ตอนที่แล้ว[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 21 เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ ฉันต้องทำให้ดีที่สุด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 23 ทุกสิ่งพูดได้ด้วยเงิน

[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 22 ผู้ซื้อ


ตอนที่ 22 ผู้ซื้อ

วันที่สอง

ทันทีที่ฉินหยู่เข้าไปในกองกำกับการตำรวจ แมวแก่เข้ามาหาเขา “นายทำอะไรอยู่”

“เหล่าเฮยพูดกับฉันสองสามคำก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ขอให้ฉันอนุมัติเงินบำนาญของเขาและส่งไปให้เด็กสองคนที่เขาเป็นคนเลี้ยงดูอยู่” ฉินหยู่ตอบขณะดื่มน้ำ “ฉันเพิ่งเขียนรายงานเสร็จ กำลังจะเอาไปส่ง”

“อ้อ”

“นายเสียลูกทีมไปสามคน แล้วไม่ต้องทำรายงานหรือจัดการอะไรอื่นเหรอ?” ฉินหยู่กระตือรือร้นถาม

“ฉันกำลังทำอยู่ และกำลังติดต่อกับครอบครัวของเพื่อนที่เสียไป” แมวแก่ก้มหน้าลงแล้วตอบว่า “ฉันไม่ชอบช่วงเวลาแบบนี้ เลยยังไม่ไป”

“อ้อ” ฉินหยู่พยักหน้า

“เฮ้ นายจะมีอะไรให้ทำเร็วๆ นี้ไหม” แมวแก่ถามขึ้นทันใด

ฉินหยู่ผงะไปครู่หนึ่ง “ฉันว่าจะไปสอบสวนเด็กหนุ่มสองคนนั่นต่อน่าจะดีกว่า แต่ก็ไม่มีอะไรสำคัญหรอก”

“งั้นไปบ้านฉีหลินกับฉันกัน” แมวแก่จงใจแสร้งทำเป็นไม่แยแสใครตามปกติ “เขาถูกย้ายไปทำงานด้านพลาธิการ และจะไม่มีการจ่ายเงินอุดหนุนภาคสนามในอนาคต และเงินเดือนของเขาลดลง… ฉันเกรงว่าถ้าเจ้านี่ไม่คิดหน้าคิดหลัง มันจะแขวนคอตัวเองนะสิ”

หลังจากได้รู้จักกันมาระยะหนึ่ง ฉินหยู่ได้ค้นพบอีกว่าแมวแก่คนนี้มีนิสัยปากพล่อย บางครั้งเขาพูดโดยไม่ใส่ใจกับความรู้สึกของคนอื่นแม้เขาจะรู้อยู่แก่ใจดี เขาคงรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดที่ร้านอาหารเช้าเมื่อวานนี้มันแรงเกินไป ดังนั้นเขาจึงควรแก้ไขบางอย่าง แต่เขาทนไม่ได้ที่จะไปเผชิญหน้าฉีหลินด้วยตัวเองเพียงลำพัง ดังนั้นเขาจึงมาที่นี่เพื่อรวบรวมสติและความกล้าให้ตัวเอง

“เดี๋ยวเลิกงานตอนเที่ยงกันเถอะ ฉันต้องไปที่ที่พักของจูเหว่ยเพื่อดูการสอบปากคำทีหลังด้วย” ฉินหยู่ตอบพลางชำเลืองไปที่นาฬิกาแขวน

“โอเค แล้วฉันจะโทรหานายตอนเที่ยง”

“ดี”

...

ทันทีที่ระฆังเที่ยงผ่านไป แมวแก่กับฉินหยู่เดินทางไปที่บ้านของฉีหลินด้วยมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของแมวแก่

ในความเป็นจริง คนที่สามารถทำงานเป็นข้าราชการกรมตำรวจได้ ถือว่ามีคุณภาพชีวิตดีในยุคนี้ อย่างน้อยในเขตพิเศษที่ 9 พวกเขาถือเป็นกลุ่มรายได้ปานกลาง เพราะไม่ว่างานจะอันตรายแค่ไหน ก็ยังได้เงินเดือนคงที่ประจำทุกเดือน แต่ถึงอย่างนั้น ชีวิตของฉีหลินยังลำบากมาก ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในสลัมชายขอบเขตเฮ่ยเจีย และคนส่วนใหญ่ที่นี่ไม่มีงานมั่นคง มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยสำหรับคนวัยหนุ่มสาว อย่างน้อยพวกเขาสามารถทำงานหนักให้มีกินมีใช้

แต่คนแก่ คนอ่อนแอ คนป่วย และคนพิการจะลำบาก ส่วนมากคนเหล่านี้ไม่สามารถทำงานได้จริง และรัฐบาลซงเจียงก็ไม่มีทรัพยากรอาหารเพียงพอสำหรับทุกคน จึงมีคนตายเพราะความอดอยากที่นี่ไม่น้อย เกิดอาชญากรรมสูงมาก และการหมุนเวียนจ้างงานกับการเลิกจ้าง เป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับดินแดนแห่งนี้

สาเหตุที่ฉีหลินอาศัยอยู่ในสถานที่แบบนี้เป็นเพราะมีปัญหาทางเศรษฐกิจ บ้านที่นี่ราคาถูก มีไฟและน้ำให้ใช้ตอนกลางคืน ค่าครองชีพต่ำมาก ดังนั้นเขาจึงสามารถหักเงินส่วนใหญ่มาจุนเจือครอบครัวได้ และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาใช้เวลาส่วนมากอยู่ในสำนักงานกองกำกับการตำรวจ แม้ว่าวันไหนเขาจะเลิกงานก่อนเวลา เขากลับบ้านหลังอาหารเย็นแล้วกลับเข้ามาอีกตอนมืด แม้แต่เสื้อผ้าที่บ้านก็ยังเอามาซักที่หอพักตำรวจ... ทั้งหมดนี้เพื่อประหยัดเงินค่าน้ำไฟที่ต้องจ่ายในราคาแพงกว่าสมัยก่อนเป็นเท่าตัว

ฉินหยู่ก้าวเข้าไปในลานเล็กๆ ของบ้านฉีหลิน แล้วหันมองไปรอบๆ เขาเห็นว่าลานเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีพื้นที่ประมาณสามหรือสี่ร้อยตารางเมตร แต่ส่วนใหญ่เป็นของเจ้าของบ้าน มีบังกะโลเตี้ยและแคบที่ฉีหลินเช่าอยู่มาเนิ่นนานแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น บังกะโล 2 หลังยังหันหน้าเข้าหากัน ขวางกั้นด้วยกำแพงและประตูเหล็ก... คนที่ไม่เข้าใจแผนผังนี้คงมองว่าแปลก แต่คนที่เข้าใจจะรู้ว่า เพราะเจ้าของบ้านกลัวว่าผู้เช่าอาจมีมือเท้าไม่สะอาด จึงต้องสร้างกำแพงกั้นเป็นพิเศษ และประตูเหล็กต้องล็อกเวลากลางคืน มันก็แค่ว่าฉีหลินอาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้ว เจ้าของบ้านอาจจะรู้ว่าเขาทำงานอะไร ดังนั้นเขาจึงรับการผ่อนคลายระเบียบ ประตูเหล็กจึงถูกเปิดทิ้งไว้เป็นเวลานานแล้ว เพื่อแสดงความนับถือฉีหลินบ้างไม่มากก็น้อย...

หลังจากที่ทั้งสองเข้าไปในลาน พวกเขาเงยหน้าขึ้นและเห็นฉีหลินนั่งอยู่บนขั้นบันไดหน้าบ้านด้วยความงุนงงและหดหู่

“ทำอะไรน่ะ” แมวแก่รีบวิ่งเข้ามาถาม

ฉีหลินผงะและยืนขึ้น “นายสองคนมาที่นี่ทำไม?”

“มาดูกันว่านายตายหรือยังอยู่นะสิ” แมวแก่มีความสามารถที่จะพูดไม่เข้าหูคนได้ดี เวลาที่เขามีเรื่องจะพูด

“เข้ามา เข้ามา” คนอย่างฉีหลินอาจจะมีความสามารถลืมความขัดแย้งและความขายหน้าได้ดีที่สุด เขาไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้แม้แต่น้อย และปรับอารมณ์อย่างรวดเร็ว เขาทักทายทั้งสองคนและเชิญเข้าไปในบ้านด้วยรอยยิ้ม

“แม่อยู่ไหน” แมวแก่ถาม

“แม่ของฉันนอนอยู่ห้องตรงข้าม น้องสาวของฉันไปทำงานแปลกๆ กับคนอื่น ตอนนี้เธอไม่อยู่บ้าน” ฉีหลินยิ้ม

“เข้าไปดื่มน้ำกันก่อน”

“อย่าเพิ่งดื่ม ไปหาแม่นายกันเถอะ” แมวแก่นำอาหารที่เตรียมมาเป็นพิเศษสำหรับแม่ของฉีหลินด้วย

ฉีหลินเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายหัวแล้วพูดว่า “อย่าไป”

“เกิดอะไรขึ้น?” ฉินหยู่ถาม

“เราทะเลาะกัน”

“ให้ตายเหอะวะ!” แมวแก่สบถเมื่อได้ยินคำตอบ “ที่นายไม่โกรธพวกเรา เพราะนายไประบายใส่แม่นายเหรอ? นายอายุเท่าไหร่แล้ว ให้ความหวังกับเธอบ้างสิ ปัดโธ่!”

“ใจเย็นก่อนสิ แม่ต่างหากที่เป็นคนมาใส่อารมณ์กับฉัน” ฉีหลินถอนหายใจและพูดว่า “เรื่องของเรื่องคือ ฉันต้องหาลูกสะใภ้เข้าบ้านมาให้เธอ นายบอกว่า... ฉันจะถูกปรับย้ายไปพลาธิการ ถึงตอนนั้นเงินเดือนฉันจะลดลงไปหนึ่งร้อยดอลลาร์ต่อเดือน นั่นมันมากเกินไป ทุกวันนี้มันก็อยู่ยากอยู่แล้ว แล้วฉันจะมีปัญญาไปหาลูกสะใภ้ให้แม่ได้ที่ไหน?”

“แล้วทำไมจู่ๆ นายถึงถูกขอให้หาเมียวะ?” แมวแก่ถามด้วยความสงสัยแกมงง

ฉีหลินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพาทั้งสองคนไปพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องของเขา

แม่ของฉีหลินทนทุกข์ทรมานจากโรคตับที่เป็นมาอย่างยาวนานโดยไม่มีเงินเพียงพอจะรักษา จนตอนนี้อาการรุนแรงขยายตัวเพิ่มขึ้น อวัยวะสำคัญๆ ในร่างกายกำลังฝ่อลง เวลาในชีวิตของแม่กำลังจะหมดไปแล้ว… หญิงชราผ่านชีวิตมาโดยไม่ได้รับการศึกษาและไร้วัฒนธรรม ครอบครัวของเธอต้องผจญภัยพิบัติมากมายตลอดมา ก่อนที่เธอจะจากไป เธอคงไม่มีความปรารถนาใดๆ อีก นอกจากต้องการให้ฉีหลินแต่งงาน แล้วเธอจะได้เห็นหลานก่อนที่เธอจะต้องหลับตาลงไปอย่างไม่มีวันตื่น...  ฉีหลินยังรู้เหตุผลลึกๆ อีกว่าทำไมแม่ทำอย่างนี้ หญิงชราไม่ต้องการให้เขาใช้เงินเพื่อรักษาเธอไปมากกว่านี้ แต่ให้ใช้เพื่อตัวฉีหลินเอง เธอจึงอยากให้เขามีภรรยาและตั้งหลักปักฐานเสียที

ข้างในบ้าน

ฉินหยู่ไม่ได้พูดอะไรหลังจากฟังคำพูดของฉีหลิน และฉินหยู่ก็ไม่รู้ว่าจะให้คำแนะนำอะไรแก่เขาดี แมวแก่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า “ถึงนายต้องการหาผู้หญิงสักคน นายก็ต้องเตรียมการ จู่ๆ นางก็อยากได้ลูกสะใภ้ เราจะหาได้ที่ไหน? ชีวิตนี้มันสายเกินไปแล้ว”

“แม่ได้ติดต่อเธอแล้ว ลูกสะใภ้ของเฒ่าต่งติดต่อคนกลางให้ สิ่งที่แม่ของฉันหมายถึงคือ เธอต้องการให้ฉันใช้เงินเพื่อแต่งงาน แต่พวกนายก็รู้ว่าสถานการณ์ของฉันเป็นยังไง ฉันเพิ่งถูกลงโทษ นี่ยังไม่รวมเรื่องรายได้ของฉันที่ลดลง ฉันไม่นึกไม่ออกเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นในแผนกพลาธิการในอนาคต...” สีหน้าฉีหลินดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด

หลังจากฟังคำพูดของฉีหลิน แมวแก่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “นายสามารถซื้อได้”

“หยุดพูดเรื่องไร้สาระทีเถอะ” ฉีหลินโบกมือ “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าโทษของฉันรุนแรงจนผู้ใหญ่ต้องให้ฉันออกจากงาน แล้วฉันจะทำยังไงล่ะ?”

“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับนายว่าจะเลือกหน้าที่อะไรอะนะ” แมวแก่ก้มหัวคิดและพูดว่า “ฉันจะรับประกันให้นายได้ทำงานในกองกำกับการต่อไป”

ฉีหลินตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“บอกความจริงมา แม่เฒ่ากำลังจะตายจริงหรือ?” แมวแก่ถามด้วยเสียงต่ำ

ฉีหลินเงียบไปสองสามวินาที จากนั้นถอนหายใจและพูดว่า “ถ้ามันไม่หายขาด แต่พยุงอาการไว้อย่างเดียว มันก็มีแต่ทรุดลง...จะนานแค่ไหนไม่รู้”

“งั้นเรื่องหาลูกสะใภ้” แมวแก่กัดฟันอึ้งไปนิดหน่อยแล้วพูดต่อ “นายควรจะแต่งงานด้วย นายไม่สามารถเป็นผู้ใหญ่ที่เอาแต่วิ่งกลับบ้านทุกวันโดยทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ถ้ามีคนดูแลนายอย่างดีที่บ้าน นายจะสามารถทำงานหนักได้”

“แต่ในมือฉัน...”

“นายรอเดี๋ยว” แมวตัวเก่าทิ้งประโยค หันกลับมาเรียกฉินหยู่ “เฮ้! ฉินหยู่ ออกมากับฉันหน่อย”

“แมวแก่ ไม่จำเป็นหรอก” ฉีหลินยืนขึ้นทันที

แมวแก่ชี้นิ้วไปที่ฉีหลินแล้วพูดว่า “ฉันบอกให้รอ แค่รอก่อน”

อีกสองนาทีต่อมา ข้างนอกประตูห้อง

แมวแก่สูบบุหรี่ไฟฟ้า ก้มหน้าลงแล้วพูดกับฉินหยู่ “นายรวยไหม?”

ฉินหยู่กะพริบตาปริบๆ “ฉันให้เขายืมได้อย่างมากก็ห้าร้อย”

“จะไปพออะไรวะ” แมวแก่ส่ายหัว

ฉินหยู่พอจะรู้ว่าแมวแก่คิดอะไรอยู่ จึงตอบโดยไม่ลังเล “แต่ฉันมีความสามารถมาก”

แมวแก่เงยหน้าขึ้นมองฉินหยู่และพูดชัดถ้อยชัดคำ “ถ้าฉีหลินไม่จ่ายเงินคืนให้นายในเวลาอันควร ฉันจะจ่ายแทนคืนให้นายก่อนคริสต์มาส”

ฉินหยู่มองแมวแก่ด้วยความประหลาดใจ และหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนไม่กี่วินาที เขาก็ตอบว่า “ฉันเหลือเงินแค่ 1,500 ฉันจะให้นาย 1,300 และฉันจะเก็บไว้เป็นอาหารเย็น 200”

“ขอบใจพี่ชาย” แมวแก่ตบแขนของฉินหยู่

“เฮ้ ฉันอยากถามอะไรสักหน่อย” ฉินหยู่กะพริบตาด้วยความสงสัย “ถ้าฉีหลินไม่มีปัญญาจ่ายคืนฉัน นายจะทำยังไง?”

“ฉันจะขายแร่เงินที่ถนนดินด่าง แล้วเอาเงินมาคืนให้นาย”

“...นายก็ขยับตัวไม่ได้เหมือนกัน” ฉินหยู่โพล่งออกมา “ฉันจะไม่ให้ใครยืมฉันอีกแล้ว”

“เอาละ ตามนี้แล้วกันนะ” แมวแก่รีบวิ่งเข้าไปในบ้านด้วยรอยยิ้ม และตะโกน “ฉีหลิน ไปหาคนกลางกัน เรารวบรวมเงิน 3,500 ให้นาย ส่วนที่เหลือนายไปคิดต่อเองได้”

ฉีหลินยืนอยู่ในห้องที่ทรุดโทรม จ้องมองทั้งสองครู่หนึ่ง และโค้งคำนับ “ฉัน... ฉัน... ฉันจะคืนเงินให้อย่างแน่นอน”

...

คำตอบเดียวที่เขาเลือกคือ ‘ใช่’ ฉีหลินไม่อยากฝืนความปรารถนาของแม่ เพราะเขารู้ว่านี่อาจเป็นความปรารถนาสุดท้ายของหญิงชราที่ให้กำเนิดเขาขึ้นมา

บ่าย 3 โมง ฉีหลินมีเงินก้อนใหญ่คาดอยู่ที่เอว ออกจากเมืองซงเจียงโดยรถยนต์พร้อมกับฉินหยู่และแมวแก่ และรีบไปที่หมู่บ้านเป่ยไถ

ยานพาหนะแล่นผ่านแม่น้ำซงเจียงที่เป็นน้ำแข็งแข็งตัวมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และยางรถถูกหิมะสีขาวทับ และหยุดอยู่บนถนนลูกรังที่ไม่มีชื่อ ทั้งสามคนเดินอีกสามกิโลเมตรไปที่ทางเข้าหมู่บ้านเป่ยไถ และโทรศัพท์ติดต่อออกไป

หลังจากรอประมาณครึ่งชั่วโมง หญิงชราวัยห้าสิบที่สวมเสื้อคลุมทหารทักทายเธอด้วยใบหน้าที่แดงก่ำและถามว่า “ผู้ซื้อ?”

“มันโจ่งแจ้งจัง” แมวแก่ตอบแบบไม่เต็มใจนัก “กำลังหาเมีย”

“มากับฉัน” หญิงชราพูดสั้นๆ และหันกลับหลังจากไป

ทั้งสามคนเดินตามเธอไปรอบๆ บริเวณบังกะโลที่ทรุดโทรม และเดินเข้าไปในบ้านส่วนตัวที่หลังคามีรูรั่วเต็มไปหมด

หญิงชราดึงประตูเหล็กเปิดออก ชี้ไปที่คนหลายสิบจากหลากหลายเชื้อชาติที่นั่งอยู่บนพื้นในบ้านแล้วพูดว่า

“มีคนขาว คนดำ ตราบใดที่มีเงิน เราคุยกันได้ทุกเรื่อง…”

ฉินหยู่อยู่ที่ประตูและปิดจมูกของเขา “ฉีหลิน เข้าไปเลือกสิ”

“พวกเขาทั้งหมดมีสิทธิอยู่อาศัยในเขตไหม?” แมวแก่ถามแสร้งทำเป็นเข้าใจ

“น้องชาย ให้ฉันแนะนำนายกับผู้ที่มีสิทธิอยู่อาศัยบางคนนะ” หญิงชรากลอกตา “จะเป็นการดีไหมที่จะรับงานโดยตรงบนถนนดินด่าง?”

“...พี่สาว คุณเป็นคนมีความรู้ทีเดียว”

“เชอะ” หญิงชราตอบพร้อมกับเม้มปาก “ใครบ้าง ที่ไม่เล่านิทานในยุคสมัยนี้”

แมวแก่ไม่พูดอะไรสักคำเมื่อเขาถูกตอกหน้าหงายกลับมา

หญิงชราตบไหล่ฉีหลิน “น้องชายของฉัน ไม่มีอะไรต้องอาย นายจะซื้อหรือขาย ลูกค้ามาก่อน นายเข้าไปหยิบมัน มีไฟฉายอยู่ที่นี่ ถ้ามองไม่ค่อยเห็น ส่องไฟได้...”

ฉีหลินอายเล็กน้อยจริงๆ ยืนอยู่ที่ประตูอย่างแข็งทื่อเล็กน้อย

“โครม!”

แมวแก่ถีบฉีหลินเข้าไปในบ้าน “เร็วเข้า มันชักจะมืดแล้ว”

ฉีหลินกะพริบตาและเดินเข้าไปในห้อง

...

ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากแอบมองไปรอบๆ เงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งเดินไปที่หน้าต่างบ้านของฉีหลิน และเรียกเบาๆ “ฉีหลิน ฉีหลิน นายอยู่บ้านไหม?”

มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบตามหลังมา เงาตะคุ่มนั้นสะดุ้ง ก้มลงดึงกระเป๋าใบใหญ่ที่ซุกอยู่ในเสื้อผ้าออกมา เหลียวหลังกลับไปดูก็พบว่า เป็นแค่คนเดินผ่านไปเท่านั้นเอง

เงาตะคุ่มนั้นเหงื่อแตกพลั่ก และเขามองเข้าไปในบ้านของฉีหลินอีกครั้ง และจากไปพร้อมกับขมวดคิ้วเมื่อเขาไม่เห็นวี่แววของคนในบ้านเลย

…………………………………………………………….

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด