ตอนที่แล้วEp.946 - สัตว์ร้ายโคตรอันตราย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปEp.948 - ดาวแห่งความมืดของจ้าวเหนือหัว

Ep.947 - ตื่นจากนิทรา


Ep.947 - ตื่นจากนิทรา

สองสัตว์ร้ายเลเวล S ถูกโถมกลืนโดยสองอบิลิตี้อย่างไร้หนทางหลบเลี่ยง

และเมื่อเป็นอบิลิตี้เลเวล S  ก็หมายความว่ามันมีอำนาจมากพอที่จะทำร้ายเลเวล S สร้างอาการบาดเจ็บให้อีกฝ่ายได้โดยตรง

อย่างไรก็ตาม แม้จะกล่าวว่าเป็นอบิลิตี้เลเวล S แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเทคนิคนี้จะสังหารสัตว์ร้ายให้ตกตายทันที ร่างของสัตว์ร้ายตามปกติมักแข็งแกร่งทนทานยิ่งกว่ามนุษย์ หากอบิลิตี้ดังกล่าวโจมตีโดนมนุษย์ อีกฝ่ายคงตายอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ทว่า ฉินเฟิงไม่คิดสังหารพวกมันลงในคราเดียว หลังจากสองรังสีแสงที่ต่างกันสุดขั้วกลืนหมาป่าทั้งสอง ความเร็วของฉินเฟิงก็พุ่งสูงขึ้น

“ทักษะก้าวทะลวงมิติ!”

ในพริบตา ร่างของฉินเฟิงแหวกฝ่าพายุหิมะ หายวับมิอาจมองเห็นได้อย่างสิ้นเชิง เขารวดเร็วเกินไป

แทบจะในทันที ฉินเฟิงมาโผล่เบื้องหน้าหมาป่าตัวเมีย มีดกษัตริย์ครามปะทุกรุ่นไปด้วยกำลังภายใน ฟาดฟันออกไป

หมาป่าตัวเมียเดิมถูกแช่จนแข็งด้วยเทคนิคเสียงเพรียกแห่งความตายอยู่แล้ว ดังนั้นไร้ซึ่งการป้องกันใดๆ ร่างกายแข็งทื่อ ไม่สามารถรอดพ้นการเชือดเฉือนของฉินเฟิง

ฉัวะะะ!!

หมาป่าตัวเมียเลเวล S ถูกสะบั้นศีรษะในคราเดียว

“โฮฮฮฮ ! ! !” หมาป่าตัวผู้ที่บัดนี้ร่างกายยวบยาบอ่อนแอ แหกปากร้องด้วยความเศร้าสลด แต่มิทันได้เคลื่อนไหว ร่างของฉินเฟิงก็โฉบวูบมาถึงเบื้องหน้ามันแล้ว

หมาป่าตัวผู้ยังพอสามารถต้านทานอบิลิตี้นี้ได้ แต่สุดท้ายด้วยความแข็งแกร่งโดยรวมที่ลดทอนลง มันเลยไม่สามารถทานรับการโจมตีของฉินเฟิง

“แสนสับสังหาร!”

ภายในรังสีใบมีดของฉินเฟิง ท่วมท้นไปด้วยจิตวิญญาณ พวกมันถูกปลดปล่อยออกมารุมล้อมหมาป่าตัวผู้ในทุกทิศทาง จากนั้นเริ่มกัดแทะดวงวิญญาณของอีกฝ่าย หมาป่าตัวผู้เดิมอ่อนแอมากอยู่แล้ว มันดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ผลลัพธ์ยังคงเดิม ถูกภูติผีวิญญาณเข้ากลืนกิน กลิ่นอายแห่งชีวิตเหือดหายไปหมดสิ้น

สองสัตว์ร้ายเลเวล S ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ ตกตายลงอย่างสิ้นเชิง

พลังงานจากศพมันฟุ้งกระจายไปทั่วสวรรค์และปฐพี พลังพิเศษดูดกลืนของฉินเฟิงทำงานต่อเนื่อง ดูดซับพลังแห่งชีวิตมาหล่อเลี้ยงร่างกายเขา เติมเต็มทุกเซลล์จนมันเกิดการระเบิดอีกครั้ง

ความแข็งแกร่งทางกายภาพก้าวขึ้นสู่เลเวล A2 !

เฉพาะช่วงเวลายกระดับ อบิลิตี้มืดมิอาจเก็บซ่อนความแข็งแกร่งทางกายภาพของฉินเฟิงเอาไว้ได้ ดังนั้นหากมองจากภายนอก ฉินเฟิงยังคงมีความแข็งแกร่งในเลเวล A2

อย่างไรก็ตาม หูซาน , เป่ยถังเฉียน และหนานกงซีหมิงที่อยู่ในเหตุการณ์ แม้สายตาของพวกเขาจะเห็นเป็นผู้ใช้พลังเลเวล A2 แต่เลเวล A2 คนนี้กลับสามารถสังหารสัตว์ร้ายเลเวล S ได้สองศพในไม่กี่ลมหายใจ

ช่างเป็นเรื่องที่ขัดต่อเจตจำนงสวรรค์อย่างแท้จริง

“พวกคุณกลับไปเถอะ ผมจัดการเองได้” ฉินเฟิงกล่าว

“ฮ่าฮ่าฮ่า มีคุณอยู่พวกเราก็สบายใจ ครั้งนี้พวกเราแค่มาดูว่าคุณต้องการความช่วยเหลืออะไรไหมก็เท่านั้นเอง” หนานกงซีหมิงกล่าว แต่ในใจกลับคิดถึงเรื่องอื่น

‘กลับไปในฐานเมื่อไหร่ ฉันต้องย้ำเตือนผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดี ว่าอย่าไปล่วงเกินฉินเฟิง แม้แต่ลูกน้องของเขา ก็ห้ามทำให้ขุ่นเคืองเช่นกัน มิฉะนั้น หากฉินเฟิงโกรธ แล้วเผลอลงมีดขึ้นมา คงไม่มีสามารถหยุดเขาได้!’

หนานกงซีหมิงตระหนักดี ว่าต่อให้เป็นตัวเขาเอง ก็ไม่สามารถหยุดฉินเฟิงได้

เวลานี้ ฝ่ายหูซานและเป่ยถังเฉียนก็มีความคิดคล้ายๆกัน

สองหมาป่าเลเวล S ตายแล้ว ฝูงหมาป่าขาวตัวอื่นๆก็แตกกระเจิงหลบหนีไป ฉินเฟิงเก็บรวบรวมสินสงคราม เดินทางกลับป้อมปราการ

การต่อสู้ในครั้งนี้ แม้ในป้อมปราการจะไม่ได้อยู่ในรัศมีโจมตี แต่คนข้างในได้รู้แจ้งอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือความน่าสะพรึงกลัวของมิติแห่งนี้ มันอันตรายเกินกว่าพวกเขาจะจินตนาการ

ดังนั้น ผู้ใช้พลังเลเวล A ทั้งหมดเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น , ผู้ใช้พลังเลเวล B นอกจากฝึกฝนแล้ว ไม่มีความสามารถในการรับมือใดๆ หากเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆ สิ่งเดียวที่พวกเขาสามมารถกระทำได้ คือหลบหนี มุดหัวเข้ามาในป้อมปราการ

ในฐานะผู้ใช้พลังเลเวล C เพียงคนเดียว วังเฉินปลอดโปร่งโล่งใจมาก แม้พายุพลังงานจะทรงพลัง แต่พลังงานฟ้าดินของที่นี่ มันมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มพูนพลังสมาธิของเขา เจ้าตัวเร่งฝึกฝนสุดกำลัง เพราะตระหนักดีว่าสถานที่แห่งนี้ เหมาะสมแก่การฝึกฝนที่สุด

สองเดือนต่อมา ในที่สุดวังเฉินก็สามารถตัดผ่านเข้าสู่เลเวล B พลังสมาธิของเขาก้าวกระโดดไปอีกขั้น มันช่วยให้เขาสามารถควบคุมหุ่นยนต์จำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ต่อสู้ได้ บนเกาะมังกร เขามิได้มีฐานะเป็นเพียงการดำรงอยู่ที่สามารถถูกบดขยี้ได้ตลอดเวลาอีกต่อไป

ในระหว่างสองเดือนมานี้ ทางฉินเฟิงเองก็ยังคงล่าสัตว์ร้ายอย่างต่อเนื่อง

เพียงแต่ว่าเกาะมังกรไม่เกิดการระบาดของกองทัพสัตว์ร้าย ดังนั้นเหยื่อของฉินเฟิงจึงมีจำนวนจำกัด ท่ามกลางพายุหิมะ ยากนักที่จะเฟ้นหาสัตว์ร้าย แต่ที่แน่ๆ รอบๆปราการน้ำแข็ง สัตว์ร้ายเกือบ 80% ถูกฆ่าไปแล้วโดยฉินเฟิง

จากการสะสมไปในแต่ละวัน แต่ละเดือน ความแข็งแกร่งทางกายภาพของฉินเฟิง อีกก้าวเดียวก็จะเหยียบย่างสู่เลเวล A3 ขณะเดียวกัน นี่ก็ใกล้ได้เวลาที่ไป๋หลีจะบรรลุการฝึกฝนแล้ว

นอกจากนี้ วันเปิดงานประมูลของเมืองหลวงแห่งความมืดก็ใกล้เข้ามาแล้วเช่นกัน ฉินเฟิงตั้งใจจะกลับไปที่นั่น แม้ตัวตนทรงอำนาจคนเดียวที่รู้การตายของเหอเทียนสิงคือเทพวูดู แต่ไม่มีใครรับประกันได้ว่าเทพวูดูจะไม่ใช้ประโยชน์จากเวลางานประมูล เข้าปล้นชิง

ปัจจุบันเมืองหลวงแห่งความมืดได้กลายเป็นสมบัติของฉินเฟิงแล้ว และมันสามารถทำกำไรให้เขาได้อย่างมหาศาล ฉะนั้นฉินเฟิงจะยอมปล่อยมันทิ้งไปได้อย่างไร!

ไม่ต้องกล่าวถึง ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ที่ฉินเฟิงให้ความสนใจ

นั่นคือกระแสกองทัพสัตว์ร้ายที่ร้ายแรงที่สุดในพันธมิตรวู้ดแลนด์ ในเดือนมิถุนายน ยุครอยแยกมิติปี 220 ก่อนงานประมูลของเมืองหลวงแห่งความมืดจะเริ่มขึ้น ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านอย่างหัวเซี่ย หากพันธมิตรวู้ดแลนด์ถูกรุกรานโดยกองทัพสัตว์ร้ายอย่างกะทันหัน มันจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ส่วนหนึ่งของหัวเซี่ยด้วยเช่นกัน

หากคำนวณตามสถิติ จะมีสถานชุมชนมากกว่า 300 แห่งถูกทำลาย ห้าเมืองใหญ่ล่มสลาย มิอาจประมาณจำนวนผู้เสียชีวิตได้

ฉินเฟิงไม่ใช่พระผู้ช่วยชีวิต แน่นอนเขาไม่ได้มีจุดประสงค์คิดช่วยชีวิตคน แต่ที่นั่นเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เป็นเหยื่อชั้นดีที่ฉินเฟิงต้องการ

สังหารสัตว์ร้าย! เพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง!!

นี่คือเส้นทางที่จะช่วยให้เขาเติบโต ยกระดับได้เร็วที่สุด!!!

ดังนั้น สองเดือนหลังจากประจำการบนเกาะมังกร ในที่สุดฉินเฟิงก็เอ่ยปากว่าจะจากไป เป่ยถังเฉียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

อีกอย่าง มีฉินเฟิงอยู่ด้วยแล้วเขาอุ่นใจ ตอนนี้เป่ยถังเฉียนเห็นฉินเฟิงกำลังจะจากไป ก็เริ่มเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมา ทว่าเจ้าตัวละทิ้งความคิดนี้ไปอย่างรวดเร็ว ในฐานะเลเวล S ทำไมเขาต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของผู้ใช้พลังเลเวล A ด้วย? ความภาคภูมิของตัวตนทรงอำนาจเลือนหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน!

“ถ้าคุณมีธุระก็ออกไปเถอะ กลุ่มของคุณเป็นครอบครัวใหญ่ ฉะนั้นคงมีหลายสิ่งที่ต้องจัดการ” เป่ยถังเฉียนกล่าว

“ครับ ผมคงต้องรบกวนคุณที่นี่แล้ว หวังว่าท่านผู้ใหญ่จะดูแลวังเฉินให้ดี”

“อืม ไว้ใจฉันได้เลย”

เป่ยถังเฉียนตอบรับ เขาจะปฏิบัติต่อวังเฉินราวกับเป็นวัตถุสำคัญที่ต้องปกป้อง เพราะท้ายที่สุดแล้วหากวังเฉินตายลง เป่ยถังเฉียนก็ไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบายแก่ฉินเฟิง

บางครั้ง อิทธิพลของตัวตนทรงอำนาจ ก็สามารถแทรกซึมเข้าไปในจิตใจของผู้คนได้โดยไม่รู้ตัว หากเป็นผู้ใช้พลังเลเวล A ธรรมดา มาขอให้เป่ยถังเฉียนปกป้องลูกน้องตน เป่ยถังเฉียนคงคิดว่าอีกฝ่ายกำลังล้อเล่น

แต่ต้องขอบอกว่า ฉินเฟิงมีความแข็งแกร่ง มากซะจนกระทั่งเลเวล S ยังไว้หน้าเขา

ฉินเฟิงออกจากเกาะมังกร กลับไปยังเมืองเฟิงหลี

เพียงแต่ว่า เขาเพิ่งกลับมาถึงบ้านพักในเมือง ศิลาเขตแดนลับที่เขาถืออยู่ในมือพลันเปล่งแสงสีเงิน ก่อตัวเป็นประตูมิติ ไป๋หลีก้าวออกจากข้างใน

สามเดือนมิได้พบหน้า ฉินเฟิงคิดถึงเจ้าจิ้งจอกน้อยมาก

แน่นอน เมื่อเทียบกับความคิดถึงของเขาแล้ว เป็นไป๋หลีที่ไม่ได้เจอฉินเฟิงมานานแสนนาน ระหว่างฝึกฝน จิตสำนึกจมอยู่ในห้วงหลับใหล สำหรับไป๋หลี ราวกับว่าเธอจำศีลเนิ่นนาน หลังจากตื่นขึ้นมา ความแข็งแกร่งของเธอทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว

“คุณคิดถึงฉันรึเปล่า?” ไป๋หลีเห็นฉินเฟิง ก็โผเข้ากอด สองแขนคล้องคอเขา ใช้ใบหน้าน้อยๆขยับถูฉินเฟิงไม่หยุด

“แน่นอน ฉันต้องคิดถึงอยู่แล้ว!”

“ฮึ่ม! ก็ลองกล้าไม่คิดถึงฉันดูสิ!” ไป๋หลีเชิดคางขึ้น แสดงท่าทีเอาแต่ใจ แต่แล้วสองคิ้วเธอกลับขมวดเข้าหากัน สีหน้ากลายเป็นบึ้งตึง “ทำไมความแข็งแกร่งของคุณถึงเพิ่มขึ้นตั้งสองขั้น? นี่มันไม่ถูกต้อง อย่าบอกนะว่าสามเดือนที่ผ่านมา คุณแอบหนีเที่ยวเกาะมังกรลับหลังฉัน!?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด