ตอนที่แล้วSign in Buddha's palm 141
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปSign in Buddha's palm 143

Sign in Buddha's palm 142 กองทัพขนาดใหญ่ผนึกกำลัง


Sign in Buddha's palm 142 กองทัพขนาดใหญ่ผนึกกำลัง

ตำหนักไท่จี๋

เมื่อพวกเขาได้ยินว่าราชาหัวเมืองทั้งสิบจะนำทัพนับล้านบุกเข้าเมืองฉางอัน ทุกคนต่างก็ตกตะลึง

ขุนนางทั้งหลายไม่คาดคิดว่าราชาหัวเมืองทั้งสิบจะกล้าก่อกบฏเช่นนี้?

“เป็นไปได้เยี่ยงไร?”

จักรพรรดิถังหลี่เชิงตกใจ ใบหน้าของเขาดูงุนงง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาสืบทราบจนเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับราชาหัวเมืองทั้งสิบ

แม้ว่าราชาหัวเมืองทั้งสิบจะดูเหมือนยึดโยงซึ่งกันและกันที่หน้าฉาก แต่แท้จริงแล้วต่างขัดแย้งกันเอง ไม่มีใครเชื่อใจกันทั้งนั้น

หากจักรพรรดิหลี่เชิงแห่งราชวงศ์ถังข่มเหงราชาหัวเมืองทั้งสิบอย่างเปิดเผย ขุนนางหัวเมืองทั้งสิบอาจจะรวมกำลังเพื่อสะสางเรื่องราว แต่จักรพรรดิหลี่เชิงเองก็ไม่ได้กดดันเหล่าราชาหัวเมืองมากจนเกินไป...

เขาเพิ่งจะถอนรากถอนโคนสายลับที่ราชาหัวเมืองวางเอาไว้ในฉางอัน แม้ดูเหมือนว่ามันจะส่งผลอย่างมากต่อเหล่าราชาหัวเมือง แต่ความจริงก็ไม่ได้เป็นการทำร้ายอะไรกันมากนัก

ท้ายที่สุดรากฐานจริงๆ ของเหล่าองค์ชายก็อยู่ในพื้นที่ของตนเอง ตราบใดที่จักรพรรดิหลี่เชิงไม่ยื่นพระหัตถ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอำนาจนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้

แม้ว่าเหล่าองค์ชายจะทะเยอทะยาน แต่พวกเขาไม่กล้าก่อกบฏอย่างเปิดเผย เพราะนี่เท่ากับการพลิกผืนแผ่นดินอาณาจักรถังอย่างสมบูรณ์ ไม่มีทางให้ถอยหนีอีกแล้ว

เมื่อสำเร็จก็คงจะดี

แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากล้มเหลว?

องค์ชายพวกนั้นไม่กล้าเสี่ยงกับสิ่งนี้แน่

“อะไรคือเหตุผลที่ราชาหัวเมืองตัดสินใจก่อกบฏกัน?”

จักรพรรดิถังหลี่เชิงแอบรู้สึกได้ถึงปัญหา แต่เขาก็ไม่สามารถเข้าใจปัญหานั้นได้

“ฝ่าบาท”

“ตอนนี้ควรทำเช่นไรดี?”

ในเวลานี้ขุนนางคนหนึ่งลุกขึ้นถามด้วยความเป็นห่วง

“ทำเช่นไร?”

จักรพรรดิถังหลี่เชิงลุกขึ้นยืนทันที ใบหน้าประดับไปด้วยความเย็นชา “ในเมื่อพวกเขาต้องการจะสู้ ข้าก็จะสู้กับพวกเขาเอง”

ถ้าเหล่าองค์ชายไม่ก่อการกบฏ หลี่เชิงก็ไม่รังเกียจเลยที่จะใช้เวลาหลายสิบปี ค่อยๆ กำจัดเขี้ยวเล็บของเหล่าองค์ชาย และในที่สุดก็จะถึงเวลาตัดทอนอำนาจศักดินา

แต่ตอนนี้ เหล่าองค์ชายได้นำกองทหารนับล้านนายบุกเข้ามาในเมืองฉางอัน จักรพรรดิหลี่เชิงจึงไม่มีทางเลือกอื่น

ถ้าเขามัวแต่มาลนลานตอนนี้ มันไม่ใช่แค่ตนเองต้องเสียหน้า แต่ทั้งตระกูลหลี่จะต้องอับอายขายขี้หน้า

“เจ้ากระทรวงยุทธนาการ[1]

จักรพรรดิถังหลี่เชิงมองไปที่ขุนนางเจ้ากระทรวงยุทธนาการในทันที

“ข้าน้อยอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”

ขุนนางเจ้ากระทรวงยุทธนาการยืนขึ้นโค้งคำนับ

“รวบรวมกำลังไพร่พล”

จักรพรรดิถังหลี่เชิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ตามพระบัญชา”

ขุนนางเจ้ากระทรวงยุทธนาการโค้งคำนับพร้อมกล่าวคำ

ด้านนอกตำหนักชุนฝั่งขวา

“ลุงสาม”

องค์หญิงหลีหว่านยืนอยู่แถวนั้นแล้วตะโกนเข้าไปด้านในตำหนักชุนฝั่งขวา

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ซูฉินเดินออกมา เหลือบมององค์หญิงหลีหว่าน และถามออกมาอย่างสบายๆ

“ก็คราวที่แล้วมิใช่ลุงสามหรือที่บอกว่าหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการฝึกยุทธให้มาหาได้น่ะ?”

องค์หญิงหลีหว่านทำตาโตกะพริบตาปริบๆ นางพูดอย่างน่าสงสารว่า “หรือว่าลุงสามจะลืมไปแล้ว...”

“ก็ได้ ถามมาก็ได้”

ซูฉินส่ายหัว เขาไม่รู้ว่าองค์หญิงหลีหว่านไปเรียนวิธีการออดอ้อนแบบนี้มาจากใคร เขาจำได้ว่าน้องสาวของเขา ซูเยว่หยุนก็ทำเช่นนี้ไม่ได้...

“เอาล่ะ”

“แล้วหลี่หยวนได้ฝึกวิทยายุทธหรือไม่?”

ซูฉินถาม

หลี่หยวนเป็นพระโอรสของจักรพรรดิหลี่เชิงแห่งราชวงศ์ถัง และจะกลายเป็นองค์รัชทายาทในอนาคต

หลี่หยวนกลัวซูฉินมากราวกับหนูเห็นแมว ไม่เหมือนกับหลีหว่านเลย

“เขาหรอ? เขาไม่สนใจการฝึกยุทธเลย ข้าไม่อยากจะคุยอะไรกับเขา...”

องค์หญิงหลีหว่านส่ายหัวทำเลียนแบบผู้ใหญ่ “ข้าเพิ่งจะทุบตีเขาเมื่อวานแล้วบอกให้เขานำของอร่อยๆ มาให้ข้า...”

ซูฉินพูดไม่ออกเมื่อได้ฟัง

อย่างไรเสียองค์หญิงหลีหว่านก็เป็นผู้ฝึกยุทธในระดับชั้นที่เก้า ย่อมไม่มีปัญหาในการทุบตีเด็กอย่างหลี่หยวนที่อายุไม่ถึงสิบขวบปี

“บอกข้ามาเรื่องข้อสงสัยของเจ้า”

ซูฉินไม่พูดเรื่องอื่นต่อ รีบตัดเข้าประเด็นโดยตรง

“ลุงสาม ทุกครั้งที่ข้าฝึกฝน ข้าจะรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ข้าลองถามกงกงสองสามคนมาแล้ว พวกเขาก็บอกว่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาแค่บอกให้ข้าลองทำดูอีกครั้งสองครั้ง...”

องค์หญิงหลีหว่านมองไปที่ซูฉินอย่างคาดหวัง

ตั้งแต่นางจำความได้ ซูฉินก็อยู่ในตำหนักชุนฝั่งขวาตลอด ราวกับว่าไม่ได้ออกไปไหนเลย

แม้แต่พระบิดาของนางก็เคารพซูฉินอย่างมาก และไม่ได้ปฏิบัติต่อซูฉินเหมือนคนธรรมดา

ดังนั้นในใจขององค์หญิงหลีหว่าน ซูฉินนั้นควรจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ

“งั้นเจ้าต้องลองทำให้ข้าดูแล้วล่ะ”

ซูฉินเหลือบมององค์หญิงหลีหว่าน รู้สึกได้ว่าพอจะรู้สาเหตุแล้ว แต่ก็ปล่อยให้นางได้แสดงอะไรสักหน่อย

“ได้เลย”

องค์หญิงหลีหว่านนั่งลงขัดสมาธิ ค่อยๆ เริ่มฝึกฝน

เพียงชั่วแวบเดียว

ซูฉินก็หยุดนางเอาไว้

“เจ้าควรจะเปลี่ยนวิธีบ่มเพาะ”

ซูฉินกล่าว

ปัญหาที่องค์หญิงหลีหว่านเผชิญอยู่คือความไม่สอดคล้องกันระหว่างวิชาฝึกฝนกับร่างกายของนางเอง

แน่นอนว่าความไม่สอดคล้องนี้เล็กน้อยมาก และเป็นเรื่องยากที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะตรวจจับได้

แต่ในสายตาของซูฉินมันง่ายเหมือนกับมองดูเส้นลายมือ

“เอ๋?”

“เปลี่ยนเป็นวิชาบ่มเพาะอื่น...”

องค์หญิงหลีหว่านรู้สึกงงงวย

วิชาบ่มเพาะที่นางฝึกเป็นวิชาที่ดีที่สุดในวังหลวงแล้ว หากนางต้องเปลี่ยนจริงๆ นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเปลี่ยนเป็นอันไหน

“เจ้ารอสักครู่หนึ่ง”

ซูฉินเหลือบมองไปที่องค์หญิงหลีหว่านและเดินกลับไปที่ตำหนักชุนฝั่งขวา

ไม่นาน

ซูฉินเดินกลับออกมา ในมือถือกระดาษที่หมึกยังเปียกชุ่มอยู่

“เจ้าสามารถลองฝึกฝนตามนี้ได้”

ซูฉินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจอะไร

สิ่งที่เขียนไว้บนแผ่นกระดาษเป็นวิชาบ่มเพาะที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ได้มาในช่วงสองสามปีก่อน แม้ว่ามันอาจจะไม่สามารถเทียบได้กับวิชาอื่นๆ ที่ซูฉินได้มา แต่ก็เป็นวิชาบ่มเพาะที่เหมาะสมกับร่างกายขององค์หญิงหลีหว่านที่สุด

องค์หญิงหลีหว่านหยิบกระดาษมาแล้วตรวจสอบอย่างระมัดระวังอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของนางก็เบิกกว้างออกด้วยความไม่อยากเชื่อ

แม้ว่านางจะเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธในระดับชั้นที่เก้า แต่องค์หญิงหลีหว่านก็พอจะรับรู้ได้ว่าวิชาบ่มเพาะที่ซูฉินมอบให้ เหมือนจะดียิ่งกว่าวิชาบ่มเพาะทั้งหลายที่มีอยู่ในวังหลวง

“จำเอาไว้”

“วิทยายุทธนั้น การฝึกฝนไปทีละขั้นตอนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อย่างได้ใจร้อนเป็นอันขาด”

หลังจากที่ซูฉินกล่าวคำออกมาไม่กี่คำ เขาก็ปล่อยให้องค์หญิงหลีหว่านกลับไป

หลังจากที่องค์หญิงหลีหว่านกลับไป ซูฉินก็มองไปยังทิศทางของแนวชายแดน

“ราชาหัวเมืองทั้งสิบรวบรวมกำลังพลนับล้านกำลังบุกเข้ามา?”

ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

และตั้งแต่มีข่าวออกมาในช่วงเช้า เมืองฉางอันก็ตื่นตระหนก แม้แต่คนในวังก็ซุบซิบเรื่องนี้กัน

ในเวลาเดียวกัน

ห่างจากตัวเมืองฉางอันหลายพันลี้

กองทหารหลายล้านคนของเหล่าองค์ชายได้ตั้งค่ายอยู่ที่นี่

ที่ด้านหลังของกองทัพ ราชาหัวเมืองทั้งสิบก็รวมตัวกันอยู่ในกระโจม

“ผู้อาวุโส”

“ข้าจะรอ โปรดทำตามคำกล่าวของท่าน”

“เมื่อกองทัพเข้าใกล้เมืองฉางอัน บรรพบุรุษเก่าแก่ในวังคงต้องฝากไว้ในมือของท่าน...”

ราชาเจี้ยนหนานมองไปที่ชายหน้าตาเฉยเมยซึ่งอยู่ไม่ไกล ด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเคารพนับถืออยู่เล็กน้อย

เมื่อราชาหัวเมืองอีกเก้าคนได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของพวกเขาก็แสดงความเคารพออกมาเช่นกัน

ถ้าไม่ใช่เพราะชายหน้าตาเฉยเมยผู้นี้เปิดเผยตัวตนออกมา ราชาหัวเมืองเหล่านี้ก็คงไม่กล้าเคลื่อนไหวและก่อการจลาจลเช่นนี้

ราชาหัวเมืองนั้นมีดินแดนที่แยกเป็นเอกเทศ แม้จะอยู่ใต้จักรพรรดิแต่นั่นก็แค่ในนาม จริงๆ แล้วอาณาเขตของพวกเขาเหมือนเป็นเขตแดนอิสระ

ความมั่งคั่งมั่งมี อำนาจ และสาวงาม พวกเขาต้องการส่งมันต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน

ด้วยสิ่งเหล่านี้องค์ชายจะกล้าเสี่ยงก่อกบฏได้อย่างไร

แต่ผลประโยชน์ที่ได้รับมาจากชายหน้าตาเฉยเมยผู้นี้มันมากเกินไป จนเหล่าองค์ชายรู้สึกว่าการก่อกบฏครั้งนี้ไม่มีวันล้มเหลว ดังนั้นพวกเขาจึงเดิมพันด้วยทุกสิ่งที่พวกเขามี

-----------------------------------------------------------------------------

[1] 兵部尚书 Bīngbù shàngshū ขุนนางเจ้ากระทรวงยุทธนาการ แบ่งออกได้เป็นสองคำ คือ ปิงปู้ กับ ช่างชู

ช่างชู เดิมเป็นคำเรียกเสมียนเก็บรักษาจดหมายเหตุ แต่ภายหลังนำมาใช้เรียกตำแหน่งหัวหน้ากระทรวง (ปู้)

ปิงปู้ คือหัวหน้ากระทรวงยุทธนาการ รับผิดชอบการแต่งตั้ง อวยยศ เลื่อนยศ ลดยศและถอดยศข้าราชการ รวมไปถึงกิจการทางการทหารต่างๆ เช่น การรบ การป้องกันประเทศ ตลอดจนงานส่งข่าวข้อความในช่วงสงคราม

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด