาใกล้ภาคใต้ ซึ่งมีอุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อย ไม่หนาวเท่าตอนเหนือ สถานที่ที่ฉีหลินซ่อนตัวอยู่นั้นคือหมู่บ้านเฟิงอัน ตั้งอยู่ในที่ราบ มีภูเขาอยู่ด้านหลัง ห่างไกลจากถนนสายหลัก หลายคนมักรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อล่าสัตว์บนภูเขา ส่วนหนึ่งพวกเขาเก็บไว้กินเอง และอีกส่วนหากมากพอ พวกเขาจะขอให้ใครสักคนขนส่งมันไปยังเขตพิเศษเพื่อแลกกับเงินเพียงเล็กน้อย ดังนั้นสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยสาธารณะที่นี่จึงดีกว่าในสามสันเขา

ฉินหยู่ไม่เคยได้มาแถวเฟิงอันบ่อยนัก เพราะผู้คนที่นี่มีความพิเศษมาก คนหนึ่งร้อยคนอาจจะหาได้พอกินจากทรัพยากรบนภูเขา แต่ถ้ามีคนสองร้อย สามร้อย หรือมากกว่านั้นอาศัยอยู่ที่นี่ ทุกคนก็อาจจะไม่มีอะไรกินเลย ดังนั้นมันจึงเป็นการยากที่คนนอกจะเข้ามาตั้งหลักที่นี่ได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าฉินหยู่จะไม่เคยอยู่ที่นี่ แต่เพื่อนเก่าคนหนึ่งของเขาอาศัยอยู่ที่นี่ และมีสถานะที่แน่นอนบางอย่าง ดังนั้นเพื่อนของฉินหยู่จึงช่วยให้ฉีหลินมาหลบที่นี่

รถมาหยุดที่ทางเข้าประตูบ้านที่สร้างด้วยแผ่นไม้ ทราย และโคลน แมวแก่และฉินหยู่ลงจากรถมายืนดูสภาพบ้าน

“ให้ตายเหอะ นี่เป็นที่สำหรับคนอยู่เหรอเนี่ย?” แมวแก่มองดูบ้านที่เอียงโย้และพื้นที่รกร้างรอบบริเวณบ้าน เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวพลางถอนหายใจ “เทียบกันแล้ว เขตที่ 9 ดูเหมือนสวรรค์ไปเลย ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้ว ว่าทำไมนายถึงสามารถตั้งหลักได้ในเวลาอันรวดเร็วหลังจากนายไปอยู่ซงเจียง...หากนายสามารถอยู่ที่นี่ได้ นายก็ไปอยู่ได้ทุกที่”

“เมื่อนายเจอฉีหลิน ช่วยเบาปากกับเขาหน่อยนะ เขาแย่อยู่แล้ว ถ้านายไปต่อว่าเขาเหมือนเคย เขาจะยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นไปอีก” ฉินหยู่เตือน

“ไม่เป็นไร ถ้าฉันไม่ด่ามันสักสามวัน ขี้คร้านมันจะสะกิดฉันเองแหละ” แมวแก่ตอบโดยเอามือไพล่หลังเก็กท่า

“นายแค่เป็นหนี้มัน” ฉินหยู่ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และเดินเข้าไปในบ้าน

“แอ๊ดด!”

ประตูบ้านถูกผลักเปิดออก ฉีหลินที่ได้ยินเสียงรถก็ออกมาดู เมื่อเห็นเพื่อนทั้งสอง เขาก็ตกตะลึง

แมวแก่ก้าวไปข้างหน้า ตบหัวฉีหลินแล้วตะโกน “น้องชาย คิดถึงฉันหรือเปล่า!”

“นาย...นายสองคน...ทำไมนายถึงมาที่นี่?” ฉีหลินถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

“ฉันมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนายน่ะสิ แต่ฉันยังติดต่อนายไม่ได้ ทางเดียวก็คือต้องมาหาเท่านั้น” แมวแก่ไม่พูดอะไร เดินเข้าไปในบ้านก่อนแล้วตะโกน “แม่ เสี่ยวหยู่”

น้องสาวของฉีหลิน ฉีหยู่ได้ยินเสียงจึงเดินออกจากห้องข้างในและเรียกอย่างดีใจ “พี่แมว”

“เฮ้ น้องสาวของฉันโตขึ้นอีกแล้วนี่ เธอทั้งสดใสอ้วนท้วนขึ้นเป็นกอง!” แมวแก่เป็นคนพูดเรื่องไร้สาระกับใครก็ได้ และเขาช่างพูดจริงๆ

“แมวแก่ เจ้ามาที่นี่หรือเปล่า?”

แม่ของฉีหลินนั่งอยู่บนเตียงอุ่นไฟในบ้านตะโกนถาม

เมื่อได้ยินเช่นนี้ แมวแก่ก็ยื่นถุงอาหารขนาดใหญ่ให้กับฉีหยู่ ที่เขากับฉินหยู่หาซื้อด้วยตัวเอง และพูดด้วยรอยยิ้ม

“ทั้งหมดสำหรับเธอ มีอาหารและเสื้อผ้าใหม่อื่นๆ อยู่ในรถ ฉันจะหยิบให้เธอในทีหลังนะ”

“ขอบคุณค่ะพี่ชาย” ฉีหยู่หยิบอาหารถุงใหญ่ พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า เธอหยิบไม้นำทางแล้วพาแมวแก่เข้าไปในห้องด้านหลัง

แมวแก่นั่งบนเตียงอุ่นไฟแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “แม่เป็นยังไงบ้าง?”

“ดีมากดีมากจ้ะ”

“สบายดีก็ดีแล้วครับ ถ้าสูบบุหรี่น้อยลง...แม่จะมีชีวิตอยู่ยาวไปอีกหลายปี ฉันจะเป็นหัวหน้าตำรวจเร็วๆ นี้ ฉันจะกลับมารับแม่กับฉีหลินและน้องสาว กลับไปมีความสุขในเมืองนะ” แมวแก่คุยและพยายามให้กำลังใจหญิงชรา

……

ในอีกห้องหนึ่ง

ฉีหลินเชิญฉินหยู่ให้นั่งบนเตียงเย็นแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เดี๋ยวฉันจะไปเอาน้ำให้นะ”

“ไม่จำเป็น” ฉินหยู่โบกมือ “นั่งลงเถอะ”

ฉีหลินจึงนั่งลงข้างเขา

“อาการบาดเจ็บนายดีขึ้นแล้วหรือยัง?” ฉินหยู่ถามอย่างตรงไปตรงมา

“ก็ดีขึ้นมากแล้ว” ฉีหลินขยับแขนขาของเขาและพูดด้วยใบหน้ายินดี “ต้องขอบคุณเพื่อนนาย จอห์น หากไม่มีเขาฉันคงตายที่นี่ไปแล้ว…ที่นี่ไม่มียา เขาหาคนที่มียารักษาโรคขายและจัดการส่งมาให้ฉันเป็นพิเศษ และจัดการให้พวกฉันได้อยู่ในบ้านหลังนี้เรียบร้อย”

“นั่นสินะ” ฉินหยู่ยิ้ม

หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ฉีหลินก็ถามฉินหยู่ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “หลังจากที่ฉันจากไปแล้ว ตระกูลหยวนก่อปัญหาหรือเปล่า?”

“อืมม สถานการณ์ไม่ค่อยดี” ฉินหยู่พยักหน้าและตอบว่า “มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ แต่เราก็ถูกบังคับให้ไม่ทำอะไรเลย แมวแก่และฉันมาที่นี่ เราต้องการถามนายเกี่ยวกับเรื่องบางอย่าง”

“มีอะไรเหรอ?”

“ลองคิดดูอีกที นอกเหนือจากพัสดุที่เขามอบให้นาย อาหลงได้บอกข้อมูลอื่นๆ กับนาย ก่อนเกิดอุบัติเหตุบ้างไหม? รวมถึงเพื่อนๆ ลูกน้อง หรือ…แม้แต่ผู้หญิงที่เขาคบหาข้างนอก” ฉินหยู่พูดอย่างร้อนใจ “บอกตามจริงแล้ว ตอนนี้ตระกูลหม่าอยู่ในสภาพแย่มาก และผู้กำกับหลี่ถูกบังคับให้เข้าข้างเพราะเกิดเรื่องของนาย หยวนหัวไม่แก้แค้นตอนนี้เพราะเขาก่อเรื่องใหญ่โตที่ถนนถู่จ้า ทำให้ตอนนี้เขาต้องหลบภัยชั่วคราว แต่เขาจะสร้างปัญหาอีกแน่ในอนาคต...และเฒ่าหลี่ไม่สามารถสร้างคอนเน็กชันที่แข็งแกร่งได้หากไม่มีช่องทางแหล่งค้าส่ง และนั่นก็เท่ากับว่าช่วยเฒ่าหม่าให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้งไม่ได้ ดังนั้นแมวแก่กับฉันจึงมาที่นี่ เพียงเพื่อถามเกี่ยวกับช่องทางแหล่งค้าส่ง…”

หลังจากฉีหลินได้ฟังคำอธิบายโดยละเอียดของฉินหยู่ เขาจ้องมองไปที่พื้นอย่างว่างเปล่าและไม่พูดอะไร

“มีอะไรหรือ?” ฉินหยู่สังเกตเห็นว่าฉีหลินมีบางอย่างผิดปกติจึงถามทันที

หลังจากที่ฉีหลินเงียบไปครู่ใหญ่ จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นยืน แล้วก้มลงยกผ้าปูที่นอนขึ้น ดึงกระเป๋าหนังสีดำที่ซุกอยู่ข้างใต้ออกมาโดยไม่มีคำพูด

ฉินหยู่สับสนระคนตกตะลึง “นายหมายความว่าอะไร?”

“ลองเปิดกระเป๋าดู” ฉีหลินโยนกระเป๋าให้ฉินหยู่

ฉินหยู่จึงเปิดกระเป๋าหนังสีดำ มองเข้าไปข้างในแล้วเอื้อมมือหยิบสมุดบันทึกออกมา

ฉีหลินนั่งบนเตียงอีกครั้ง ก้มลงลูบหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสับสนจนทำอะไรไม่ถูก “พี่ชายฉันทิ้งกระเป๋าใบนี้ไว้ให้ เขาบอกฉันก่อนจะจากไปว่ามีข้อมูลการติดต่ออยู่ในนั้น  เผื่อว่าหากวันใดฉันจนตรอก ให้ฉันไปหาพวกเขาได้ ตอนนั้นน่ะ ฉันกำลังคิดเรื่องที่เขากำลังจะจากไปไกล และอีกอย่างฉันยังทำงานเป็นตำรวจ ไม่ได้จนตรอกอะไร ฉันจึงไม่ได้ถือเป็นจริงเป็นจัง ต่อมาพี่ชายฉันเสียชีวิต…หยวนเค่อจับฉันไว้และถามถึงช่องทางแหล่งค้าส่ง แล้วฉันก็นึกถึงกระเป๋าใบนี้ แต่ตอนนั้นฉันให้กระเป๋าใบนี้กับเบลล่าไป เมื่อฉันกลับไปเอามัน บังเอิญพบเธอกับไทเกอร์เป็นชู้กัน...ฉันโมโหมาก และบางทีเธออาจจะกลัวฉันด้วยก็เลยบอกว่าโยนกระเป๋าทิ้งไปแล้ว...ฉันเลยคิดว่ามันหายไป”

ฉินหยู่ฟังอย่างงงงวยกับโชคชะตาของฉีหลิน

“แต่ฉันไม่ได้คาดหวังว่า เมื่อแม่กับน้องสาวและฉันหนีมาที่นี่ ฉันพบกระเป๋าใบนี้ที่ห้องแม่” ฉีหลินส่ายหัวพร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม “เบลล่าไม่ได้โยนกระเป๋าทิ้งไป  คือแม่ของฉันต่างหาก ใช้กระเป๋าใบนี้เพื่อเก็บสิ่งของส่วนตัวของนาง และเมื่อฉันบอกนางและน้องสาวในคืนนั้นว่าพวกเราต้องหนี แม่ของฉันก็เอากระเป๋าใบนี้ใส่ไว้ในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่พวกนั้น”

ฉินหยู่พูดไม่ออกเมื่อได้ยินเรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้

“บัดซบจริงๆ นี่หรือชีวิตของฉัน!” ดวงตาของฉีหลินแสดงความโกรธออกมาโดยไม่รู้ตัว และน้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความประชดประชันและความเยือกเย็น “เมื่อฉันค้นหากระเป๋าใบนี้อย่างสิ้นหวัง ฉันคิดว่ามันหายไป แต่เมื่อฉันฆ่าคน ต้องตกงาน เจ็บปางตาย และเมื่อฉันหนีมาที่นี่พร้อมกับครอบครัวที่แตกสลาย กระเป๋านี่ก็ปรากฏขึ้นมาเอง...นายคิดว่า...พระเจ้าหันมาสนใจฉันแล้วหรือเปล่า ฮะฮะ!”

ฉินหยู่มองไปที่ฉีหลิน และทันใดนั้นก็รู้สึกว่า แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของเขาจะยังคงเหมือนเดิม แต่ความเป็นตัวเขา เปลี่ยนแปลงไปอย่างอธิบายไม่ได้

“ฉันดูสมุดบันทึกแล้ว มีเพียงหน้าเดียวในนั้นที่เป็นข้อมูลติดต่อ” ฉีหลินหันไปมองฉินหยู่แล้วพูดต่อ “แต่ฉันอยู่ในสภาพแบบนี้ไม่รู้จะโทรยังไง นายมาที่นี่ได้จังหวะพอดี โทรหาเพื่อนของพี่ชายฉันคนนี้และเชื่อมต่อช่องทางแหล่งค้าส่งให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”

“นายหมายความว่ายังไง…?” ฉินหยู่ถามอย่างไม่แน่ใจ

“ฉันเคยดูถูกพี่ชายของฉัน คิดว่าเขาไม่มีความรับผิดชอบ และมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองเท่านั้น” ฉีหลินพูดอย่างชัดเจนพร้อมรอยยิ้มบนริมฝีปาก “แต่ตอนนี้ ฉันอยากจะเดินตามเส้นทางของเขา ฉันจะสานต่องานที่เขาทำก่อนหน้านี้”

…………………………………………………………………

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด