ตอนที่แล้ว[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 35 เวลาและชะตาชีวิต
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 37 หมาป่าเดียวดายชั่วนิรันดร์

[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 36 คืนหนึ่งแห่งการสูญเสีย ฉีหลินกลายเป็นกิเลน


ตอนที่ 36 คืนหนึ่งแห่งการสูญเสีย ฉีหลินกลายเป็นกิเลน

บนชั้นสองของบ้านเดี่ยวสามชั้น ชายร่างอ้วนคนหนึ่งกำลังกินเนื้อแกะตุ๋นและดื่มเหล้าราคาแพง เขาหันไปมองคนสองคนที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “ตราบใดที่แหล่งค้าส่งถูกกำจัดออกไป ตระกูลหม่าก็จะไม่มีสินค้า แล้วธุรกิจของเขาจะตาย เมื่อถึงเวลานั้น ตลาดยาใต้ดินทั้งหมดในซงเจียงก็จะเป็นของเรา มันยังคงเป็นกฎเดิม พวกเราตระกูลหยวนจะไม่ออกหน้า คุณจะดูแลสินค้า ส่งสินค้า และเก็บเงิน เราจะถือหุ้น 70% แชร์ที่เหลือคือทุกคนแบ่งกันไป”

“ถึงตระกูลหม่าจะตาย แต่มันก็ยังมียาที่มาจากช่องทางปกติอีกไม่ใช่เหรอ จะว่าไปพวกนี้ก็เป็นคู่แข่งด้วยนา” ชายวัยกลางคนทางซ้ายเช็ดปากและตั้งข้อสังเกต

“ฮ่าๆ ช่องที่เป็นทางปกติเหรอ? พวกที่เราร่วมมือด้วยคือช่องทางปกตินั่นแหละ” ชายอ้วนผิวขาวจิบเหล้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เราได้เจรจากับบริษัทยาแล้ว พวกเขาจะขึ้นราคาอีก 30% เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว เราจะเป็นร้านที่ถูกที่สุดไม่ใช่หรือ? หากไม่มาใต้ดินเพื่อซื้อจากเรา เจ้าพวกน่าสมเพชจะยินดีจ่ายเงินพร้อมรอยยิ้มให้เหรอ?”

“เฮ้ อย่างนี้มันมั่นคงดีนี่” ชายร่างผอมทางขวายิ้ม หยิบแก้วเหล้าขึ้นชูพร้อมพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันขอให้ตระกูลหม่าตายเร็วๆ”

“ฮ่าฮ่า พวกมันเสร็จแน่”

พวกเขาทั้งสามยิ้ม ยกแก้วชนกันแล้วดื่มกันอย่างสนุกสนาน

ทันใดนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าของชายหนุ่มที่มีเกล็ดหิมะเกาะบนร่างกายก้าวขึ้นมาจากชั้นล่าง

ชายอ้วนผิวขาวเงยหน้าขึ้นมองบันได ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “นายเป็นใคร”

“ฉันชื่อฉีหลิน” ชายหนุ่มก้มลงปัดเกล็ดหิมะบนร่างกายของเขาแล้วตอบสั้นๆ

พวกเขาทั้งสามอึ้งนิ่งเงียบไปเมื่อได้ยินคำตอบ แล้วค่อยๆ วางแก้วเหล้าลง

ฉีหลินก้าวไปข้างหน้า หันมองลงไปที่เนื้อแกะบนโต๊ะ ยิ้มและนั่งลงบนเก้าอี้ว่าง “เหล้าชั้นดีและอาหารอร่อย”

ชายอ้วนผิวขาวเงียบไปสองสามวินาที เขาขมวดคิ้วพลางหยิบซองบุหรี่ขึ้นมา หยิบออกมาคาบไว้ในปากของเขาหนึ่งมวนพร้อมก่นด่าลูกน้อง “ไอ้จาข่าสารเลว มันเริ่มกวนประสาทฉันมากขึ้นเรื่อยๆ แม่งเล่นไพ่นกกระจอกอยู่ชั้นล่างแท้ๆ แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเข้ามาในบ้าน”

หลังจากพูดอย่างนั้น ชายอ้วนผิวขาวก็หยิบไฟแช็กขึ้นมาแล้วจะจุดบุหรี่

“ฝุบ!”

ฉีหลินเอามือล้วงกระเป๋าแล้วเป่าไฟจากไฟแช็กดับลง

ชายอ้วนผิวขาวลังเลอยู่ครึ่งวินาทีแล้วหันไปมองฉีหลินแล้วเอียงคอถาม

“ฉันไม่เคยรู้จักนายมาก่อน แต่ฉันเพิ่งได้ยินเรื่องนายวันนี้ ฉันกำลังงงว่านายมาทำอะไรที่นี่?”

“คุณเป็นพี่ชายคนโตของหยวนเค่อใช่ไหม?” ฉีหลินถาม

ชายอ้วนผิวขาวถุยบุหรี่ออกจากปาก “ฉันเป็นลุงของเขา ฉันคือหยวนเหว่ย”

แววตาของฉีหลินเต็มไปด้วยความผิดหวัง “นึกว่าฉันพบต้นตอของเรื่องนี้แล้วเสียอีก”

“ฮ่าฮ่า ไอ้เวร!” หยวนเหว่ยระเบิดหัวเราะและเม้มริมฝีปาก ชี้ไปทางชั้นล่างพร้อมพูดว่า

“แกต้องการจับฉันละสิ แกรู้ไหมว่านี่คือที่ไหน? ถ้าฉันตะโกน คนของฉันพร้อมปืนจะขึ้นมานี่ เชื่อไหมล่ะ!”

ฉีหลินหยุดและคิดชั่วครู่ พลางจ้องไปที่หยวนเหว่ยแล้วพูดว่า “คุณมีน้องชายหรือเปล่า?”

“ฮ่าฮ่า ไอ้โง่นี่” ชายวัยกลางคนทางด้านซ้ายยิ้ม ทันใดนั้น เขาเอื้อมมาจิกผมบนหัวฉีหลินดึงอย่างอุกอาจพร้อมพูดอย่างโอหัง “ถ้าตระกูลหยวนไม่มีพี่น้อง พวกเขาจะบุกเบิกเข้ามาเติบโตในเฮ่ยเจียได้ยังไง! แค่เอาข้อมูลที่เราต้องการมา แล้วไสหัวไปซะ! แกมาทำอ้อยอิ่งอะไรที่นี่? รู้ไหมว่ามีผู้คนมากแค่ไหนที่ทำงานในอุตสาหกรรมยา ให้ตายห่าสิ...!”

ฉีหลินหันมองขณะหยิบปืนออกมาจ่อเข้าที่หน้าผากของชายวัยกลางคน และพูดอย่างเฉยชา

“ครอบครัวของข้าถูกทำลายแล้ว แกยังจะให้ข้ากราบตีนพวกแกอีก?”

“บูม!”

เสียงปืนดังขึ้น ชายวัยกลางคนล้มลง เลือดสีแดงและเศษเนื้อสมองและเศษกะโหลกสีขาวกระเด็นกระจายไปทั่วโต๊ะเพิ่มสีสันให้หม้อไฟรสเผ็ดร้อน หยวนเหว่ยและชายอีกคนตะลึงตัวแข็งทันที ชายวัยกลางคนล้มลงกับพื้นพร้อมกับเก้าอี้ กระตุกสองสามครั้งแล้วสิ้นใจคาที่

ฉีหลินถือปืนและมองไปทางชายอ้วนผิวขาว “แกไม่มีลูกน้องเหรอ? เรียกพวกมันมาทั้งหมดเลย”

มุมปากของหยวนเหว่ยกระตุกหลายครั้ง เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเลือดบนใบหน้า แล้วหันหน้าไปตะโกนอย่างมึนงง “มีคนบุกเข้ามา!”

แม้ไม่ต้องตะโกนก็มีค่าเท่ากัน ทันทีที่คนที่ชั้นล่างได้ยินเสียงปืน ลูกน้องหกเจ็ดคนก็รีบออกจากห้องหมากรุกและห้องไพ่ พร้อมปืนไว้ในมือแล้วขึ้นไปที่ชั้นสองด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“เกิดอะไรขึ้น? ไวอากร้า!” หัวหน้าสมุนร้องถามหยวนเหว่ยด้วยดวงตาเบิกตากว้าง

“พวกแกมีแค่นี้เองเหรอ?” ฉีหลินหยิบแก้วไวน์ขาวด้วยมือซ้าย ดื่มหมดในอึกเดียว ยืนขึ้นและรีบวิ่งไปที่ประตู

“เอามันให้ตาย!” หยวนเหว่ยลุกขึ้นยืนตะโกนในทันใด

ที่ทางขึ้นบันได สมุนหกเจ็ดคนยกปืนสี่กระบอกขึ้นด้วยความตื่นตระหนก

“ปัง ปัง ปัง...!”

กระสุนปืนพุ่งเสียดแทงอย่างรวดเร็วผ่านความเงียบยามค่ำคืน

ฉีหลินยืนประจันหน้ากับพวกสมุนอยู่กับที่ และลั่นไกใส่พวกมันไม่ยั้งจนเสียงปืนเงียบลง

สี่วินาทีต่อมา

สมุนสี่คนล้มลงที่ประตู ในขณะที่ฉีหลินถูกยิงเข้าที่ช่องท้องด้านซ้าย

กลิ่นคาวเลือดเริ่มคละคลุ้งภายในบ้าน และมีคนสองสามคนที่เหลือหลบอยู่ที่ประตู ถือปืนอยู่ในมือ พวกเขาขาสั่นด้วยความกลัว สมุนอีกคนหนึ่งถูกยิงนอนอยู่บนพื้นหายใจพะงาบๆ เขาดิ้นเพียงเล็กน้อยก่อนวิญญาณจะออกจากร่างไป

หยวนเหว่ยและเพื่อนของเขายืนอยู่ข้างโต๊ะอาหารอย่างตกตะลึงไม่เชื่อสายตาตนเอง

“ไอ้สารเลว แกอยากมีชีวิตอยู่ แต่แกก็ยังต้องทำงานเป็นมือปืนอยู่ใช่มั้ย!”ฉีหลินตะโกนไปที่บันไดด้วยใบหน้าซีดเซียว “พวกแกจะทำแบบนั้นได้ไง?”

ได้ยินเสียงคำรามของฉีหลิน หมาจื่อจอมกะล่อนที่หลบอยู่ตรงทางเข้าบันไดก็ถอยกลับไปอีกสองสามก้าว

ฉีหลินก้าวออกไปจากที่กำบัง กำลังจะรีบลงไป แต่พวกสมุนข้างล่างต่างหันหลังกลับวิ่งหนีไป

หยวนเหว่ยหันไปมองที่ฉีหลิน สีหน้าของเขาไม่สงบเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป

ฉีหลินถือปืนไว้ในมือขวา สอดมือซ้ายเข้าไปในบาดแผลที่หน้าท้อง เขาใช้นิ้วล้วงเข้าไปควานในแผลเพียงไม่กี่วินาทีแล้วดึงกระสุนที่มีรูปร่างบิดเบี้ยวออกมา เขาโยนมันลงบนโต๊ะหม้อไฟ และพูดกับหยวนเหว่ยด้วยน้ำเสียงนิ่ง “แกยังมีลูกน้องเหลืออีกไหม?”

หยวนเหว่ยพูดไม่ออก

“ถ้าไม่มีแล้ว โทรไปบอกให้ไอ้เสือใหญ่พาน้องสาวฉันมานี่ภายในสิบนาที แค่สิบนาที!” ขณะที่เขาพูด ฉีหลินก็หยิบขวดเหล้าขึ้นมาด้วยมือซ้ายที่เต็มไปด้วยเลือด เขายกขึ้นดื่มไปสามอึกใหญ่และพูดกับตัวเอง “ระยำจริง เพิ่งจะรู้ว่าการยิงคนไม่ได้ยากไปกว่าการยิงเป้ากระดาษแม้แต่นิดเดียว”

ในขณะนี้ ดวงตาของฉีหลินไม่เหลือความขมขื่นและความหมองหม่นอีกต่อไป แต่มีเพียงความโกรธและชาชินเท่านั้น

……

หนึ่งนาทีต่อมา

เสือใหญ่ลากฉีหยู่เข้าไปในรถพลางคุยโทรศัพท์ไปด้วย “ไอ้โง่ฉีหลินมันไปที่บ่อนไพ่ ลุงของคุณอยู่ที่นั่น และเขาถูกปืนจี้ไว้”

“ลุงฉันโทรหานายหรือเปล่า?”

“ใช่ ฉันสั่งลูกน้องให้เตรียมตัวกันแล้ว”

“นายไปพูดอะไรไร้สาระให้ฉีหลินมันเครียดอีกหรือเปล่า?” หยวนเค่อถามอย่างกังวล

“ฉันไม่ได้ทำ” เสือใหญ่โต้แย้ง “ฉันก็คุยกับมันตามปกติ”

“แย่จริง! นายไปที่นั่นเร็วๆ ฉันก็จะไปเหมือนกัน” หยวนเค่อไม่มีเวลาโต้เถียงกับเสือใหญ่ เขาจึงวางสายโทรศัพท์แล้วรีบออกจากออฟฟิศไปทันที

รถของเสือใหญ่นำพวกกับรถอีกสามคันแล่นออกไปตามถนนอย่างรวดเร็ว มุ่งไปที่บ่อนการพนัน ที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากที่อยู่ของเขานัก

ภายในชั้นสอง

ใบหน้าของฉีหลินขณะนี้แดงเป็นสีกุหลาบเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ปนความหนาวและความเจ็บปวด เขาก้มลงเปลี่ยนแมกาซีนกระสุนสำรองพร้อมหันไปมองชายที่อยู่ข้างๆ หยวนเหว่ย แล้วถามว่า “แกรู้จักฉันไหม?”

ชายคนนั้นตกตะลึงเมื่อถูกถาม

“ฟังให้ดี ฉันชื่อฉีหลิน”

“ปัง ปัง!”

ทันทีที่คำพูดจบลงเสียงปืนก็ดังขึ้น กระสุนสองนัดเจาะเข้าหน้าอกของชายวัยกลางคน เลือดระเบิดฟุ้งกระจายออกมาเป็นสาย แล้วเขาถอยล้มลงกับพื้นตามแรงถีบของกระสุนกับดวงตาที่เบิกโพลง

หยวนเหว่ยหันมองไปที่ห้องโถงที่เต็มไปด้วยเลือดบนชั้นสอง เช่นเดียวกับหมาจื่อและเพื่อนๆ ที่ตกตายตามกัน ทันใดนั้นหยวนเหว่ยก็รู้สึกว่าท้องของเขาปั่นป่วน และก้มลงไปอาเจียนเอาเนื้อแกะต้มร้อนๆ ที่เขาเพิ่งกินออกมาทั้งหมด

……

ไม่ถึงสิบนาที

รถสี่คันรีบมาจอดที่หน้าบ้านของบ้านเดี่ยวสามชั้น เสือใหญ่เปิดประตูรถ ดึงปืนกลสั้นแบบพับได้ออกมาจากใต้เบาะรถ แล้วตะโกนว่า “ตามข้ามา ข้าจะถลกหนังพวกมัน!”

“ฮูเร่!”

คนเกือบยี่สิบคนลงจากรถสี่คัน พร้อมอาวุธครบมือรีบวิ่งเข้าไปในอาคาร

“ตึกตึกตึกตึก!”

ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของเสือใหญ่ก็ดังขึ้น เขาก้มมองไปที่หมายเลขผู้โทร “ไม่ต้องห่วง ข้าอยู่นี่แล้วไอ้ระยำ! แกรออยู่นั่นแหละ”

“ข้าไม่ได้อยู่ในบ้าน” เสียงของฉีหลินดังขึ้น

เสือใหญ่ตะลึงเมื่อได้ยินเสียง

“สั่งลูกน้องแกให้เข้าไปในบ้าน ขึ้นไปชั้นสามและยืนข้างหน้าต่าง” ฉีหลินสั่งด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

“แก ไอ้สารเลว...!”

“หากพวกแกไม่ขึ้นไปชั้นบนภายในสามสิบวินาที ฉันจะส่งหยวนเหว่ยขึ้นสวรรค์”

“แกไม่ต้องการน้องสาวของแกแล้วใช่ไหม?” เสือใหญ่ก้าวเดินไปที่รถ

“ทุกคนเหมือนตายไปแล้ว ข้าจะต้องกลัวอะไรอีกล่ะ?” ฉีหลินตอบด้วยเสียงในลำคอ “คุณยิงน้องสาวฉันต่อหน้าต่อตา เธอตายแล้ว หยวนเว่ยกับฉันจะไปด้วยกัน”

เสือใหญ่หยุดเมื่อได้ยินเสียง

“ยังมีเวลาอีกยี่สิบวินาที” ฉีหลินเร่งเร้าอย่างใจเย็น

เสือใหญ่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา หันขวับมาตะโกน “พวกแกทุกคนวิ่งไปที่ชั้นสามเดี๋ยวนี้! ไป!”

หลังจากที่ทุกคนตกตะลึงไปชั่ววูบ พวกเขาก็รีบวิ่งไปที่ชั้นสามทันทีพร้อมกับปืนในมือ

ในอาคารฝั่งตรงข้ามถนน ฉีหลินเอื้อมมือไปดึงหยวนเหว่ยออกมาทันทีที่เขาเห็นคนของอีกฝ่ายรีบวิ่งเข้าไปในห้อง

“เสือใหญ่!”

หยวนเหว่ยตะโกนด้วยขาที่อ่อนแรง

เสือใหญ่หันกลับมาและเห็นฉีหลิน

ที่ข้างถนน ฉีหลินคว้าคอของหยวนเหว่ยแล้วกวักปืนเรียก “มานี่!”

เสือใหญ่ลังเลอยู่ครึ่งวินาที จากนั้นจึงก้าวไปเปิดประตูรถและโน้มตัวเข้าไปจะพูดกับฉีหยู่

“ปัง!”

เสียงปืนดังขึ้น

“อ่าคค!!”

หยวนเว่ยถูกยิงเข้าที่ช่องท้องร่วงคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับส่งเสียงครวญคราง “เสือใหญ่! อย่าขยับ อย่าขยับ...อย่าขยับ เขาฆ่าคนชั้นบนไปหกเจ็ดคนแล้ว”

เส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาบนหน้าผากของเสือใหญ่ หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เขาก็กัดฟันและผลักประตูรถให้เปิดออกอีกที

“มานี่!” ฉีหลินตะโกนอีกครั้ง

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเสือใหญ่จำใจเดินไปที่กลางถนนและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฉีหลิน ข้ายอมแล้ว ข้าทึ่งในตัวแกจริงๆ แกปล่อยไวอากร้าไป แล้วข้าจะไปกับแก...ข้าจะช่วยพาแกออกจากซงเจียง เอาไหม?”

ฉีหลินจ้องมองเขาโดยปราศจากคำพูด

“แกจะจับไวอากร้าทำไม? มันคุยกันได้นี่นา? เราไม่จำเป็นต้องต่อสู้กันตลอดเวลา...ใช่ไหม?” เสือใหญ่กลอกตามองไปรอบๆ ด้วยขณะที่เขาเดินไปข้างหน้า

“ปัง!”

ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นอีกครั้ง เสือใหญ่ซึ่งอยู่ห่างจากฉีหลินเจ็ดแปดเมตร ถูกยิงเข้าที่ข้อมือขวาของเขา และปืนกลสั้นของเขาก็กระเด็นตกพื้นทันที

“ไอ้สัตว์นรกเอ๊ย!” เสือคำรามหันหลังไปมองหาปืนที่พื้น

“หยุด! ถ้าขยับอีกข้าจะทุบแกให้ตายอย่างทรมาน” ฉีหลินตะโกนด้วยเสียงต่ำอย่างหนักหน่วง

เสือใหญ่ตัวแข็งอยู่ตรงนั้น กำหมัดแน่นแล้วตะโกนว่า “แกจะทำอะไรล่ะ? แกไม่ต้องการมีชีวิตอยู่กับแม่และน้องสาวแล้วใช่ไหม? ถ้าทำอย่างงี้แล้วชีวิตแกจะดีขึ้นหรือเปล่า?”

“ข้าเคยดีกว่านี้มาก่อนหรือเปล่า?” ฉีหลินปล่อยหยวนเหว่ยที่ถูกยิงบาดเจ็บ และเดินไปหาเสือใหญ่เพียงลำพัง

“ข้าคุกเข่าให้แกไม่ได้ และข้าก็เป็นหมาของแกไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนมันซะ ข้าต้องการเป็นคน ต้องการเป็นเจ้านาย

ข้าต้องการฆ่าแกก่อนเพื่อฝึกฝนความกล้า ข้าอยากจะเอาสิ่งที่ข้าให้ไปกลับคืนในขณะที่คุกเข่าให้พวกแกอยู่”

“ไอ้สารเลว แกมันบ้า...”

“ปัง ปัง!”

ฉีหลินเล็งปืนไปที่เสือใหญ่ และเหนี่ยวไกปืนสองครั้งติดต่อกัน เสือใหญ่จะวิ่งหนีแต่ไม่ทัน กระสุนพุ่งเจาะร่างล้มลงตายคาที่ บนถนนที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดหิมะ มีเลือดไหลนองไปเป็นวงแผ่ออกไป

ริมถนน หยวนเหว่ยคำนับฉีหลินติดต่อกันหลายครั้ง “พี่ชาย... พี่ชายกิเลน ครั้งนี้ฉันคุกเข่าให้นาย... ฉันยอมแล้ว ฉันยอมแล้วจริงๆ ฉันรับประกันนายด้วยหัวของฉันเลย ว่านายสามารถไปจากที่นี่ได้ จะไม่มีคนขวาง…”

“แกควรขอร้องยมฑูตว่าอย่าให้โอกาสฉีหลิน ต่อข้า ถ้าข้าไม่ตายในวันหน้า ถ้าพระเจ้าอนุญาตให้ข้ายืนขึ้นอีกครั้ง... ข้าจะทำให้สามกิโลทางเหนือของซงเจียง เต็มไปด้วยสุสานตระกูลหยวน” ฉีหลินยืนอยู่บนถนนและคำรามด้วยความรู้สึกหมดสิ้นแล้วในชีวิต เขาชักปืนกระบอกที่สองออกมาด้วยมือซ้าย แล้วเหนี่ยวไกจนหมดแมกาซีน

ควันสีขาวปกคลุมไปทั่วถนน และหลังจากเสียงปืนดังขึ้น หยวนเหว่ยก็เสียชีวิตอย่างน่าสลดใจไปด้วยควันสีขาวพร้อมกับรูพรุนทั่วร่างกายมีเลือดทะลักอาบทั่วร่างกายของเขา

ฉีหลินเดินไปขึ้นรถที่น้องสาวเขาอยู่ข้างใน เข้าเกียร์แล้วจากไป

สิบนาทีต่อมาบนถนน

ฉีหยู่มองไม่เห็น จึงก้มหัวลงทั้งน้ำตาและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “...พี่ชาย...แม่และฉันควรจะตายไปนานแล้ว...เราคือตัวถ่วงของพี่...ฉันขอโทษ ฉันขอโทษจริงๆ”

“น้องเล็ก ถ้าเธอตาย... พี่จะตายด้วย...” การมองเห็นของฉีหลินค่อยๆ พร่ามัวลง บาดแผลที่ท้องเลือดไหลออกมาไม่หยุด ใบหน้าของเขาซีดเผือดมากกว่าเดิม ทันใดนั้นหัวของเขาฟุ่บลงกระแทกพวงมาลัย!

รถเสียการควบคุมทันทีและชนเข้ากับตรอกข้างทาง

ฉีหยู่ส่ายหัวไล่ความมึนงงของเธอแล้วลุกขึ้นนั่ง เธอใช้มือสัมผัสร่างกายของฉีหลินไปทั่ว พยายามให้รู้ว่าสภาพฉีหลินเป็นอย่างไรแล้วตะโกนด้วยความตกใจ “พี่ชาย พี่เป็นอะไรไป พี่พูดจา…”

“โทร...โทร...ฉันมีเพื่อนที่สามารถ...ส่ง...ส่งเธอและแม่ไป...” ฉีหลินหลับตาพึมพำด้วยพลังเฮือกสุดท้ายของเขา

หลังจากนั้นไม่กี่วินาที

แมวแก่รับโทรศัพท์ “สวัสดี?”

………………………………………………………………..

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด