ตอนที่แล้ว[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 33 ชีวิตอันโหดร้าย ทำลายกระดูกสันหลังด้วยหมัดเดียว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 35 เวลาและชะตาชีวิต

[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 34 หลบหนีสุดขีด เอาชีวิตให้รอด


ตอนที่ 34 หลบหนีสุดขีด เอาชีวิตให้รอด

ในบริเวณเขตพื้นที่อยู่อาศัย ชายแดนซงเจียง แมวแก่ยืนอยู่ข้างรถและรับโทรศัพท์ของฉีหลิน “เฮ่ ว่าไงวะ?”

“นายอยู่ในกองกำกับการเหรอ?”

“แม่ง อะไร นายไม่รู้เหรอ? ว่าฉันมาที่ชายแดนเพื่อจับพ่อค้าข้าวเถื่อน” แมวแก่ปาดเหงื่อออกจากหน้าแล้วตอบว่า

“เพิ่งจับเสร็จจะกลับแล้ว”  

เมื่อฉีหลินได้ยินเช่นนั้นก็เดาว่า แมวแก่ดูเหมือนจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในกองกำกับการตำรวจ ฉีหลินไม่เล่ารายละเอียดให้แมวแก่ฟัง แต่กัดฟันขอร้องอย่างรวบรัดว่า “ฉันกำลังลำบากมาก และฉันต้องการความช่วยเหลือจากนาย”

“มีเรื่องอะไรเหรอ?” แมวแก่ยังสบายๆ อยู่

“...ฉันไม่สะดวกที่จะคุยทางโทรศัพท์ตอนนี้ นายช่วยรีบกลับมารับแม่และน้องสาวของฉันที่บ้านได้ไหม?” ฉีหลินบอกเบาๆ “ฉันจะไม่รบกวนนายนานหรอก ขอให้พวกเขาไปอยู่กับนายสักสองชั่วโมงเท่านั้น”

“นายเกิดบ้าอะไรขึ้นวะเนี่ย?” แมวแก่สับสนเล็กน้อย เพราะฉีหลินไม่เคยบอกอะไรเขาในลักษณะนี้เลย

“อย่าถามรายละเอียด สั้นๆ คือฉันอยู่ในซงเจียงไม่ได้แล้ว ฉันต้องออกไปนอกเมือง” ฉีหลินไม่มีเวลาอธิบายให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะกลัวว่าสองคนที่จ้องมองเขาอยู่ข้างนอกจะสงสัย “ตอนนี้ไม่มีใครช่วยฉันได้เลย เหลือนายคนเดียว”

“ตกลง! ฉันจะรีบกลับเลย” แมวแก่ตอบโดยไม่ต้องคิด “เราจะไปถึงที่นั่นภายในประมาณครึ่งชั่วโมง”

“แมวแก่ นายอย่าบอกใครนะว่าฉันโทรหานาย”

“...ฉันไม่บอกใครแน่นอน” เจ้าแมวแก่ไม่ใช่คนที่รับปากสัญญาอะไรง่ายๆ แต่ตราบใดที่เขารับคำสัญญานั้นอย่างจริงจัง เขาก็ไม่เคยผิดสัญญา

“แม่และน้องสาวจะไปสถานีรถไฟสายเหนือเร็วๆ นี้” ฉีหลินบอกเบาๆ “นายไปรับพวกเขาที่นั่น ฉันจะโทรหานายอีกทีเมื่อฉันเสร็จแล้ว”

แมวแก่เงียบไปสักพัก แล้วจู่ๆ ก็ถามว่า “เฒ่าหลี่สามารถช่วยนายได้ไหม ถ้าได้ ฉันจะโทรหาเขาทันทีเลย”

เมื่อฉีหลินได้ยินคำถาม ขอบตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำและริมฝีปากเขาสั่นเทิ้มสักครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เขา... เขาช่วยไม่ได้”

หัวใจของแมวแก่เต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อได้รับรู้ความรู้สึกที่มากับเสียงนั้น “ฉันจะไม่พูดอะไรแล้ว จะกลับไปทันที!”

“ขอบคุณ”

“ขอบคุณหอกอะไรเพื่อน โทรหาฉันได้ตลอดเวลา ถ้านายต้องการอะไร”

“ตกลง”

หลังจากที่ทั้งสองพูดจบ แมวแก่ก็กระชากประตูรถพร้อมตะโกนบอกเพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างนอก ที่กำลังเคลียร์พื้นที่เกิดเหตุว่า “ฉันรีบจะออกไปก่อน พวกแกกลับไปเอง แล้วโทรหาฉันเมื่อกลับถึงสำนักงานด้วยล่ะ”

“มีอะไรเหรอ รองหัวหน้า?” มือปราบลูกทีมที่อยู่ไม่ไกลตะโกนถาม

“บรื๊นน!”

แมวแก่ไม่ตอบ เหยียบคันเร่งรถแล้วพุ่งหายตัวไปในยามราตรี

ที่บ้านฉีหลิน

ฉีหลินก้าวไปที่ด้านหลังของตู้เสื้อผ้า ก้มลงและเอื้อมมือเข้าไปในช่องว่างระหว่างตู้เสื้อผ้ากับผนัง หลังจากควานหาบางสิ่งอยู่เป็นเวลานาน เขาก็ดึงม้วนกระดาษเสื่อน้ำมันออกมา

ฉีหลินเดินมาวางของที่โต๊ะ เขาคลี่ม้วนกระดาษออก เผยให้เห็นปืนพกลำกล้องขนาดใหญ่รุ่น P202 ที่ห่ออยู่ภายใน

ฉีหลินซื้อปืนนี้มาในราคา 400 หยวนจากพ่อค้าปืนเมื่อสามปีที่แล้ว เพื่อฝึกซ้อมยิงปืนนอกเวลาปฏิบัติงาน เนื่องจากเขามีกระสุนฝึกซ้อมอยู่ที่กองกำกับการตำรวจอยู่จำนวนหนึ่ง และไม่มีเงินเหลือที่จะซื้ออุปกรณ์แต่งปืนเพิ่มเป็นพิเศษ จึงทำได้แค่ฝึกฝนด้วยตัวเองกับปืนสภาพเดิมๆ ด้วยความหวังว่าจะใช้ฝีมือที่มีไปเป็นคะแนนเตรียมสอบให้ได้เกรดดีและเลื่อนขั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับที่สอง  แม้ในความเป็นจริง ฉีหลินจะได้รับการจัดอันดับเป็นตำรวจมือปราบที่แม่นปืน เป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของกองกำกับการตำรวจที่นี่ แต่ถึงกระนั้น เขาเพียงแค่ได้รับรางวัลเงินสดจำนวนหนึ่ง กับได้รับคืนเงินที่เขาใช้ไปในการซื้อปืนมาเพื่อใช้แข่งขันเท่านั้น...แต่โควตาการเลื่อนขั้นนั้น ปกติมักมอบให้กับผู้ที่ไม่ค่อยใช้ปืนเป็นส่วนใหญ่

ฉีหลินตรวจสอบอาวุธปืนอย่างชำนาญ เข้าก้มหน้าก้มตาเติมกระสุนใส่แมกาซีนสำรองอีกสองอัน จากนั้นเหน็บปืนเข้าไปในช่องกระเป๋าพิเศษที่ติดอยู่กับกางเกงในและมีกางเกงปกติชั้นนอกปกปิดมันไว้อีกที เมื่อเรียบร้อยแล้วเขาจึงเดินออกไปเมื่อเขาก้าวพ้นประตูบ้านไป จู่ๆ ฉีหลินก็หยุดเดินลง และหันกลับมามองบ้านของเขาอีกครั้ง ท่ามกลางลมหนาวและน้ำค้างแข็งข้างนอกอันเยือกเย็น

บ้านแบบบังกะโลเล็กๆ กับเฟอร์นิเจอร์เรียบง่ายถูกๆ ไม่กี่ชิ้น นั่นคือทั้งหมดที่ฉีหลินมี และเคยก้มหัวให้ทุกคนพร้อมกับต่อสู้เพื่อสิ่งเหล่านี้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาไม่สามารถเอาสิ่งใดไปได้เลย

มีรางวัลและถ้วยรางวัลมากมายบนตู้ ซึ่งเป็นผลงานแข่งขันยิงปืนของเขา แต่สิ่งที่น่าขันคือ...เขาไม่เคยยิงแม้แต่นัดเดียวในภารกิจจับกุมคดีจริงๆ

ฉีหลินจ้องลึกเข้าไปในห้องเป็นเวลานานก่อนจะหันหลังกลับเดินจากไป

เมื่อเดินผ่านประตูเหล็กและผ่านกำแพงมาอีกด้าน ฉีหลินก็มาถึงบ้านแม่ของเขา “แม่ เก็บของเรียบร้อยหรือยัง?”

“ลูก…เจ้าไปทำอะไรถึงต้องเจอเรื่องแบบนี้เนี่ย…? ทำไมจู่ๆ เราถึงต้องย้ายบ้านล่ะ...!?” หญิงชราถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือขณะนั่งอยู่บนเตียง

“แม่ ฉันไม่สามารถอธิบายอะไรให้แม่เข้าใจตอนนี้ได้ แต่แม่ไม่ต้องกังวล ฉันติดต่อกับพี่ใหญ่ไว้แล้ว ไปหาเขากัน ใช้เวลาเดินทางแค่ข้ามคืนเท่านั้น” ฉีหลินจำเป็นต้องโกหกสีขาวอย่างช่วยไม่ได้

หญิงชราได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจ ยกมือปาดน้ำตาที่หางตาแล้วบ่นว่า “ทั้งหมด...แม่ผิดเอง...ที่โง่เขลา...บังคับให้เจ้าแต่งเมีย...เพราะเธอหรือเปล่าที่เราต้องจากไปกะทันหัน?”

ฉีหลินมองดูแม่ของเขาพลางระงับความรู้สึกคับข้องในใจ เขาหันกลับมา และพาน้องสาวของเขาไปที่ประตู คุกเข่าลงและบอกว่า “น้องเล็ก หลังจากที่ฉันออกไปห้านาที เธอพาแม่ไปที่สถานีรถไฟสายเหนือนะ”

“ค่ะ” แม้ว่าน้องสาวจะมองไม่เห็น แต่เธอก็สงบอย่างน่าประหลาดใจ และพยักหน้าโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ บนใบหน้าที่สวยงามของเธอ

“เธอจำเสียงแมวแก่ได้ใช่ไหม? เมื่อเขามาถึง เธอกับแม่ไปขึ้นรถของเขา ฉันจะไปรับเธออีกต่อ อย่างช้าที่สุดภายในสองชั่วโมง” ฉีหลินบอกเธออีกรอบ

น้องสาวเงียบไปนาน ทันใดนั้นก็โน้มตัวไปข้างหูของฉีหลินแล้วพูดว่า “ฉันรู้ว่าพี่รองจะกลับมา”

ฉีหลินอึ้งไปครู่หนึ่ง และรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาขวางที่ลำคอ

“พี่ใหญ่จากไปแล้ว…ฉันไม่อยากเสียพี่รองไปอีกคน”

“...ฉันจะกลับมาแน่นอน” ฉีหลินกัดฟันและกลั้นน้ำตาขณะที่เขาตอบ

“พี่ไปเถอะ”

“รอพี่นะ” ฉีหลินลุกขึ้น และเดินออกจากบ้านไปด้วยก้าวย่างที่เดิมพันด้วยชีวิตของเขา

ห้านาทีต่อมา ฉีหลินก็กลับไปที่รถ

ชายคนที่เป็นคนขับรถเหลือบมองที่ฉีหลิน ขมวดคิ้วและถามว่า “ทำไมนานนักล่ะ?”

“คุณไม่ได้ยินเหรอ?” ฉีหลินถามอย่างไม่แสดงอารมณ์

ชายคนขับรถนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งจึงใส่เกียร์รถพร้อมตอบว่า “ฉันได้ยินเสียงทะเลาะกัน เกิดอะไรขึ้นที่บ้านนาย?”

“ไม่มีอะไร ไปกันเถอะ”

“ของอยู่ไหน?” ชายคนขับรถถามขณะขับรถ

“อยู่ที่ตัวฉัน” ฉีหลินตอบอย่างว่างเปล่า “ไปหากัปตันหยวน”

“ตกลง” ชายคนขับรถเหยียบคันเร่งแล้วรีบออกจากตรอกข้างบ้านของฉีหลินไป

บนถนนเส้นหนึ่งในย่านที่มืดมิด

หลังจากฉินหยู่ออกมาจากเรือนจำซงเจียงที่สาม เขาได้ขับรถมาที่นี่ หลังจากรอเกือบครึ่งชั่วโมงก็มีคนมาเคาะกระจกรถของเขา

ฉินหยู่เงยหน้าขึ้นมองไปที่ชายฉกรรจ์ที่อยู่นอกรถ จากนั้นก็เปิดประตูแล้วเดินออกไป

“ยกมือขึ้น” ชายฉกรรจ์พูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ไร้อารมณ์

ฉินหยู่ขมวดคิ้วลังเล และยกแขนของเขาขึ้น

ชายฉกรรจ์ใช้มือคลำตามลำตัวของฉินหยู่อย่างระมัดระวัง เมื่อไม่พบอาวุธใดๆ เขาก็พูดเบาๆ “ตามฉันมา”

สองนาทีต่อมา ทั้งสองเดินเข้าไปในอาคารริมถนนด้วยกัน และเห็นผู้เฒ่าหม่านั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องมืดสลัวบนชั้นหนึ่ง

“นายตามหาฉันทำไม” ผู้เฒ่าหม่าก้มลงแล้วตรวจเช็กปืนสั้นและพลิกไปมา พร้อมถามด้วยสีหน้าที่แสดงเจตนาชั่วร้ายอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด

หลังจากที่ฉินหยู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ก้มลงหยิบบุหรี่ไฟฟ้าออกมาสูบแล้วพูดว่า “คดีของหมาเหล่าเอ้อและต้าหมินเราแก้ไขได้”

ผู้เฒ่าหม่าผงะและหัวเราะทันที “ฮ่าฮ่า ให้ตายเถอะ! หยวนเค่อส่งนายมาเล่นกลให้ฉันดูอีกใช่ไหม?”

ฉินหยู่ก้มลงหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง เปิดเสียงที่อัดไว้ในโทรศัพท์ แล้ววางไว้ตรงหน้าผู้เฒ่าหม่า

หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสียงของหมาเหล่าเอ้อก็ดังขึ้น “ลุง ท่านคุยกับคนนี้ได้นะ”

ชายชราตะลึงเมื่อได้ยินเสียงของหลานชาย

“ฉันมาที่นี่เพื่อบอกคุณว่า ตอนที่หมาเหล่าเอ้อและต้าหมินถูกจับทั้งคนกับของที่ขโมยมา แต่ความต้องการของคุณมักจะขัดแย้งกับการสอบสวน คุณต่อสู้กับระบบตุลาการ และปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือข้อมูลเกี่ยวกับอาชญากรรม คุณคิดอยู่เสมอว่า สามารถเอาคนของคุณออกมาได้ทั้งคู่อย่างง่ายๆ แต่ความจริงมันไม่ง่ายขนาดนั้น” ฉินหยู่พ่นควันบุหรี่แล้วพูดเบาๆ “เก็บคนหนึ่งไว้ แล้วโอกาสหน้ายังมีอยู่อีก”

ผู้เฒ่าหม่าจ้องมองและคาดคะเนฉินหยู่ไม่ถูก แม้เขาไม่แสดงออกมาทางสีหน้า แต่ในใจของผู้เฒ่าหม่าก็รู้สึกสับสนอย่างสิ้นเชิงเกี่ยวกับแนวทางของฉินหยู่

“ฉันหมดธุระแล้ว ไปกันเถอะ” ฉินหยู่หันหลังกลับและต้องการจะออกไป

“เดี๋ยวก่อน!” ผู้เฒ่าหม่าตะโกน

ฉินหยู่ หันกลับมาเมื่อเขาได้ยินคำถาม “นายกำลังทำอะไรอยู่?”

“ทำไมนายถึงทำอย่างนี้ มันหมายความว่ายังไง” ผู้เฒ่าหม่าถามอย่างตรงไปตรงมา

ฉินหยู่ก้มหน้าลงคิดอยู่ครู่ใหญ่ แล้วเงยหน้าขึ้นตอบอย่างรวบรัดว่า “เพราะฉันไม่อยากเป็นเหมือนไอ้โง่ ที่รุกรานพ่อค้ายาและพี่น้องติดยาผู้น่าสงสาร และท้ายที่สุดเงินก็จะไหลไปลงกระเป๋าของคนอื่น ถ้าคุณฉลาด ก็แกล้งทำเป็นว่าวันนี้ฉันไม่เคยมาที่นี่...จากนี้ไปเราต่างคนต่างเดิน”

หลังจากพูดอย่างนั้น ฉินหยู่ก็เปิดประตูแล้วออกไป

รถคันหนึ่งแล่นมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็มาถึงบริเวณใกล้กับกองกำกับการตำรวจ ชายฉกรรจ์คนขับรถหันมองไปที่ฉีหลิน จากนั้นก้มลงแล้วกดโทรศัพท์มือถือไปหาหยวนเค่อ

“สวัสดี?” เสียงของหยวนเค่อดังขึ้น

“เขาได้ของแล้วครับ เราจะไปถึงที่นั่นแล้ว”

“ปล่อยเขาเข้ามา แล้วพวกนายจะกลับไปได้” หยวนเค่อสั่งอย่างรัดกุม

“ครับ”

ทันทีที่คำพูดจบลงทั้งสองก็วางสายลง

หยวนเค่อนั่งอยู่ในออฟฟิศ ก้มลงแล้วกดส่งข้อความถึงพี่ชายคนโต “ช่องทางการจัดส่งกำลังมา”

“โอเค!” พี่ชายใหญ่ตอบกลับมาในทันที

ภายในรถ

ชายฉกรรจ์คนขับรถหันพวงมาลัยไปทางซ้ายแล้วเงยหน้าขึ้นมองบริเวณหน้าตึกกองกำกับการตำรวจ “ลงจากรถ แล้วขากลับ นายกลับบ้านเองนะ เสี่ยวเค่อกำลังรอนายอยู่ในออฟฟิศ”

“ขวับ!”

ทันใดนั้นฉีหลินก็หยิบปืนออกมาจากในกางเกงของเขาและจ่อไปที่หัวของชายฉกรรจ์ทั้งสอง สลับกันไปมา

ชายสองคนในรถผงะและหันกลับไปมองฉีหลินทันที

“ของนั่นหายไปแล้ว ฉันหามันไม่เจอจริงๆ...” ฉีหลินพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แต่มือที่กำปืนอยู่กลับนิ่งไม่มีสั่นคลอน “ฉันกลับเข้าไปอีกไม่ได้แล้ว ถ้าฉันเข้าไป ฉันคงไม่มีวันได้กลับออกมาอีกแน่”

“นายกำลังหาที่ตายอยู่นะ” ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “บ้านของนายอยู่ที่นี่ นายจะไปไหนได้ นอกจากกลับบ้าน นายจะออกจากซงเจียงได้ไหม?”

“ฉันจะลองดู” ฉีหลินพูดด้วยมุมปากกระตุกเพราะความเครียด “ขับไปตามถนน”

“ไอ้เหี้ย...!” ชายฉกรรจ์ในที่นั่งข้างคนขับอ้าปากเริ่มด่าฉีหลิน

“อย่าบังคับฉัน! ฉันไม่มีทางออก” ฉีหลินขัดจังหวะอีกฝ่ายด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว

“ไว้ชีวิตฉัน แล้วฉันจะไว้ชีวิตนายสองคน”

ทั้งสองเงียบลง

“ขับไปข้างหน้า” ฉีหลินบอกพร้อมกับกำปืนแน่นในมือ “ไปตามทางที่ฉันบอก!”

ประมาณสิบห้านาทีต่อมา รถออฟโรดได้หยุดลงบนถนนรกร้างที่ไม่มีคนอยู่อาศัย ห่างจากตัวเมืองประมาณห้ากิโลเมตร

“หยุด” ฉีหลินสั่งพร้อมกับปืนในมือ

คนขับรถมองย้อนกลับไปที่ฉีหลินเมื่อได้ยินเสียง ทันใดนั้นก็หมุนพวงมาลัยไปทางซ้ายเล็กน้อย แล้วกระทืบเบรกในฉับพลัน

“เอี๊ยด!”

รถเสียหลักไถลไปกับถนนที่ลื่นและเต็มไปด้วยหิมะอย่างควบคุมไม่ได้ ส่วนหน้าของรถก็พุ่งลงไปในคูน้ำข้างทาง

“แม่งเอ๊ย! พวกแกเล่นลูกไม้กับฉันนี่!” ร่างกายของฉีหลินสั่นสะเทือนด้วยแรงกระแทก เขาหันไปใช้ด้ามปืนฟาดหัวคนขับหลายครั้งด้วยความโมโห

คนขับยกมือปัดป้องศีรษะและพูดเสียงแข็งกระด้างโดยไม่ตกใจ “เฮ่ย! นายจะรีบร้อนไปตายที่ไหน? ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวเราช่วยกันผลักรถออกจากติดหล่มก่อนก็ได้!”

ฉีหลินชะโงกมองออกไปนอกหน้าต่างรถ แล้วเห็นว่าหน้ารถจมลึก เขากัดฟันตัดสินใจเปิดประตูออกไปจากรถ และชี้ปืนไปที่คนทั้งสองในรถ และสั่งพวกเขา “โยนปืนกับโทรศัพท์ออกมาให้หมด”

ชายฉกรรจ์ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหยุดพูดเรื่องไร้สาระ ก้มหยิบโทรศัพท์มือถือและปืนออกโยนออกมาข้างนอกหน้าต่างรถ

“ปัง ปัง!”

ฉีหลินยิงปืนสองนัดใส่ยางด้านขวาทั้งสองหน้าหลัง เขาเข้าไปในรถอีกครั้ง และค้นอาวุธในตัวทั้งสองอีกทีอย่างระมัดระวัง ก่อนจะสั่งว่า “หยุดไล่ตามฉัน ถ้าพวกแกไล่ตามฉันอีก...เราไปนรกด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ”

ฉีหลินรีบออกจากรถเดินไปหยิบปืนและโทรศัพท์มือถือของพวกเขา และหันหลังวิ่งหนีไป

“ไอ้ฉิบหายเอ๊ย!”

หลังจากดูฉีหลินวิ่งจากไปแล้ว ชายฉกรรจ์เอากำปั้นทุบพวงมาลัยอย่างฉุนเฉียว “ข้าเป็นเหยี่ยวมาตลอดชีวิต เสือกมาโดนไอ้นกกระจอกจิกตาจนได้”

ชายวัยกลางคนที่นั่งข้างคนขับก้มลงเปิดกล่องเก็บของหน้ารถ แล้วหยิบซองหนังออกมาพร้อมพูด

“...แม่ง แกจะประสาทไปถึงไหน นี่! โทรศัพท์ใหม่สองเครื่องเพิ่งส่งมาให้”

“หา? เร็วเข้า แกะออกมาใช้เร็วๆ” ​​คนขับตะโกนด้วยดวงตาเป็นประกายแห่งความดีใจ

บนทางหลวง

รถตำรวจคันหนึ่งเร่งความเร็วขึ้น ทันใดนั้นก็มีเสียงแปลกๆ จากแชสซีของรถ ตามมาด้วยตัวถังสั่นอย่างรุนแรงและเครื่องยนต์ดับทันที และไฟก็ดับลง

แมวแก่เอาหัวโขกพวงมาลัยแล้วก่นด่าด้วยความโมโห “มันเป็นเหี้ยอะไรวะ?!”

สถานีรถไฟสายเหนือ

น้องสาวของฉีหลินพาแม่มานั่งรอที่ทางเข้าทางเดินใต้ดินที่สามารถบังลมหนาวได้ แล้วเธอจึงพาร่างกายที่ผอมบางของเธอออกไปยืนรอที่ข้างถนน รอคอยการมาถึงของแมวแก่

……………………………………………………………

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด