ตอนที่แล้ว[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 0 บทนำ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 2 การจราจล

[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 1 เด็กใหม่


ตอนที่ 1 เด็กใหม่

บริเวณตอนเหนือของทวีปเอเชีย เขตปกครองพิเศษที่ 9 เมืองซงเจียง

ภายในกองกำกับการตำรวจเขตเฮ่ยเจีย ภายใต้การควบคุมของสำนักงานกองบังคับการตำรวจนครบาล

ฉินหยู่ยืนรอเรียกตัวอยู่หน้าโต๊ะทำงานชายวัยกลางคนที่นั่งตรวจเอกสารต่างๆ เขายิ้มให้ชายกลางคนพร้อมคำถาม “ถึงคิวผมแล้วใช่มั้ยครับ”

ชายกลางคนลุกจากโต๊ะ กวักมือเรียกให้ฉินหยู่เดินตามไป “อืมม เข้ามาได้” ชายกลางคนพูดพร้อมเดินไปที่ห้องทำงานที่อยู่ซ้ายมือเขา

ฉินหยู่จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เล็กน้อยก่อนเดินตามชายกลางคนเข้าไป

ภายในออฟฟิศดูไม่ค่อยแคบนัก กว้างประมาณ 60 ตารางเมตร แต่มีเพียงแค่คนเดียวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานในห้อง เขาดูเหมือนจะอายุราวๆ สี่สิบปี กับหนวดที่โดดเด่นเป็นแนวขวางบนใบหน้า ทำให้บุคลิกของเขาดูมีความน่าเกรงขามขึ้นมาก จนหลายคนแอบตั้งฉายาเขาว่า ป้าจื่อหู

ชายกลางคนเข้ามาและวางแฟ้มเอกสารที่โต๊ะป้าจื่อหู  “หัวหน้า นี่คือคนสุดท้ายแล้วครับ”

“เขาผ่านการตรวจร่างกายแล้วหรือ?” ป้าจื่อหูถามขณะหยิบเอกสารขึ้นมาเปิดดู

“ตรวจแล้วครับ” ชายกลางคนตอบ

“เข้าใจแล้ว คุณออกไปได้”

“ครับผม”

หลังจากจบบทสนทนาสั้นๆ ชายกลางคนกลับออกไปจากห้อง ฉินหยู่ก้าวเท้าสองสามก้าวเข้ามายืนหน้าโต๊ะทำงาน ขณะที่ป้าจื่อหูกำลังอ่านเอกสารของเขาอยู่

ขณะที่เปิดอ่านเอกสารไป ป้าจื่อหูเริ่มอ่านออกเสียงเบาๆ “ฉินหยู่ อายุ 22 ปี หนัก 75 กก. สูง 182 เซนติเมตร  เกิดก่อนยุคโลกล่มสลาย มาจากจังหวัด H  เมือง J นั่นไม่ไกลจากซงเจียงในปัจจุบันเท่าไรนัก ก่อนจะมาที่นี่ นายเคยอยู่พื้นที่โครงการพัฒนา พ่อแม่ของนายได้หายตัวไป (คาดว่าเสียชีวิต) และนายไม่มีญาติอื่นเลย… หือ? ทำไมประวัติงานของนายว่างเปล่าอย่างนี้ล่ะ?”

“ผมไม่มีใบประวัติงานครับ”  ฉินหยู่ตอบยิ้มๆ “การเอาตัวรอดภายในพื้นที่โครงการพัฒนาเหนื่อยหนักหนาสาหัสพอแล้ว  ผมต้องทำทุกวิถีทางที่จะให้ได้มาซึ่งอาหาร ดังนั้น ผมแทบจะไม่มีเวลารวบรวมประวัติงานได้เลย”

“ฮะฮะฮะ ดูเหมือนจะเป็นอย่างงั้น” ป้าจื่อหูหัวเราะเบาๆ ต่อคำพูดของฉินหยู่ “อย่างน้อย นายน่าจะเขียนอะไรลงไปสักหน่อยก่อนจะเข้ามาที่นี่ มันจะดูไม่ดีในแฟ้มประวัติของกรมตำรวจ ถ้านายไม่มีใบประวัติงานเลยนะสิ”

“ทราบแล้วครับ แล้วผมจะเขียนอะไรลงไปบ้างทีหลังก็แล้วกันครับ” ฉินหยู่ยอมรับทันทีโดยไม่โต้แย้ง

ป้าจื่อหูหันกลับไปอ่านแฟ้มอีกทีก่อนจะถามอีก “ถ้านายไม่มีประวัติงานเลย นั่นก็หมายความว่านายไม่เคยเป็นทหารในกองทัพมาก่อน ถ้างั้นนายมีประสบการณ์ใช้อาวุธปีนบ้างไหม?”

ฉินหยู่ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “ไม่ครับ”

“นายมีประวัติอาชญากรรมบ้างหรือเปล่า”

“ไม่มีครับ”

ป้าจื่อหูนิ่งคิดชั่วครู่ก่อนที่เขาจะวางเอกสารในมือลงและมองมาที่ฉินหยู่ด้วยสายตาแหลมคมพร้อมพูดขึ้น

“พื้นที่โครงการพัฒนาคือพื้นที่ที่ไร้กฎหมายและไร้การดูแลความสงบเรียบร้อย นายสามารถทำงานสารพัดอย่างให้มีรายได้เพียงพอที่จะซื้อสิทธิ์ในการอยู่อาศัยและได้งานทำในเขตพิเศษที่ 9 เจ้าหนุ่ม…มีประสบการณ์ชีวิตที่น่าสนใจนะ”

“ผมโชคดีที่ส่วนใหญ่ได้เจอแต่คนดีๆ”  ฉินหยู่ตอบพร้อมรอยยิ้มที่เหมือนมีนัยแฝงอยู่

ป้าจื่อหูยกชาขึ้นดื่มพลางพินิจพิจารณาฉินหยู่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะผงกหัวช้าๆ อย่างมีความหมาย “นายดูเป็นคนลึกล้ำทีเดียว”

ฉินหยู่ได้แต่ยิ้มตอบรับคำชมของผู้กำกับหลี่

ป้าจื่อหูวางถ้วยชาลงและกอดอกใช้ความคิดและพิจารณาฉินหยู่อีกชั่วครู่ และพูดขึ้น “สถานการณ์รอบๆ เขตพิเศษที่ 9 ค่อนข้างจะมีความพิเศษเล็กน้อย แม้ว่ามันจะอยู่ภายใต้การดูแลอย่างเป็นทางการโดยรัฐบาลสมาพันธรัฐ แต่มันมีการปกครองตนเองสูงมาก ทำให้มันแตกต่างจากเขตปกครองพิเศษอื่นอีก 8 เขต ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ที่นี่ นอกจากชาวจีน ยังมีชนผิวดำ ผิวขาว ...สภาพแวดล้อมที่นี่ซับซ้อน ในบางพื้นที่ยังมีความสับสนวุ่นวายที่เราพยายามจะแก้ปัญหามานาน แต่ยังแก้ไม่ได้ ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจ นายต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวและหลอมรวมไปอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้ได้”

“เข้าใจแล้วครับ!” ฉินหยู่ผงกหัวรับคำด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“อีกอย่าง…ฉันไม่แคร์ว่านายจะผ่านประสบการณ์อะไรมาบ้างในอดีต แต่ตอนนี้นายมาทำงานกับฉัน ฉันคาดหวังว่านายจะเป็นเขี้ยวเล็บให้ฉันได้ หากนายพยายามจะเล่นตลกอะไรละก็ ฉันจะจัดการกับนายทันที!” ป้าจื่อหูเตือนฉินหยู่ด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความจริงจังอยู่ในที

“ผู้กำกับหลี่ ผมมาที่นี่เพื่อช่วยแบ่งเบาปัญหาของท่านครับ” ฉินหยู่ตอบพร้อมกับรอยยิ้ม

“หึหึ อย่างนั้นรึ?” ป้าจื่อหู หรือชื่อและสถานะจริงของเขาคือผู้กำกับหลี่ ตอบพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

ผู้กำกับหลี่แตะจอสัมผัสโทรศัพท์มือถือที่วางบนโต๊ะสองสามทีและก้มหน้าลงไปใกล้ไมค์

“เพียงไม่กี่นาทีต่อมา มีเสียงผู้ชายดังมาจากโทรศัพท์”อรุณสวัสดิ์ครับผู้กำกับหลี่ นี่คือหน่วยปราบปรามอาชญากรรมทีมหนึ่งครับ!”

“หยวนเค่ออยู่ไหน?” ผู้กำกับหลี่ถาม

“...กัปตันหยวนเค่อไม่อยู่แถวนี้ เขาเพิ่งออกไปครับ”

“ผมกำลังมอบหมายงานเจ้าหน้าที่ใหม่ให้ไปอยู่ในทีมพวกคุณ มารับตัวเขาไป”

“รับทราบ ผมจะเข้าไปที่สำนักงานครับ” เสียงจากโทรศัพท์ตอบกลับมา

“แค่นั้นแหละ” ผู้กำกับหลี่กดวางหูโทรศัพท์และพูดต่อ “ไปรอที่ประตู เดี๋ยวจะมีคนมานำทางไป กฎเฉพาะบางอย่าง นายเรียนรู้จากภายในทีมนะ”

“เข้าใจแล้วครับ ผู้กำกับหลี่” ฉินหยู่โค้งคำนับแสดงความเข้าใจ แล้วเขาก็ล้วงกระเป๋าหยิบถุงเล็กๆ สีดำออกมาและวางบนโต๊ะ “เสี่ยวฉีบอกผมว่า มันยากเย็นมากที่จะได้งานทำในกรมตำรวจที่เขตปกครองพิเศษ ถ้าไม่ใช่จากความช่วยเหลือของท่าน ชื่อของผมคงอยู่แค่ในรายชื่อรอเรียกตัวไปอีกนานเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงเตือนผมว่าอย่าเสียมารยาท”

ผู้กำกับหลี่เปิดถุงเล็กๆ สีดำออก และเมื่อเขาเห็นเพชรก้อนเล็กเท่าเม็ดถั่ว ส่องประกายเข้าตามาจากก้นถุง เขาผงะเล็กน้อย “นายต้องรู้จักคนที่มีความสามารถจริงๆ ตอนอยู่พื้นที่โครงการพัฒนา นายเข้าถึงของพวกนี้ด้วยรึเนี่ย?! โอ ไม่ได้เห็นมันมาตั้งหลายสิบปีแล้วนะเนี่ย”

ฉินหยู่ยิ้มเงียบๆ ต่อคำพูดของผู้กำกับหลี่

ผู้กำกับหลี่โยนถุงดำใส่ลิ้นชักและล็อกกุญแจก่อนจะชี้มาที่ฉินหยู่ก่อนเอ่ยปาก “มันดูไม่เก่ามาก แต่ผิวมันมีรอยขีดข่วนเยอะเหมือนกัน”

“ผมแค่ไม่ต้องการให้ท่านเสียเวลาเปล่านะครับ” ฉินหยู่เกาหัวแสร้งทำเป็นจริงใจ และสังเกตว่าผู้กำกับหลี่เตรียมจะไปพักเที่ยงแต่ก็อยู่คุยกับเขานานขึ้นอีกเล็กน้อย

ไม่กี่นาทีต่อมา ชายหนุ่มร่างอ้วนรุ่นราวคราวเดียวกับฉินหยู่เดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางมั่นใจตนเองและทำความเคารพ “ผู้กำกับหลี่ ทีม 1 อันดับ 3 เจ้าหน้าที่ตำรวจฉีหลิน รายงานตัวเพื่อรับเพื่อนร่วมงานใหม่เข้าสู่ทีมครับผม!”

ผู้กำกับหลี่ตบแขนฉินหยู่เบาๆ “จงทำงานหนัก ฉันจะคอยดูจนถึงวันที่เห็นชื่อนายได้รับการเสนอเลื่อนขั้นตอนสิ้นปีนะ”

“ผมจะทำให้ดีที่สุดครับ”

“เอาละ นายควรไปได้แล้ว”

ผู้กำกับหลี่หันไปบอกฉีหลิน “บอกหยวนเค่อให้ดูแลเด็กใหม่นี้ด้วย”

แค่คุยกันรอบเดียวตัวต่อตัว ระหว่างชินอยู่กับผู้กำกับหลี่ไม่ถึงสิบนาที และได้รับการดูแลเอาใจใส่ขนาดนี้ แต่ดูเหมือนมันก็แค่ผิวเผิน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

ในโถงทางเดินที่ค่อนข้างยาวเหมือนเขาวงกตในกรมตำรวจ ฉีหลินชายร่างท้วมเดินคุยกันมากับฉินหยู่ ฉีหลินถามฉินหยู่ด้วยความเป็นกันเอง “พี่ชาย นายมาจากไหนนะ?”

“พื้นที่โครงการพัฒนา”

“นายมาจากเขตผีสิงนั่นเรอะ!?” ฉีหลินตะลึงเหมือนกับไม่เชื่อหูตนเอง “นายอยู่นั่นคงลำบากน่าดู”

“ตอนอยู่ที่นั่นต้องอาศัยโชคช่วยหน่อยน่ะ” ฉินหยู่พูดทั้งยิ้ม

ฉีหลินผงกหัวรับฟัง แต่เขาก็หยุดถามและไม่คิดจะถามลึกลงไปอีก ในยุคที่ข้าวยากหมากแพง การรักษาชีวิตให้รอดไปวันๆ นั้นลำบากมาก และมันยากที่จะหาคนที่ไม่มีความลับเลยในช่วงเวลาแบบนี้

ชายทั้งสองยังเดินต่อเนื่องไปตามทางเดินอย่างเร่งรีบ ฉีหลินเล่าให้ฟังถึงสถานการณ์ของกรมตำรวจว่า พวกเขารับผิดชอบในการปรามอาชญากรรมในพื้นที่เขต 9 เป็นหลัก และนี่คือรวมถึงการรักษาความมั่นคงในพื้นที่และดำเนินการสืบสวนคดีอาชญากรรม อย่างไรก็ตามขอบเขตงานรับผิดชอบไม่ครอบคลุมถึงงานวีซ่าเข้าเมือง การกระจายสิทธิ์การอยู่อาศัย การจัดการกับผู้อพยพเข้าเมือง และงานบริหารงานธุรการอื่นๆ

ฉีหลินยังบอกอีกว่า ความจริงมันก็ยังคล้ายกับสมัยก่อนยุคล่มสลาย แต่การแบ่งงานไม่ค่อยเหมาะเท่าไร ตัวอย่างเช่น แผนกที่ฉินหยู่อยู่ในสังกัดจะรับผิดชอบงานสืบสวนจับกุมคดีอาชญากรรมใหญ่ๆ แล้วยังต้องดูแลเกี่ยวกับความปลอดภัยภายในพื้นที่สาธารณะด้วย

เป็นเวลากว่าชั่วโมงที่ฉีหลินพาฉินหยู่เดินรอบๆ ชั้นห้าของกรมตำรวจ เขาแนะนำให้ฉินหยู่รู้จักแผนกต่างๆ เช่นแผนกอาวุธปืน ห้องสืบสวน พื้นที่ใช้งานทั่วไป ห้องเทรนนิ่ง โรงอาหาร และ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ

ระหว่างการสนทนา ฉินหยู่ได้ตระหนักว่า ฉีหลินเป็นคนที่เข้ากับคนง่าย ไม่ว่าเขาจะไปทางไหน เขาสามารถที่จะพูดคุยกับคนอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นคนที่มีความอดกลั้นอย่างดีเยี่ยมอีกด้วย เขาจะตอบฉินหยู่ทุกคำถามอย่างเหมาะสม

อย่างน้อยถ้ามองผิวเผิน ฉีหลินก็เป็นบุคคลที่มีจิตใจอบอุ่นคนหนึ่ง

บ่ายสองแล้ว ฉีหลินพาฉินหยู่มาที่แผนกการสื่อสารและบอกเขาให้ซื้อโทรศัพท์มือถือเครือข่ายภายในของกรมตำรวจ  อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขากวาดมองไปทั่วเคาน์เตอร์ ฉินหยู่ตระหนักรู้ว่ามันมีอยู่รุ่นเดียวและเป็นรุ่นเก่า ราคาของมันก็ไม่ค่อยเป็นมิตรกับกระเป๋าเงินเสียเลย

“นี่มันรุ่นอะไรกันเนี่ย? ทำไมฉันไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย?” ฉินหยู่ชำเลืองมองไปที่โทรศัพท์มือถือก่อนจะหันมาถามฉีหลิน “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปซื้อข้างนอกเอา ให้ฉันตั้งตัวที่นี่ให้ได้ก่อน มือถือที่นี่แพงเกินไป”

ฉีหลินยิ้มหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้นจากเพื่อนร่วมทีมคนใหม่ เขามองไปที่เจ้าหนุ่มที่ดูแลเคาน์เตอร์อยู่อีกฟากหนึ่งก่อนโน้มตัวมากระซิบข้างหูฉินหยู่ “นายควรซื้อมือถือที่นี่นะ”

“ทำไมล่ะ?” ฉินหยู่ถามด้วยความงุนงง

“มันก็ไม่ทำไมหรอก หน่วยงานฝ่ายการสื่อสารอยู่ในการดูแลของกรมตำรวจ แต่เคาน์เตอร์ขายโทรศัพท์เนี่ยเป็นของเอกชน เจ้าของบริษัทเป็นเพื่อนกับกัปตันหยวน ก็เลย… เวลามีคนใหม่เข้ามาร่วมทีม เขาจะซื้อมือถือที่นี่” ฉีหลินตอบและอธิบายเพิ่มเติม

“มันจะดีกว่าถ้าไม่ทำตัวให้เด่นเกินไปเมื่อนายเพิ่งเป็นคนใหม่ โทรศัพท์นี่อาจใช้ไม่ค่อยได้ แต่มันไม่จำเป็นต้องไปขอเชื่อมต่อสัญญาณกับหน่วยงานฝ่ายการสื่อสารนะ หลังจากประวัติของนายเข้าไปอยู่ในระบบแล้ว สิ่งเดียวที่นายต้องทำคือกรอกชื่อและไอดีตำรวจลงไปเท่านั้น นายก็สามารถใช้มันได้เลย”

ฉินหยู่อาศัยอยู่ในเขตป่าเถื่อนไร้กฎหมายอย่างพื้นที่โครงการพัฒนาตั้งหลายปี ทำไมคนอย่างเขาจะไม่เข้าใจกลไกการทำงานของสังคม เขาเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากได้ยินคำของฉีหลิน ดังนั้น เขาจึงเลิกยืนกรานในเรื่องนี้อีกต่อไป

หลังจากต้องทนแบกรับความเจ็บปวดใจเมื่อครู่ เขาหันไปหาพนักงานขายที่ตู้โชว์สินค้า “ผมเอาตัวนี้ ขอบคุณครับ”

ความเจ็บปวดอะไรที่เขาต้องทนหรือ?

เพราะว่าฉินหยู่เป็นคนมัธยัสถ์ที่รู้จักใช้เงินเป็นพิเศษ ถ้าเป็นไปได้ เขาเต็มใจแม้กระทั่งถ้าต้องใช้กำลังเพื่อให้ได้มาซึ่งใบรับประกันแม้จะซื้อถุงเท้าเพียงคู่เดียว และเพราะว่าเขานิสัยอย่างนี้ จึงทำให้เขาสามารถเก็บหอมรอมริบจนมีเงินพอที่จะเข้ามาอยู่และได้งานในเขตปกครองพิเศษที่ 9

หลังจากได้รับโทรศัพท์ใหม่แล้ว ฉีหลินพาฉินหยู่ออกจากสำนักงานกองกำกับการตำรวจไปที่ร้านขายของฝั่งตรงข้าม

จากเดือนสิงหาคมที่แล้วถึงสิงหาคมนี้ แม้ว่าท้องฟ้าจะปลอดโปร่ง แต่อากาศยังหนาวเย็นยะเยือก ตามถนนยังมีคราบหิมะเกาะเป็นทางยาว

“ที่เขตพิเศษนี่มีหิมะตกตลอดเลยเหรอ?” ฉินหยู่ถาม

“ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ใช่แล้ว” ฉีหลินตอบ

“แย่จริง อากาศไม่เอื้อให้คนอยู่รอดเลย” ฉินหยู่ถอนใจและส่ายหน้าพูดเซ็งๆ

ทั้งสองเดินคุยกันเข้าไปในร้านขายของขนาดใหญ่

ฉินหยู่ปัดผงหิมะเล็กน้อยตามเสื้อของเขาออกไปและกวาดสายตามองไปรอบๆ ร้านแล้วพูดยิ้มๆ  “แปลกจริง ร้านออกใหญ่แต่ไม่มีคนเดินเลย”

“ไปเดินดูข้างใน และซื้อของที่นายต้องการได้เลย” ฉีหลินพูดแล้วอัดบุหรี่ไฟฟ้าอย่างสบายใจ

ฉินหยู่ผงกหัวรับคำแล้วออกเดินผ่านฉันสินค้าต่างๆ ไป  แต่ยิ่งเขาเดินลึกเข้าไปเท่าไร คิ้วของเขาก็ยิ่งขมวดยิ่งขึ้นด้วยความสงสัย  ในที่สุดหลังจากสิบนาทีผ่านไปเขาก็เดินกลับมาพร้อมกับมือเปล่า!

“นี่นายจะไม่ซื้ออะไรเลยเหรอ?” ฉีหลินเดินจากเคาน์เตอร์เข้ามาถาม

ฉินหยู่มองฉีหลินด้วยคิ้วขมวดสงสัยก่อนถาม “พี่ชาย นายเชื่อถือร้านนี้เหรอ?”

“มีอะไรผิดปกติรึไง?”

“ของที่นี่ราคาแพงขึ้น 30% เทียบกับข้างนอก และของส่วนมากก็เป็นของเลียนแบบ  ฉันลองขยุ้มผ้านวมดูเมื่อกี้ เหมือนมันยัดไส้ด้วยลูกเหล็กยังไงยังงั้นเลย ฉันลองจนเจ็บมือเลยนะ”

“...สินค้าที่นี่มันก็งั้นๆ แต่เด็กใหม่ของกรมตำรวจก็ยังต้องซื้อของจากร้านนี้ต่อไป”

“ทำไมเป็นอย่างงั้นล่ะ?”

“เพราะว่านี่เป็นร้านของลูกพี่ลูกน้องของกัปตันหยวนนะสิ” ฉีหลินตอบเบาๆ

“นายจะคิดว่านี่เป็นร้านสวัสดิการสนับสนุนกรมตำรวจอย่างไม่เป็นทางการก็ได้”

สีหน้าฉินหยู่แตกละเอียดทันที เขารู้สึกหายใจไม่ออกไปชั่ววูบ “ถ้างั้น ผู้กำกับหลี่ก็ซื้อของที่นี่ด้วย?”

“ไร้สาระน่า ถ้าผู้กำกับหลี่ต้องการจะซื้อของที่นี่ กัปตันหยวนคงไม่กล้าขายให้แน่นอน” ฉีหลินกลอกตารำคาญเล็กน้อยขณะอธิบาย “พวกที่ซื้อของจากที่นี่ส่วนใหญ่เป็นตำรวจมาใหม่ นายแค่อดทนซื้อของที่นี่สักสองเดือน นายก็ไม่ต้องซื้อของที่นี่อีกต่อไปแล้ว”

“ฉันจะไม่อดทนแม้แต่วันเดียว พวกเขาทำกับเราเหมือนไอ้โง่ไม่ใช่เหรอ!?” ฉินหยู่เบรกแตก “ไปเถอะ พาฉันไปซื้อร้านอื่น!”

ฉีหลินถอนหายใจลึกขณะเขาแนะนำ “นายใช้จ่ายเงินไปตั้งเยอะแยะเพื่อที่จะได้มาถึงที่นี่ แล้วเงินเล็กน้อยแค่นี้จะมีความหมายอะไร? ฟังคำแนะนำของฉันและซื้อของใช้จากที่นี่ ไม่อย่างนั้นนายจะกลายเป็นแกะดำนะ”

“ฉันได้แสดงความเคารพนับถือกัปตันหยวนด้วยการซื้อไอ้มือถือเวรนั่นไปแล้ว!” ฉินหยู่พูดขณะกำลังเดินออกจากร้าน

“เฮ่อ…ฉินหยู่ ฟังฉันหน่อยพี่ชาย”

“นายได้เปอร์เซ็นต์จากร้านพวกนี้รึไงหา?”

“ที่ฉันพูดนี่ก็เพื่อประโยชน์ของนายนะ อย่างน้อย ซื้อ...”

“ซื้อชีวิตนายไว้! กระดาษทิชชูของที่ร้านคมอย่างกับมีดทำครัว! ฉันจะต้องเปลืองพลาสเตอร์ทุกครั้ง

ที่ใช้มันเช็ดก้น!” ฉินหยู่ไม่มีความตั้งใจที่จะต่อรองกับฉีหลินในเรื่องนี้ เขาจ้ำเดินออกจากร้านไปทันที

บ่ายสี่โมง

ในหอพักของกองกำกับการตำรวจ ที่หน้าประตูทางเข้าห้องที่สองของกองปราบที่ 1 ฉีหลินตะโกนเข้าไปบอกเพื่อนร่วมทีมในห้องด้วยรอยยิ้ม “พี่สาม ฉันพาลูกทีมใหม่มาแล้วครับ!”

มีคนเจ็ดคนนั่งล้อมวงที่โต๊ะกลมเล่นไพ่กันอยู่ เมื่อได้ยินเสียงฉีหลิน หัวหน้าทีมชำเลืองมองไปที่ฉินหยู่และพูด “เข้ามาได้”

เมื่อได้ยินหัวหน้าอนุญาต ทั้งสองก็เข้ามาในห้อง

ฉินหยู่กวาดสายตามองไปรอบห้องอย่างรวดเร็วและพบว่า แม้ว่าขนาดห้องใหญ่ไม่ถึง 30 เมตรดี มีเตียงสองชั้นหกชุด รวมทั้งหมดเป็นสิบสองเตียง มีตู้โลหะสองตู้สำหรับเก็บของร่วมกัน และยังมีของส่วนตัวของบางคนวางตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง พื้นที่ห้องแคบ แต่โดยรวมแล้วยังดูสะอาด อย่างน้อยก็ไม่มีกลิ่นแปลกๆ โชยออกมา

“ฉินหยู่ ฉันจะแนะนำนายให้เขารู้จักนะ นี่คือพี่สาม เป็นหัวหน้าทีม 1 ของพวกเรา” ฉีหลินแนะนำอย่างสุภาพตามเคย “พี่สามอยู่ที่นี่มาสามปีแล้ว และเขามีความสามารถสูงที่สุด ทำให้เขาเป็นผู้ช่วยที่วางใจได้ของกัปตันหยวน ผู้บัญชาการกองของเรา พี่สาม นี่คือฉินหยู่ พี่น้องร่วมทีมใหม่ของเรา”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับพี่สาม” ฉินหยู่พูดขณะยื่นมือให้จับพร้อมกับรอยยิ้ม

พี่สามกับทรงผมหัวเกรียน ในมือยังถือไพ่อยู่ เขาหันหน้าเล็กน้อยชำเลืองมองฉินหยู่ และผงกหัวเป็นเชิงทักทายและถามขึ้น “นายมาจากไหน?”

“พื้นที่โครงการพัฒนา” ฉินหยู่ตอบตรงไปตรงมา

พี่สามผงะ “พื้นที่โครงการพัฒนา? นายทำอะไรตอนอยู่ที่นั่น”

“ฉันช่วยเจ้านายนำส่งสินค้า พวกของใช้จำเป็นต่าง ๆ”

“อ้า… นายคือรันเนอร์? ไม่ง่ายเลยนะ…”

“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันแค่รับผิดชอบในการขับรถเท่านั้น”

“อ้อ คนขับรถ” ความประหลาดใจเมื่อกี้ของพี่สามหดหายไป น้ำเสียงลดความกระตือรือร้นลง แต่เขายังถามต่อ

“นายใช้เส้นสายทางไหนถึงเข้าทำงานในกรมตำรวจได้?”

“ฉันมีเพื่อนช่วยติดต่อกับคนรู้จักข้างใน และผมก็จ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อจะได้เข้ามาที่นี่”

“อ้อ นายใช้เงินเป็นใบเบิกทาง?” พี่สามพูดไปมองไพ่ในมือไปด้วยและพูดต่อ “เข้าใจละ สำหรับตอนนี้นายจะต้องรอกัปตันหยวนกลับมา เพื่อมอบหมายงานให้นาย ฉีหลิน พาเขาไปที่เตียงข้างหน้าต่างนะ”

“ครับผม”

ฉีหลินหันไปบอกฉินหยู่ “นายไปใช้เตียงตรงนั้นนะ”

“เข้าใจแล้ว” ฉินหยู่รวบรวมของใช้ประจำวันและกระเป๋าเดินทางที่วางไว้ข้างประตูทางเข้าแล้วเดินไปที่เตียงของเขา

“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน!” พี่สามเห็นบางสิ่งที่ฉินหยู่ถืออยู่ขณะเดินไปก็ตะโกนเรียกอย่างฉับพลัน

“มีอะไรรึพี่สาม?” ฉินหยู่ถาม

พี่สามมองไปที่ถุงสินค้าที่ฉินหยู่ถืออยู่และถาม “นายซื้อของใช้จำเป็นจากที่ไหน?”

“ฉันจำชื่อร้านไม่ได้ แต่มันแค่ร้านสะดวกซื้อข้างทางนะครับ” ฉินหยู่ตอบอย่างใจเย็น

พี่สามพูดโดยปราศจากการละสายตาจากการเล่นไพ่ “ฉีหลิน นายไม่ได้บอกเด็กใหม่หรือว่า เราซื้อของใช้ประจำที่ไหน?”

คำพูดของหัวหน้าทำเอาฉีหลินตกที่นั่งลำบาก เขาบอกฉินหยู่แล้ว แต่ฉินหยู่ไม่ทำตาม เขาจะรู้สึกเหมือนคนช่างฟ้องถ้าเขาบอกเรื่องฉินหยู่กับหัวหน้า แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ต้องการแบกรับความผิดในเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน

หลังจากสองวินาทีแห่งความเงียบ ฉินหยู่คือคนที่พูดขึ้นมาก่อน “ฉีหลินบอกกับฉันให้ซื้อของใช้ประจำวันที่ร้านตรงข้าม แต่ฉันเงินเหลือน้อย ฉันจึงไปซื้อที่ร้านข้างๆ ครับ”

“...คู่สอง…” พี่สามยังเล่นไพ่ต่อเนื่องอยู่ และปล่อยให้ฉินหยู่ยืนอยู่ข้างๆ สามสี่วินาทีก่อนที่เขาจะพูดอีกที “งั้นหรือ? ฉันเข้าใจละ นายกลับไปจัดของต่อได้แล้ว”

“ครับผม” ฉินหยู่ผงกหัวรับคำแล้วกลับไปจัดของของเขาให้เข้าที่เข้าทาง

ฉีหลินเข้าไปช่วยฉินหยู่จัดของและกระซิบฉินหยู่ “เด็กใหม่จะต้องใช้เตียงบนข้างหน้าต่างเสมอเพราะมีลมหนาวรั่วเข้ามาในห้อง ตอนกลางคืนมันจะหนาวทีเดียว ห่มผ้าหนาๆ และกัดฟันทนสักพัก มันจะดีขึ้นเองเมื่อมีเด็กใหม่อื่นเข้ามา”

“ไม่ต้องห่วง นี่มันเรื่องขี้ผง ฉันเคยต้องอาศัยอยู่ตามถนนตั้งหลายเดือนมาก่อน” ฉินหยู่ตอบ เขาไม่สนใจจะคิดเรื่องความหนาวแม้แต่น้อย เขาเปิดกระเป๋าเดินทางออก หยิบกล่องบุหรี่ชองฮวา ซึ่งเป็นยาสูบจีนแท้อย่างดี สองกล่องออกมาอย่างระมัดระวัง และยัดใส่มือฉีหลิน

“นี่คือ...” ฉีหลินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“ฉันเห็นนายสูบบุหรี่ไฟฟ้าก่อนหน้านี้” ฉินหยู่ตอบพลางหัวเราะเบาๆ “ฉันไม่มีอะไรดีๆ ติดตัวมา ดังนั้นฉันตอบแทนนายได้แค่นี้ล่ะ สำหรับที่นายต้องลำบากพาฉันไปโน่นมานี่ทั้งวัน”

ในยุคที่การมีอาหารเพียงพอต่อการบริโภคเป็นเรื่องท้าทาย บุหรี่แท้ๆ จะดูเป็นของหรูหรา นี่ยังไม่เอ่ยถึงว่าชองฮวาเป็นสินค้าพรีเมียมก่อนยุคล่มสลาย คนสูบบุหรี่ส่วนมากไม่เคยได้เห็นมันอีกเลยตั้งแต่เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ โอกาสจะได้สูบมันยิ่งไม่มีทาง

ฉีหลินถือกล่องบุหรี่สองกล่องแน่นราวกับกลัวหาย และพูดด้วยน้ำเสียงช็อก “น…นายสามารถที่จะหาบุหรี่นี้ได้จากในพื้นที่โครงการพัฒนาเหรอเนี่ย!? ชองฮวา! นายรู้มั้ยว่า กี่ปีแล้วที่ฉันไม่ได้เห็นมันแถวนี้!?”

“เขตบ้านนอกก็มีข้อดีของมันนะ” ฉินหยู่ตอบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ฉันจัดของคนเดียวได้ นายมีอะไรต้องทำก็ไปทำเถอะ ไว้วันหลังฉันจะเลี้ยงข้าวนายนะ”

“ฮ่าๆ ขอบใจมากพี่ชาย!” ฉีหลินเก็บกล่องบุหรี่ใส่กระเป๋าเสื้อ

ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน พี่สามหันมาเอียงคอมองฉินหยู่พร้อมพูดยิ้มๆ “โอว… นายยังมีสินค้าอยู่กับตัวหรือเนี่ย?”

ฉินหยู่ไม่คาดคิดว่าหัวหน้าจะแอบจับตาดูเขามาตลอด ดังนั้นหลังจากงุนงงไปเล็กน้อย เขาจึงตอบหัวหน้า “เพื่อนของผมให้มาน่ะครับ”

“นายมีของดีนี่นา นั่นน่ะ เราไม่เคยแม้กระทั่งเห็นมันมาก่อน” ว่าแล้ว พี่สามเย้ยหยัน

ฉีหลินตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะรีบเอากล่องบุหรี่ชองฮวาออกมา และเดินนอบน้อมค้อมตัวไปหาหัวหน้า “พวกเราทั้งหมดเหมือนพี่น้องกัน มา มา เอาไปคนละมวนเลยพี่น้อง”

ฉินหยู่ให้บุหรี่แก่ฉีหลินเพราะเขารู้สึกแย่ที่ทำให้ฉีหลินต้องเดินพาเขาตะลอนมาทั้งวัน จึงให้ของเป็นการขอบคุณ อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณใครในห้องนี้ แต่แล้ว เมื่อ พี่สาม โวยเสียงดังขึ้นมาให้ได้ยินกันทั่ว และเขาคิดว่าจะอยู่ที่นี่จากนี้ไป มันคงจะลำบากใจถ้าความสัมพันธ์ในทีมจะแข็งกระด้างเกินไป เขาจึงตัดสินใจหยิบบุหรี่ชองฮวาออกมาอีกกล่อง

ที่โต๊ะไพ่ พี่สามปัดแขนของฉีหลินที่ยื่นบุหรี่ให้ออกไปและพูด “บุหรี่ของนายดีเกินไปสำหรับฉัน พวกคนจนอย่างฉันไม่ชินกับของดีอย่างนี้หรอก”

คำพูดเหล่านั้นทำเอาฉีหลินตัวแข็งพูดไม่ออก

ในขณะเดียวกัน ฉินหยู่รับรู้ถึงการทิ่มแทงจิตใจที่มาจากคำพูดเหล่านั้น เขาจึงยัดกล่องบุหรี่กลับไปในกระเป๋าเดินทางและกลับไปจัดของอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด

พี่สามโยนไพ่ลงบนโต๊ะและหันไปที่ฉินหยู่กับสีหน้าไม่เป็นมิตร “เฮ้! ที่นี่เรามีกฎว่าคนมาใหม่ต้องเข้าเวรสามกะรวด! วันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ นายจะต้องรับผิดชอบการลาดตระเวน นายไม่มีปัญหาใช่มั้ย?”

ได้ยินคำพวกเหล่านั้นของหัวหน้าฉินหยู่หันไปมองฉีหลินแต่ฉีหลินหลบตาเขา ฉินหยู่เข้าใจสถานการณ์ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นเขาจึงถามขึ้น “พี่สาม ฉันต้องทำอย่างไรบ้าง?”

“นายจะอยู่ในกรมตอนกลางวัน และลาดตระเวนตอนกลางคืน” พี่สามตอบอย่างใจเย็นขณะที่ยกน้ำขึ้นดื่ม

“งั้นควรจะมีค่าทำงานล่วงเวลาใช่มั้ย?” ฉินหยู่ถามอีก

“มันเป็นกฎภายในของทีมเรา… นายคิดว่าไงล่ะ?” พี่สามตอบโดยไม่แม้แต่มองฉินหยู่

“ฉินหยู่ ช่างมันเถอะ ฉันจะสลับเวรกับคนอื่นและมาช่วยเข้าเวรกับนายสองวัน!”

ตอนแรกฉีหลินก็ลังเลที่จะช่วย แต่เมื่อมองบุหรี่ชองฮวาในมือแล้วเขาจึงรวบรวมความกล้าที่จะพูดขึ้น

“นายเป็นพวกรู้มากเหรอ เจ้าฉีน้อย” ชายหนุ่มลูกทีมที่นั่งข้างพี่สามยั่วฉีหลิน

“เราเป็นพี่น้องกัน มันถูกต้องแล้วที่เราจะดูแลกันและกัน” ฉีหลินหัวเราะเบา ๆ

พี่สามวางแก้วน้ำลงและชี้ไปที่ฉีหลิน “เมื่อเขาได้ชุดเครื่องแบบแล้ว บอกเขาด้วยว่าต้องเข้าเวรยังไง”

“เข้าใจแล้วครับ” ฉีหลินผงกหัวรับคำ

“พี่สาม ฉันเกรงว่าผมจะไม่สามารถเข้ากะแบบนั้นได้” ฉินหยู่ปฏิเสธขึ้นอย่างฉับพลัน

ทั้งห้องเปลี่ยนเป็นตกอยู่ในความเงียบกริบ

พี่สามเลียริมฝีปากตนเองก่อนจะเอียงคอมองฉินหยู่ “นี่เป็นสิ่งที่เด็กใหม่ต้องทำ! แล้วนายมีอะไรเหนือกว่าคนอื่น ถึงจะทำไม่ได้?”

“สุขภาพหัวใจของฉันไม่ค่อยดี ฉันจะไม่สามารถเข้ากะทั้งคืนได้”

“นั่นไม่ใช่ปัญหา ฉันเตรียมยาพิเศษให้นายไว้แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ต้องห่วงอีกต่อไป”

“ฉันบอกว่า ฉันไม่สามารถจะทำได้…” ฉินหยู่พูดซ้ำด้วยรอยยิ้ม

“แกมันไอ้ลูกหมาชัดๆ!” หลังจากถูกสวนกลับสองครั้งจากเด็กใหม่ พี่สามโกรธจนหน้าเขียว

“แกคิดว่าเป็นใครหา!? ทำไมแกจะทำอย่างคนอื่นทำมาก่อนไม่ได้!?”

“พี่สาม ที่นี่เราพี่น้องกัน ใจเย็นก่อน ผมว่าเราคุยกันเพื่อหาทางออกได้นะ...เฮะเฮะ”

ฉีหลินเห็นเหตุการณ์เลยเถิดไปจนเกินควบคุม เขาเลยพยายามจะไกล่เกลี่ยให้เรื่องเบาลง

พั้วะ!!!

พี่สามชกเข้าที่ไหล่ฉีหลินและตะโกนลั่น “ไอ้ระยำเอ๊ย! แกคิดว่าแกเป็นใคร หา!? ใครเป็นพี่น้องกับแก!? แกมีสิทธิ์อะไรที่จะพูดกับฉันแบบนั้น!?”

ฉีหลินเซถอยตามแรงหมัดไปยืนเจ็บอยู่ข้างๆ เขากำกล่องบุหรี่ในมือแน่น ก้มหัวลงและยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น

พี่สามพร้อมกับลูกทีมอีกสี่คนอยู่ข้างหลังเขา ย่างเข้ามาหาฉินหยู่อย่างปองร้าย

“แกจะต้องเข้าเวรทุกกะในสัปดาห์หน้า แกจะพักต่อเมื่อแกหัวใจวาย เข้าใจมั้ย!?”

…………………………………………………..

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด