[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 12 มองโลกด้วยหัวใจพยัคฆ์
ตอนที่ 12 มองโลกด้วยหัวใจพยัคฆ์
เช้าวันรุ่งขึ้น เวลาแปดโมงครึ่ง
หยวนเค่อนั่งอยู่ในห้องทำงานที่แยกเป็นอิสระ ยิ้มพร้อมพูดกับฉินหยู่ “ฉันจะไม่อ้อมค้อมละนะ เจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคดีเมื่อคืนนี้ ได้รับเงินอุดหนุน 300 หยวนต่อคน เงินมาจากกองทุนของทีม…”
ฉินหยู่ผงะไปครู่หนึ่ง และยกนิ้วหัวแม่มือชูขึ้นทันที “หมายถึงให้เกาะติดกับคดี…”
“พยายามเร่งการสืบสวนขึ้น ฉันอยากจะเห็นผลลัพธ์คดีนี้”
“เยี่ยมเลย” ฉินหยู่พยักหน้า “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันจะไปละนะ”
“เดี๋ยวก่อน” หยวนเค่อเปิดตู้เล็กๆ ของเขา หยิบรองเท้าบูตหนังคู่ใหม่ออกมาแล้วถามว่า “เท้านายเบอร์อะไร”
“43”
“พอดีเลย เท้าของเราขนาดเท่ากัน” หยวนเค่อหยิบกล่องรองเท้าและวางไว้บนโต๊ะ “มันเป็นของขวัญจากเพื่อน แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่มันด้วย นายเอาไปใส่เถอะ”
“นี่... นี่มันของแพงนะเนี่ย”
“อะไร รองเท้าคู่นี้หรือ?” หยวนเค่อโบกมือ “เอาไปเถอะ”
ฉินหยู่ก้มหัวให้และชำเลืองมองที่กล่องรองเท้า และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าความชอบธรรมของหยวนเค่อไม่ใช่แค่การดีแต่ปากเท่านั้น เพราะตราบใดที่คุณทำ คุณจะได้รับผลประโยชน์ทั้งหมดที่เขาสามารถต่อสู้เพื่อคุณได้
“ขอบคุณครับ กัปตันหยวน”
“ขอบใจ ไปได้แล้ว” หยวนเค่อยิ้ม
“ทราบแล้วครับ!”
ฉินหยู่หยิบกล่องรองเท้าและออกจากห้องไป
...
ในอีกสองวันต่อมา พี่น้องตำรวจกองปราบพิเศษในทีมสามกลุ่มได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับงานสอบสวน ฉินหยู่พบสิ่งที่ไม่คาดคิดว่า ลุงสามและหมาเหล่าเอ้อนั้นปากแข็งมากยิ่งขึ้น ขณะที่ลูกสมุนอีกสองคนสำรอกความลับออกมาบ้างแล้ว แต่มันก็แกล้งทำเป็นบ้าคนหนึ่ง อีกคนแกล้งเป็นใบ้ไม่พูดอะไรสักคำ
งานสอบสวนไม่ใช่จุดแข็งของฉินหยู่เลย เพราะนี่ไม่ใช่ในพื้นที่โครงการพัฒนา และประสบการณ์และวิธีการมากมายของเขาไม่สามารถนำมาใช้ที่นี่ได้ เอาแค่ประสบการณ์ในการสอบปากคำอาชญากร ทีมเดิมในสามกลุ่มก็มีประสบการณ์มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ฉินหยู่จึงมอบหน้าที่ให้กับเหล่าเฮย กวนฉี และคนอื่นๆ ทำแทน และเบาะแสกับผลลัพธ์เป็นสิ่งที่เขารอคอยอยู่
บ่ายสามโมงของวันพฤหัสบดี
เสียงคนคุยกันแว่วมาจากในสำนักงาน ฉินหยู่นั่งคุยเรื่องไร้สาระกับฉีหลิน เหล่าเฮย เสี่ยวลิ่วและคนอื่นๆ จูเหว่ยเดินกร่างกลับจากไปดื่มไวน์ข้างนอกครั้งใหญ่
“ให้ตายห่า ยังเอาพวกมันขึ้นศาลไม่ได้เลย พวกนายพักกันแล้วเหรอ?” จูเหว่ยถามหลังจากกระดกขวดไวน์ดื่ม
“อืม ฉันแค่พักเหนื่อย” ฉินหยู่พยักหน้า
“เฮ่ย!”
จูเหว่ยใช้มือดึงหัวของฉินหยู่อย่างเคย ลากมาและพูดราวกับออกคำสั่ง “นั่งตรงนั้น”
ฉินหยู่ขยับเลื่อนที่นั่งของเขาด้วยรอยยิ้ม “อย่ามายุ่งกับฉันเลย ทำไมนายจับหัวฉันประจำ?”
“ไอ้ห่า เกาหัวนายแล้วเป็นไรวะ? นายกำลังจะเป็นเจ้าหน้าที่เต็มตัวแล้ว เริ่มโอหังแล้วเหรอ?” จูเหว่ยถามแกมหยอกล้อ
“ทำไมนายออกไปกินเหล้าในเวลาปฏิบัติงานอีกล่ะ” ฉินหยู่ถามเรียบๆ “ไม่ ร่างกายนายทนอยากได้ แต่เงินทนไม่ได้ ใช่ไหม? เครื่องดื่มนายราคาเท่าไร?!”
“มีเพื่อนและความบันเทิงมากมายที่งานเลี้ยง ฉันทำอะไรไม่ได้หรอก” จูเหว่ยลงนั่งไขว่ห้างตอบ “ครอบครัวของฉันเรียกร้องให้ฉันแต่งงาน เขาแนะนำให้ฉันรู้จักกับสาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ฉันไปพบเธอมาและเราดื่มกันเยอะมาก”
“อ้อ!”
ฉินหยู่พยักหน้า และจงใจหยิบบุหรี่ยาสูบจีนแท้มวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ใส่ปากแล้วจุดไฟด้วยไฟแช็ก
“ฉิบ!” จูเหว่ยผงะและชูคอสบถออกมาทันที “ไอ้เด็กเวร นายบอกว่าบุหรี่หมดแล้วนี่? ทำไมนายปิดบังพี่น้องอย่างงี้ มาเลย ให้ฉันมวนหนึ่ง”
“หมดแล้ว ฉันเหลือแค่มวนเดียว” ฉินหยู่ตอบหลังจากหายใจเข้า
“ให้ตายเถอะ อย่าหาเรื่องหัวหน้าทีมตลอดเวลาสิ บุหรี่มันค่อนข้างแพงอยู่ แล้วทำไมนายเอาแต่ลูบไล้มัน” กวนฉียังพูดกับจูเหว่ยด้วยน้ำเสียงติดตลก แล้วยื่นมือแบออกมาทางฉินหยู่ด้วยรอยยิ้ม “แต่ฉันแตกต่างจากเขา วันนี้ฉันไม่มีผลงานก้าวกระโดดเหรอหัวหน้า ถ้าพูดตามเหตุผลแล้ว นายควรให้รางวัลฉันหนึ่งมวน”
หากไม่มีใครล้อเล่นและยุ่งวุ่นวาย ทุกคนในกลุ่มอาจจะไม่เริ่มเหลวไหลกับฉินหยู่ แต่ด้วยความคิดที่สับสนและงุนงงของจูเหว่ย เขามักล้อเลียนฉินหยู่ว่าตื้นเขินและกระเป๋าแห้ง ดังนั้นไม่ว่าโอกาสใดหรือเขากำลังทำอะไร ทุกคนจะไม่ระวังคำพูดว่าอะไรควรและไม่ควรต่อเขา
“มันหมดแล้วจริงๆ” ฉินหยู่ผลักจูเหว่ยและพูดว่า “ฉันเหลือมวนเดียว”
“ฉิบ นายนี่เรื่องมากจริงๆ เอามาเร็ว” จูเหว่ยเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของฉินหยู่ พยายามแย่งบุหรี่ในมือเขา
“หัวหน้าอย่าเรื่องมากเลย เอาออกมาแบ่งให้ทุกคน คนละครึ่งมวนก็ได้” เหล่าเฮยก็เอาด้วย
“มันหมดแล้วจริงๆ” ฉินหยู่นั่งบนเก้าอี้และเอนตัวออกห่างราวกับทุกคนจะแย่งของมีค่าไปจากเขา
“แย่งเลยดีกว่า!” จูเหว่ยพ่นหายใจเป็นแอลกอฮอล์ออกมา และเข้าล็อกคอและแขนฉินหยู่พร้อมตะโกน “เอาเลย ค้นในกระเป๋ามัน เอามาแบ่งกันให้หมด ให้ตายห่าสิวะ ไอ้หนูนี่ช่างไม่รู้กฎเลย เรื่องมากตั้งแต่วันแรกแล้ว...”
“ไม่เอา เฒ่าจู อย่าทำให้ฉันลำบากใจ มันหมดแล้วจริงๆ” ฉินหยู่เน้นย้ำพร้อมหัวเราะร่วน
“เร็วเข้า จับเขาลง เสี่ยวลิ่ว จับขาเขาไว้” จูเหว่ยยังคงเล่นแรง และดูเหมือนทั้งกลุ่มจะสนุกเฮฮากัน
บรรยากาศที่ดูเหมือนสนุกสนานขึ้น ยกเว้นฉีหลินและพี่น้องชาวไทยที่ได้รับบาดเจ็บสองคนที่ไม่ได้ไปร่วมเล่นด้วย สมาชิกทั้งหมดของกลุ่มสามช่วยกันกดฉินหยู่ไว้กับโต๊ะ และควานหาบุหรี่ที่กางเกงของเขาอย่างชะล่าใจ
“ไอ้บ้า อย่าจับมั่วสิวะ มันหมดแล้วจริงๆ...”
ฉินหยู่ผลักทุกคนด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา เด็กหนุ่มลูกทีมหลายคนกลุ่มของจูเหว่ย เริ่มแตกคอกัน และเริ่มโต้เถียงกับฉินหยู่
“ช่างเป็นวันที่ดี เหมือนกับว่าวันนี้ฉันไม่ได้สูบบุหรี่” ฉีหลินซึ่งไปนั่งคุยกับสองพี่น้องไทยอีกมุมหนึ่ง พูดยิ้มๆ ราวกับเหน็บแนมใครบางคนและลุกขึ้นเพื่อเทน้ำดื่ม
“ให้ตายห่าสิวะ ฉันเปลี่ยนนายไม่ได้หรอก เอาออกมาเร็วๆ” จูเหว่ยยังกดล็อกฉินหยู่อยู่ แล้วเอื้อมมือไปล้วงกระเป๋ากางเกงของเขาด้วยตัวเอง
ทันไดนั้น ฉินหยู่ก็เอื้อมคว้ากริชตำรวจบนโต๊ะ จับใบมีดด้วยนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ และแทงลงไปที่ต้นขาจูเหว่ยทันที
“สวบ!”
จูเหว่ยตกตะลึงตัวแข็งไปทันที
“อย่าทำให้ฉันลำบากใจอีก อย่าทำให้ฉันต้องแทงนาย...” ฉินหยู่ตะโกนและแค่นหัวเราะ ถือปลายมีดด้วยมือขวา เขาดึงมีดออกไปจากต้นขาของจูเหว่ย และแทงอีกครั้ง
“สวบ!”
ครั้งที่สองมีดแทงเข้าที่ขาของจูเหว่ย และฉินหยู่พลิกตัวถอยหลังไปสองก้าว
เมื่อลูกทีมคนอื่นๆ ในกลุ่มเห็นเลือด พวกเขาตัวแข็งทื่อเหมือนถูกมนต์สะกด และฉีหลินก็ค้างนิ่งไปเหมือนร่างไร้วิญญาณ มองดูฉินหยู่ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“โอพระเจ้า? เกิดอะไรขึ้น มันปักแน่นไปมั้ย? แค่มองฉันและส่งสัญญาณให้ฉันรู้ก็ได้” ฉินหยู่แสร้งทำเป็นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเข้าไปชักมีดออกมาทันที มองลงไปที่แผลที่ขาจูเหว่ยและถาม “นายโอเคมั้ย?”
จูเหว่ยเจ็บปวดมากจนกระวนกระวาย และผลักฉินหยู่ถอยหลังออกไป “ซี้ซ…แกบ้าไปแล้วเหรอวะ นั่นมันมีดจริงนะโว้ย!...ซี้ซซ…”
ด้วยรอยยิ้มที่ยังคงอยู่บนใบหน้าของเขา ฉินหยู่พูดว่า “ฉันพูดไปแล้ว อย่าทำให้ฉันลำบากใจ เพราะฉันไม่จริงจัง นายเลยมักจะล้อเล่นกับฉันเกินเลยไป ตอนนี้เข้าใจหรือยังล่ะ”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ ทั้งห้องพลันตกอยู่ในความเงียบ ทุกสายตามองไปที่ฉินหยู่ อารมณ์ขี้เล่นก่อนหน้าจางหายไปโดยสิ้นเชิง
“อย่าทำให้ฉันลำบากใจในอนาคต นายได้ยินไหม หึหึ” ฉินหยู่วางมีดลงด้วยรอยยิ้ม และยื่นมือออกไปช่วยจูเหว่ยลุกขึ้น “ไปกันเถอะ รีบไปห้องพยาบาล”
จูเหว่ยลังเลไปชั่วครู่ มองไปที่ฉินหยู่โดยไม่รีบร้อน จูเหว่ยก้มหัวให้และเดินกะเผลกตามเขาไปที่ห้องพยาบาล
...
หลังจากเหตุการณ์เล็กๆ จบลง ไม่มีใครในทีมสามกลุ่มกล้าล้อเล่นตลกมากเกินเหตุต่อฉินหยู่ รวมถึงจูเหว่ยที่กำลังมึนงง สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และไม่มีใครปฏิบัติต่อฉินหยู่ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจใหม่อีกต่อไป
จากมุมมองขอบเวทีอย่างฉีหลิน เขาเห็นชัดเจนว่าฉินหยู่จัดการกับจูเหว่ยอย่างไร และในใจก็รู้สึกอย่างฉับพลันว่า หากมองผิวเผิน เมื่อฉินหยู่กำลังหัวเราะและพูดคุยกับคุณ ภายในเขาอาจไม่ได้คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขาแม้แต่น้อย คุณคิดว่าคุณรู้จักเขาและเป็นเพื่อนกัน แต่เมื่อคุณทำเกินไป เขาสามารถบอกคุณได้ในแบบที่คุณไม่มีวันคิดออกว่าคุณทำเกินไปแล้ว และยังรักษาหน้าคุณไว้ ในเวลาเดียวกัน ฉีหลินจำได้ว่าพี่สามซึ่งมีอำนาจเหนือทีมมาโดยตลอด ไม่เคยกล้าที่จะสร้างปัญหาให้กับฉินหยู่อีกเลยหลังจากคดีลักพาตัว สิ่งนี้หมายความว่า? มันแสดงให้เห็นว่าฉินหยู่ยังแก้ปัญหาของเขาเป็นการส่วนตัวด้วย
จากนั้นมา ฉีหลินก็ตระหนักว่า คนอย่างฉินหยู่อาจเข้ากับสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้ดีกว่าใครก็เป็นได้
กล้าหาญ รอบคอบ เข้าใจความรู้สึกมนุษย์ รู้จักโลก
พื้นที่โครงการพัฒนาได้ฝึกฝนขัดเกลาเขามามากกว่าสิบปี บางที สิ่งที่กำลังรออยู่คือการเริ่มต้นจากที่นี่เป็นต้นไป
...
หลังจากแยกจากจูเหว่ยที่ห้องพยาบาล ฉินหยู่จำได้ว่าเขายังคงเช่าบ้านอยู่ แต่เขาดูเหมือนยุ่งเกินไปช่วงนี้ จนทำให้เขาเกือบลืมที่นั่นเลยด้วยซ้ำ เขาจึงโทรหาแมวแก่และรีบไปที่บ้านเช่าเลขที่ 88 ทันที
ในเวลาเดียวกัน
ในโกดังที่ถนนดินด่าง ชายชราอายุหกสิบเศษยืนพิงไม้เท้าแล้วกล่าวว่า “ฉินหยู่ นายไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนหรือ?”
“ฉันตรวจสอบกับใครบางคนแล้ว เขาเป็นคนใหม่ที่นี่”
“เขามาที่นี่ครั้งแรกก็จับเสี่ยวเอ้อและต้าหมินซะแล้ว มีคนสนับสนุนเขาอยู่ข้างหลังไหม?” ชายชราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันกลับมาสั่ง “นำคนไปหาฉินหยู่คนนี้”
…………………………………………………………