ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 1 เด็กใหม่

[Rewrite,อ่านฟรี] Special District 9 ตอนที่ 0 บทนำ


ความหายนะ

หลังจากที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างฉับพลัน พื้นผิวโลกถูกทำลายล้าง พืชพันธุ์และสัตว์ต่างๆ ล้มตายสูญพันธุ์จนแทบไม่เหลือ สภาพอากาศและฤดูกาลแปรปรวน ส่งผลให้ทรัพยากรและอาหารขาดแคลน สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม และยุคสมัยถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง อารยธรรมมนุษย์ผันแปรจนเกิดความวุ่นวายอย่างไม่จบสิ้น

……

ชายหนุ่มวัย 23 ปีเดินกอดอกค้อมตัวไปตามถนนไร้ชื่อ ในพื้นที่โครงการพัฒนา ห่างออกไป 300 กิโลเมตรฝั่งซ้ายของเขตปกครองพิเศษที่ 9

สิ่งปฏิกูลกองขยะน่าอเนจอนาถใจปรากฏไปทั่วทุกหนแห่ง ถนนหนทางและบ้านเรือนเสื่อมโทรม  ระบบระบายน้ำในพื้นที่ตัวเมืองอุดตันมาเป็นปีๆ ห้องน้ำสาธารณะเหม็นคลุ้งไปถึงอาคารบ้านเรือนในตลาด ยากจะเห็นแสงไฟสักดวงปรากฏในย่านเสื่อมโทรมแบบนี้ นานๆ ทีจะเห็นผู้คนจับกลุ่มกันบ้างประปรายตามถนนที่ทอดยาวออกไป และดูเหมือนชายจะน้อยกว่าหญิงเป็นเท่าตัว

ชายหนุ่มร่างกายกำยำพร้อมกับความสูง 182 เซนติเมตรมีนามว่า ฉินหยู่ ด้วยความตั้งใจเดินอย่างว่องไว มองไปข้างหน้าด้วยสายตาที่แน่วแน่ เขาไม่มีงานทำในวันนี้ แต่มันไม่สำคัญ เพราะเขาพร้อมแล้วที่จะซื้อสถานะผู้อาศัยถาวรในเขตปกครองพิเศษที่ 9 ซึ่งจะเป็นการสำเร็จแผนขั้นแรกของเขา

ฉินหยู่ค่อนข้างหน้าตาหล่อเหลาเอาการ มีคิ้วยาว ตาคม แต่เวลานี้ ด้วยผมที่ค่อนข้างยาวและแห้งเกรอะกรัง กับหนวดเคราที่เริ่มยาว เขาดูมอมแมมเล็กน้อย และเสื้อผ้ามีรอยเปื้อนคราบน้ำมันและคราบสกปรกต่างๆ เต็มไปหมด ถ้าเขาไปอยู่ในฝูงชนในสภาพนี้ จะไม่มีทางเห็นเขาโดดเด่นออกมาได้เลย

ฉินหยู่มองไปที่สี่แยกข้างหน้า เขาเดินกำลังจะเลี้ยวซ้ายเพื่อกลับไปที่พักของเขา

“พี่ชาย พี่ชาย…!”

เสียงตะโกนเรียกจากผู้หญิงในชุดสีขาวหม่นห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมหนาอีกชั้น เธอเข้าดึงฉินหยู่เบาๆ ไปข้างทาง

ฉินหยู่หยุดนิ่งไปชั่วครู่และหันกลับมามอง “มีอะไรเหรอ?”

“สามสิบดอลลาร์” หญิงสาวยกมือชูสามนิ้วพร้อมพูดและหันมองไปที่ร้านค้าผุๆ พังๆ ข้างหลังเธอและกระซิบต่อ

“ไปข้างหลังกันเถอะค่ะ”

“อ้อ ฉันไม่มีปัญญาจ่ายหรอก” ฉินหยู่ยิ้มและก้าวออกไป

“เดี๋ยวสิคะ” หญิงสาวคว้าแขนฉินหยู่อีกที “ยี่สิบห้า ยี่สิบห้าเท่านั้น”

ฉินหยู่หันกลับมา มองนิ่งไปที่หญิงสาวสักครู่และส่ายหัวพร้อมพูด “ฉันไม่มีเงิน”

“คุณไม่สนใจฉันเหรอคะ? ยังมีคนอื่นๆ ในห้องให้เลือกอีกนะ”

“ฉันไม่มีเงินจริงๆ” ฉินหยู่เขย่าแขนให้หลุดจากการเกาะกุมด้วยความไม่พอใจ “ปล่อยฉันนะ ฉันจะรีบกลับบ้าน”

หญิงสาวใช้มือเล็กๆ ของเธอเกาะแขนฉินหยู่แน่นขึ้นและนิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะพูดด้วยเสียงอ่อยๆ “แค่ข้าวสารสองชามก็ได้ค่ะ แต่ต้องใช้ชามฉันตวงข้าวนะ”

ฉินหยู่ขมวดคิ้ว “ฉันบอกว่าไม่ไง ไปให้พ้น!”

แต่หญิงสาวยังไม่ปล่อยแขนฉินหยู่ เธอหลังหันไปมองกลุ่มเด็กวัย 7 - 8 ขวบที่ยืนอยู่ข้างร้านค้าผุๆ พังๆ และพูด

“ฉันมีลูกสามคน และไม่มีลูกค้าเลยคืนนี้ ฉันไม่มีเงินซื้อข้าวให้เขากิน…พี่ชายคะ คุณเป็นคนดี ช่วยฉันสักครั้งหนึ่ง ข้าวสารซักชามก็ได้ ฉันจะคุกเข่าคำนับคุณเลย”

ฉินหยู่มองหญิงสาวและพูดอย่างเฉยเมย “โลกมันเป็นอย่างนี้มาตั้งไม่รู้กี่ปีแล้ว สภาพแวดล้อมแบบนี้ ถ้าเธอไม่มีปัญญาเลี้ยงตัวเองแล้วเธอจะทำยังไง?”

หญิงสาวนิ่งเงียบไป

ฉินหยู่กระตุกแขนเขาหลุดจากการจับกุมของหญิงสาว

หลังจากยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวกระหืดกระหอบกลับไปหากลุ่มเด็กที่ยืนข้างร้าน “เขามี เขามี…ตอนฉันลากเขา หันเห็นเสบียงในเสื้อคลุมเขา”

……

ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา

ฉินหยู่กลับมาถึงตึกร้างสูงหกชั้น เขาก้าวขึ้นบันไดเก่าๆ สนิมเขรอะ เพื่อเข้าสู่ที่พักพิงที่ชั้นห้าของเขา

ตึกร้างหลังนี้มีคนอยู่แค่สองคน คือฉินหยู่กับเสี่ยวจวงเพื่อนของเขา และกำแพงรอบนอกส่วนใหญ่ของอาคารก็พังทลายไปเกือบหมดแล้ว แม้ว่าตึกร้างหลังนี้จะเสี่ยงกับการถล่ม แต่ในยุคที่คำว่า ‘บ้าน’ มีความหมายเพียงแค่พื้นที่ที่คุณยืนอยู่ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ฉินหยู่เลือกที่นี่เพราะมันไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปา ทำให้เขาไม่ต้องทนแบกรับค่าครองชีพที่สูงลิ่ว

ห้องที่เรียบง่าย มีแค่เตียงกับตู้เก็บของเก่าๆ สองใบ ไม่มีสิ่งบันเทิงใดๆ นอกจากหนังสือนิตยสารเกี่ยวกับกองทัพเก่าๆ จากปี 2019 ไม่กี่เล่ม

ฉินหยู่เข้ามาในบ้านและแขวนเสื้อคลุมสกปรกของเขา เผยให้เห็นถุงผ้าใบขนาดย่อมที่สะพายอยู่ที่แขนใต้เสื้อคลุม

เขาเข้ามาข้างเตียงอย่างระมัดระวัง หยิบชามใหญ่ร้าวๆ ขึ้นมา แล้วเทข้าวสารน้ำผึ้งขาวจากถุงผ้าใบลงในชามพร้อมตะโกนถามเพื่อน “เสี่ยวจวง ข้าวสุกรึยัง!”

“ยัง ฉันเพิ่งกลับมาจากข้างนอก” เสียงของคนจากหลังบ้านตะโกนตอบมา เพียงไม่กี่นาทีเขาก็เดินออกมา เผยให้เห็นเป็นชายหนุ่มผิวคล้ำหน้าหยาบกร้านรุ่นเดียวกับฉินหยู่

“ตึง! ตึง! ตึง!”

ขณะที่ฉินหยู่กำลังจะคุยกับเสี่ยวจวง เสียงย่ำเท้าอย่างอึกทึกก็ดังมาจากชั้นล่าง เขานิ่งไปชั่วขณะ และรีบซ่อนถุงข้าวสารและชามไว้ในตู้เก็บของทันที และรีบเดินไปที่ประตูหน้าของห้องซึ่งมีสภาพเก่ามากแล้ว

ไม่ถึงสิบวินาที เด็กๆ อายุไม่ถึงสิบขวบ เจ็ดแปดคนก็วิ่งนำหน้าผู้ใหญ่ชายและหญิงอีกนับสิบ กรูกันขึ้นมาทางช่องบันไดวนนอกอาคารอย่างรีบร้อน

เมื่อคนทั้งกลุ่มวิ่งเร็วและแรงกรูกันขึ้นบันไดเหล็กเก่าๆ ที่อยู่ด้านนอกของตัวตึก ซึ่งคอนกรีตแตกร้าวไปทั้งทั่ว ดูเหมือนว่าตึกจะสั่นสะท้านไปทั้งหลัง

ฉินหยู่มาถึงประตูหน้าบ้านของเขาและตะโกนเตือนว่า “อย่า!...อย่าวิ่งขึ้นบันได! เวรละสิ เดี๋ยวบันไดถล่ม!”

“ลุง ผมหิว”

“ลุง ฉันต้องการกินข้าว…”

“...!”

พวกเด็กๆ ยืนอยู่บนบันไดเหล็ก มือถือชามเล็กๆ มองมาที่ฉินหยู่ตาละห้อย

“ลุงเองก็หิวเหมือนกัน พวกเธอได้กินข้าวเย็นกันไหม อยากกินข้าวกับพวกลุงมั้ยล่ะ?” ฉินหยู่ตอบด้วยรอยยิ้มแบบขี้เล่น

ความคิดและแววตาของเด็กๆ นั้นบริสุทธิ์และเรียบง่าย แต่แววตาขวางของพวกผู้ใหญ่นั้นบ่งบอกถึงไม่ต้องการญาติดีกับเขาเท่าไร ชายหัวโล้นรูปร่างล่ำสันตะโกนเสียงดังมาจากข้างหลังเด็กๆ “เอาอาหารของมันมา ถ้าไม่เอา พวกแกห้ามลงไป”

“ฉันไม่มีอาหาร” ฉินหยู่โบกมือตอบและพูดต่อ “เราไม่มีอาหารจริงๆ เราทุกคนเป็นเหมือนผีตายซากที่หิวกระหาย ในพื้นที่โครงการพัฒนา ไม่ง่ายเลยนะ หากฉันมีอาหารจริงๆ อย่างน้อย ฉันจะแบ่งให้พวกนาย อาจจะช่วยปกป้องพวกนายด้วยซ้ำ…”

“หยุดพูดจาเหลวไหล! ฉันเห็นแกโกยข้าวสารอยู่หยกๆ” ชายหัวโล้นผู้ล่ำสันตะโกนต่อไป “เร็วเข้า เอาข้าวสารของมันมาแล้วรีบกลับ สักครึ่งหนึ่งก็ยังดี”

“อย่านะ”

ฉินหยู่ส่ายหัวปฏิเสธ

“บุกเข้าบ้านมันเลย!” ชายหัวโล้นตะโกนหนักแน่น

“ลุง ผมหิวข้าว”

“ขออะไรก็ได้ให้ฉันกินหน่อย”

“...!”

คนทั้งกลุ่มขึ้นมาออกันแน่นขนัดอยู่หัวบันไดทางเข้าหน้าบ้านฉินหยู่ และบันไดเหล็กที่แขวนอยู่ภายนอกตึกก็สั่นอีก มันดูเหมือนจะถล่มลงไปได้ทุกเมื่อ

“ครืนน...ครืนน…

ฉินหยู่มองดูกลุ่มคนขยายตัวมากขึ้นพยายามจะเข้าบ้านของเขา ฉินหยู่รู้สึกโกรธและหมดความอดทนอีกต่อไป เขาชักมีดสั้นออกมาทันที และจ่อไปที่ฝูงชนหน้าบ้านพร้อมกับตะโกน “ให้ตายเถอะ! ชอบรังแกคนรักสงบใช่มั้ย!? ใครกันแน่ที่กลัวตายกัน!? ฉันมีข้าว และฉันจะให้แก ถ้าแกทำมีดหลุดจากมือฉันได้”

ทุกคนยืนตัวแข็งไปชั่วขณะ ชายหัวโล้นยังตะโกนพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน “พวกเด็กอยู่ข้างหน้า แกต้องแทงเด็กก่อนแล้วล่ะ”

“ไอ้เวร...!” ฉินหยู่ไม่สบอารมณ์แต่พูดอะไรไม่ออก

“บุกเข้าไปเอาอาหารในบ้านมัน!” ชายหัวโล้นโบกมือพร้อมตะโกนสั่งพวกพ้องอีกที

เมื่อสิ้นเสียงตะโกนสั่ง กลุ่มคนทั้งหมดก็ลุกฮือพุ่งเข้ามาที่ประตูบ้านฉินหยู่ เด็กๆ พากันยื้อยุดฉินหยู่พลางร้องตะโกน “ลุง ขออะไรกินหน่อย!”

“ลุง ผมไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว”

“ออกไป!”

ฉินหยู่ถือมีดสั้นแกว่งไปมาและตะโกนใส่เด็กอย่างช่วยไม่ได้ “ถอยไป ไม่งั้นฉันจะแทงพวกแก…”

ภายในบ้าน เสี่ยวจวงเห็นความขัดแย้งที่ประตูหน้าบ้าน เขารีบเข้าไปหยุดฉินหยู่ทันที และพูดเสียงดังใส่กลุ่มคนผู้หิวโหย “อย่าวู่วาม! ค่อยๆ พูดจากันก็ได้น่า”

พวกเด็กๆ หิวโหยมาก ทำให้ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น พวกเขาแค่ติดอยู่ตรงกลาง ระหว่างความขัดแย้งของฉินหยู่กับพวกผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างหลัง ที่เบียดเสียดกันพยายามผ่านช่องแคบระหว่างบันไดและหน้าบ้านฉินหยู่เข้ามาให้ได้

ฉินหยู่มีร่างกายกำยำล่ำสัน เขาไม่กลัวที่จะก้าวเข้ามาขวางประตูบ้าน มองตาขวางไปที่กลุ่มคนที่ออกันอยู่หน้าบ้านและตะโกนบอก “ข้าอยู่เพื่อตัวเองเท่านั้น อย่าบีบบังคับข้าให้มากนัก!”

ฝูงชนกรูกันเข้ามาชิดประตูบ้าน และไม่มีใครสนใจคำพูดของฉินหยู่เลย

ฉินหยู่ถูกเด็กวัยสิบขวบคนหนึ่งพยายามดึงเขาออกประตูไปจากแถวหลัง แต่เขาไม่สามารถแทงเด็กคนนั้นได้ จึงได้แต่พยายามสะบัดให้เด็กวัยรุ่นหลุดออกไป พร้อมกับเตรียมเผชิญกับผู้ใหญ่ข้างนอกที่จะเบียดเขาเข้ามาด้านใน

“ลุง ขอข้าวสักชามเถอะครับ…”

“ไปให้พ้น!”

เมื่อเด็กชายยังพยายามดึงฉินหยู่ ฉินหยู่ผลักเด็กน้อยผงะถอยไปชนพวกผู้ใหญ่แถวหลัง เด็กชายเสียหลักไปชนรั้วราวบันไดเหล็กผุๆ หักร่วงลงไป

“อ๊าาา!!!”

เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจกลัวของเด็กชายดังก้องไปทั่วบริเวณอย่างยาวนาน

“โครม!”

เสียงร่างกระทบพื้นดังก้องไปถึงชั้นบน

ฉินหยู่และเสี่ยวจวงตกตะลึงอ้าปากค้าง มองไปที่ราวเหล็กสนิมเขรอะอยู่ชั่วขณะด้วยความงุนงง

กลุ่มคนหน้าประตูบ้านหยุดนิ่งเงียบ และบันไดเหล็กก็กลับมามั่นคงอีกครั้งหนึ่ง

“เด็กนั่น! เด็กนั่นตกลงไปข้างล่าง!” เสี่ยวจวงตะโกนอย่างร้อนรนก่อนใคร

คนทั้งกลุ่มหันไปมองลงไปชั้นล่างเพียงแว็บเดียวด้วยความรู้สึกเย็นชา และหันกลับมาพร้อมกัน แต่แม่ของเด็กชายตกตะลึงและรีบวิ่งลงไปชั้นล่างพร้อมกับน้ำตาร่วงอาบแก้ม

ฉินหยู่ตัวแข็งทื่อ

“ข้าว”

“เด็กนั่นตกตึกไปแล้ว ตอนนี้เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะหนีไปโดยไม่ให้ข้าวกับเรา”

“ปล้นมันเลย!”

“...!”

เสียงชายร่างใหญ่หัวโล้นผู้นำกลุ่มตะโกนลั่น เพิ่มแรงกดดันขึ้นไปอีก และคนในกลุ่มไม่สนใจที่จะดูร่างเด็กข้างล่างอีกต่อไป แต่หันมาพยายามเบียดเสียดยัดเยียดพยายามจะเข้าประตูบ้านมาให้ได้ เสี่ยวจวงยืนอยู่ที่ประตู จ้องไปที่ฝูงชนที่พยายามเข้ามาในบ้าน เขารู้ดีว่าถ้าเขาไม่ยอมเสียเลือดเพียงเล็กน้อย เขาจะต้องสู้แบบถวายชีวิตเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ เขาเลียริมฝีปากแล้วตะโกนบอก

“เอาละ ฉันยอมให้ พวกนายมันเหลือขอจริงๆ ฉันจะให้ข้าวพวกนาย”

ฉินหยู่ได้ยินอย่างนั้น ก็เข้ามากระซิบเสี่ยวจวงว่า “อย่าให้มัน ให้มันไม่ได้แม้แต่นิดเดียว”

เสี่ยวจวงมองไปที่กลุ่มคนที่หน้าประตู และตอบว่า “เรื่องเรามีข้าวรั่วไหลไปแล้ว ถ้าเราไม่ให้พวกเขาบ้าง พวกเขาคงไม่ถอยไปง่ายๆ”

“ถ้านายทำดีกับพวกเขา เขาจะกลับมาก่อกวนอีก” ฉินหยู่ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังและพูดต่อ “ฉันยอมสู้หลังชนฝาดีกว่าเลยตามเลยก็แล้วกัน”

“เหลวไหล” เสี่ยวจวงสวนกลับอย่างไม่เห็นด้วยและยังยืนยัน “มีแค่นายกับฉันสองคนเท่านั้นที่ต้องต่อสู้ แต่คนข้างนอกประตูนี่เยอะกว่ามาก นายแน่ใจหรือว่าจะควบคุมพวกเขาได้? ถ้านายหยุดพวกเขาไม่ได้ เราจะต้องถูกปล้นแน่ๆ พวกเขาเลือดขึ้นหน้าแล้ว นายไม่เห็นเหรอ?”

“นายแค่ฟังที่ฉันพูดก็พอแล้ว ฉันจะไปเอาปืนมา” ฉินหยู่ยังยืนกรานกับความคิดของเขา

“เสี่ยวหยู่ นายไม่เห็นเหรอ? พวกเขาไม่ถอยกลับไปแม้เด็กจะตายไปคนหนึ่งแล้ว พวกนี้เป็นคนไร้เหตุผล…”

เสี่ยวจวงดึงแขนฉินหยู่ไว้แล้วพูดด้วยความสงบ “เรามีเสบียงอาหารกินและเงินมากพอ ถึงเวลาที่จะเอาเงินเก็บไปใช้ให้เป็นประโยชน์กว่านี้ได้แล้ว ให้ข้าวพวกเขาสักชาม มันไม่ทำให้เราเสียอะไรมากมาย ฉันไม่ต้องการเสี่ยงชีวิต และฉันก็มีส่วนแบ่งในเสบียง ดังนั้นฉันมีสิทธิ์ในการตัดสินใจด้วย ว่าจะใช้มันยังไง”

ฉินหยู่ได้ยินแล้วพูดไม่ออก

เสี่ยวจวงยืนขึ้นพูดเสียงดังไปที่ชายหัวโล้นผู้นำกลุ่ม “พื้นที่โครงการพัฒนามันมีวิธีเอาตัวรอดอยู่ แต่ต้องมีความอดทน จึงจะสามารถอยู่รอดได้ เอาข้าวสารไป แล้วอย่ามาก่อกวนที่นี่อีก”

“ถ้าฉันไม่ต้องอดตาย ฉันถอยจากพวกนายแน่นอน” ชายหัวโล้นผู้นำกลุ่มผงกหัวรับคำ

เสี่ยวจวงถอยไปอย่างระแวดระวัง แล้วเอาชามใหญ่ใส่ข้าวสารมาตั้งไว้ที่พื้นห้องเพื่อให้พวกแก๊งหิวโหยมายกไป และบอกด้วยเสียงดังลั่น “ไปได้แล้ว!”

กลุ่มคนเกือบทั้งหมดมองนิ่งไปที่ชามข้าวสารที่พื้นห้องเป็นตาเดียวกันด้วยความหิวโหย แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามายกไป

ชายหัวโล้นผู้นำกลุ่มนิ่งไปไม่กี่นาที เขาตัดสินใจดึงถุงผ้าที่เอว เดินเข้ามายกชามข้าวสารเทใส่ถุงรวดเดียวจนหมด

“ไปได้แล้ว!” เสี่ยวจวงไล่กลุ่มผู้หิวโหยอย่างหมดความอดทน

ชายหัวโล้นผู้นำกลุ่มมัดถุงข้าวเข้ากับเอวและไม่ได้จากไปในทันที เหงื่อซึมเต็มหน้าผากกับความคิดบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในหัว เขาหันกลับไปมองพวกอีกสองคนที่ยืนรวมกับกลุ่มชาวบ้านที่ยืนรุมกันอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน

“ฉันปล่อยให้แกไป ไม่เข้าใจอะไรหรือไง หา?” เสี่ยวจวงขมวดคิ้วใส่

แต่หลังจากช่วงเวลาแห่งความเงียบครู่หนึ่งผ่านไป มีเสียงชาวบ้านในกลุ่มคนหนึ่งตะโกนออกมา “แม่งเอ๊ย! มันให้ข้าวเราตั้งชามใหญ่ อย่างน้อยมันต้องมีเป็นกระสอบแน่ๆ” แล้วชาวบ้านคนอื่นๆ ก็เริ่มผสมโรงเรียกร้องเพิ่มขึ้น

“เอามาอีก! มีคนอดอยากอีกเป็นฝูง แค่นี้จะไปพออะไร!”

“เอาข้าวมา!”

“ไม่งั้น พวกข้าก็ไม่ไป! ถ้าแกไม่แบกข้าวออกมา!”

“...!”

เสียงตะโกนก่นด่าสาปแช่งจากกลุ่มผู้หิวโหยขยายตัวเพิ่มจนเซ็งแซ่ไปทั่วทั้งตึกอีกครั้ง และบางคนในกลุ่มชักมีดออกมา และคนอื่นอีกหลายคนก็ชักอาวุธต่างๆ ออกมาด้วย พร้อมกับจ้องไปที่เสี่ยวจวงด้วยสายตาหดหู่ ไร้ความสำนึกบุญคุณแม้แต่น้อย

ชายหัวโล้นผู้แข็งแกร่งผายมือไปทางกลุ่มผู้หิวโหยพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ “แกเห็นแล้วว่า ชาวบ้านพวกนี้หิวโหยและโกรธเกรี้ยวแค่ไหน และข้าก็หยุดพวกเขาไม่ได้ เพราะฉะนั้นแกเอาข้าวออกมาจะดีกว่า และเราจะเอาไปครึ่งหนึ่ง”

“ไอ้ระยำ แกนี่มันได้คืบจะเอาศอกจริงๆ” เสี่ยวจวงเลี่ยงไม่ได้ เขาต้องชักมีดออกมาเหมือนกัน

“แกจะทำอะไร ต้องการสู้ใช่ไหม?”

“กลัวแก? ข้าอดอยากจะตายอยู่แล้ว ยังจะกลัวมีด หรือกลัวปืนอีกเหรอ?” ชาวบ้านหลายคนตะโกนตอบมา

“...!”

ทั้งกลุ่มผู้หิวโหยไม่เกรงกลัวเสี่ยวจวงแม้แต่น้อย ทั้งหมดก้าวย่างเข้ามาในบ้านด้วยการนำของชายหัวโล้นผู้แข็งแกร่ง

เสี่ยวจวงตกตะลึงและงงงวยไปพร้อมกัน เขาต้องการจะเข้าจู่โจมก่อน แต่ไม่มีกึ๋นมากพอที่จะสยบพวกปล้นสะดมที่กำลังจะฉกฉวยเสบียงอาหารตรงหน้าเขา หากเขาไม่กล้าลงมือ มันก็ชัดเจนว่าเขาไม่สามารถปกป้องทรัพย์สินของตนเองได้

“ปัง! ปัง! ปัง!”

เสียงปืนดังลั่นไปทั่วบริเวณกว้าง ฉินหยู่โผล่มาพร้อมกับปืนลูกซองสามลำกล้อง ยาว 20 เซนติเมตร เขาเปลี่ยนกระสุนอย่างรวดเร็วราวกับคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี

เมื่อกลุ่มคนทั้งหมดเห็นปืน ก็หยุดอยู่กับที่โดยสัญชาตญาณ

ฉินหยู่ลากถุงข้าวสารใบใหญ่ออกจากตู้เก็บของ โยนมากองตรงหน้าระหว่างพวกเขาและชายหัวโล้น ผู้นำกลุ่มผู้หิวโหย และตะโกนก้อง “ข้าวสารทั้งหมดอยู่นี่แล้ว แกเอาไปกินได้ ถ้าแกต้องการ”

ทั้งกลุ่มผู้หิวโหยเงียบกริบ

“แกขู่ใครกันหา?!” ชายหัวโล้นผู้นำกลุ่มโกรธเกรี้ยวจนตาแดงก่ำและคำรามลั่น “ถ้าไม่กินก็ตาย! แกคิดว่าข้าจะกลัวตายจากปืนเสียๆ ของแกเรอะ!!?”

ฉินหยู่เอียงคอมองไปฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาจริงจัง และมือชี้ไปที่ถุงข้าวพร้อมพูดเสียงแข็ง “ข้าวสารอยู่นี่แล้ว

แกเอาไปได้ถ้ามือแกยาวพอ ว่าไงล่ะ?”

ผู้นำกลุ่มหัวโล้นที่ล่ำสันรู้สึกลังเลอยู่เสี้ยววินาทีและพูดดังลั่น “เรามีกันหลายคน ฉันไม่เชื่อว่ามันจะฆ่าเราทั้งหมดได้ด้วยปืนนั่นหรอก!”

พอพูดจบ ชายหัวโล้นผู้นำกลุ่มที่กล้าหาญก็ย่างก้าวเข้ามาคว้าถุงข้าวสาร ขณะที่เอื้อมจะจับถุงข้าว

ปัง!

เสียงปืนดังลั่นขึ้น

ผู้นำกลุ่มผู้กล้าหาญกระเด็นไปครึ่งเมตร เลือดสาดกระเซ็นเต็มพื้น มีเลือดทะลักออกมาจากรูกระสุนใหญ่กลางอกของเขา

ฉินหยู่เอาปืนในมือชี้กวาดไปที่กลุ่มผู้หิวโหยพร้อมประกาศลั่นโดยปราศจากอารมณ์ใดๆ “ถ้าพวกแกไม่มีอาหารกิน แกอาจหิวตายภายในไม่กี่วัน แต่ถ้าใครจะแตะถุงข้าวนี่ แกจะตายเดี๋ยวนี้!”

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น ต่างมองหน้ากันไปมาแต่ปราศจากคำพูด

“ฉันยังเหลือกระสุนอีกสองนัดในนี้ พวกแกอยากได้มั้ยล่ะ?” ฉินหยู่ถามขึ้นมาในฉับพลัน

กลุ่มผู้หิวโหยทุกคนถอยหลังไปทีละก้าวสองก้าว

ฉินหยู่เข้าไปแกะถุงข้าวที่เอวของชายหัวโล้นผู้นำกลุ่มที่นอนจมกองเลือดอยู่ และหันไปพูดเบาๆ “เสี่ยวจวง เก็บของ ไปกันเถอะ” เสี่ยวจวงรีบเดินเข้าห้องไปเก็บข้าวของที่จำเป็นทันที

ฉินหยู่เล็งปืนชี้กวาดไปทางกลุ่มผู้หิวโหยและสั่ง “ไปยืนเป็นสองแถวด้านข้าง เปิดทางให้พวกฉันไป”

กลุ่มคนไม่ขยับเขยื้อน

ฉินหยู่หันปืนไปเล็งใส่คนที่ใกล้ที่สุด และพูดน้ำเสียงแข็งแต่ราบเรียบ “จะปล่อยให้พวกฉันไปไหม?”

ชายเกือบโชคร้ายคนนั้นลังเลแค่เสี้ยววินาทีและรีบหลีกทางให้ คราวนี้ทุกคนต่างทำตามชายคนนี้

หลีกทางให้ฉินหยู่กับเสี่ยวจวงเดินลงบันไดไป

ห้านาทีต่อมา ฉินหยู่กับเพื่อนลงมาถึงชั้นล่างสุด เห็นแม่ของลูกชายที่ตกตึกลงมา ร้องไห้อย่างทุกข์ทรมานกอดลูกชายที่บาดเจ็บอยู่กับพื้น

ฉินหยู่เห็นและอึ้งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเอาถุงข้าวที่เคยเป็นของผู้นำกลุ่มที่ตายไป โยนให้แก่แม่ผู้โศกเศร้าคนนี้และบอกว่า

“พวกคนอื่นกำลังลงมา โปรดซ่อนถุงข้าวด้วยครับ”

หญิงผู้เป็นแม่ตกตะลึงไปชั่ววูบ แล้วรีบซ่อนถุงข้าวก่อนพูด “ขอบคุณ ขอบคุณ ฉันขอคำนับคุณอย่างจริงใจ เราจะไม่ตายแล้ว เรามีข้าวกินแล้ว…”

ฉินหยู่นำเสี่ยวจวงเดินจากไป และหายตัวไปในความมืดอย่างรวดเร็ว

……

ตีสามกว่าแล้ว ในทะเลทรายโกบี ฉินหยู่โยนถุงเสบียงให้เสี่ยวจวงและพูด “เอาของของนายไป เราแยกกันตรงนี้”

เสี่ยวจวงอึ้งไป และถามขึ้นมาอย่างงุนงง “เพื่ออะไร? แค่เรามีความเห็นไม่ตรงกันเมื่อกี้… ฉันไม่คิดว่าฉันมี…”

ฉินหยู่โบกมือขัดพร้อมตอบ “เสี่ยวจวง ถ้าคนเรานิสัยไม่เหมือนกัน อย่าอยู่ด้วยกันเลย มันจะเป็นผลร้ายกับทั้งนายและฉัน ฉันจะไปที่เขตพิเศษที่ 9 …ดูแลตัวเองด้วย”

ในที่สุด ฉินหยู่ก็หันหลังให้กับอดีต เพื่อวิ่งไปสู่ชีวิตใหม่ของเขา ในเขตพิเศษที่ 9

……

ที่แคมป์ของกองทัพที่ตั้งอยู่ด้านซ้ายของพื้นที่โครงการพัฒนา ชายผิวดำกับฟันขาวปิ๊ง ถามเพื่อนทหารด้วยภาษาจีนอย่างคล่องแคล่ว “ฉันได้ยินเสียงยิงกันในพื้นที่นะ นายต้องการเข้าไปดูไหม?”

“เข้าไปดูก็เห็นแต่ผีนะสิ ที่นี่มันแก่งแย่งอาหารกันจะตายทุกๆ วัน พวกนี้มันเหมือนกับตายทั้งเป็นนั่นแหละ

พวกนี้มันกล้าแม้กระทั่งดักปล้นรถของกองทัพด้วย แล้วพวกเรามาอยู่นี่นานแค่ไหน? มีอาวุธดีๆ จะป้องกันตัวหรือเปล่า มีแต่ปืนใหญ่เก่าๆ กับดินปืนคุณภาพแย่ๆ วางอยู่บนฐานไม้เก่าๆ เนี่ยนะ”

……………………………………………………

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด