ตอนที่แล้วCrisis ตอนที่ 24 : การมาถึงของดวงจันทร์สีเลือด 2 (1)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปCrisis ตอนที่ 26 : ต้นไม้ปีศาจมิราบิลิส

Crisis ตอนที่ 25 : เสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัว


Crisis : WorldDestruction ตอนที่ 25 : เสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัว

ดวงอาทิตย์ได้ปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้า เมื่อแสงของมันสาดส่องทะลุช่องกำแพงที่พังทลาย เผยให้เห็นซากศพของซอมบี้จำนวนนับไม่ถ้วนกระจายอยู่นอกกำแพงเมือง การมาถึงของดวงจันทร์สีเลือดครั้งทำให้พวกเขาสูญเสียกำลังคนไปจำนวนมาก หากในอนาคตมีซอมบี้ร่างวิวัฒนาการขั้นที่ 4 หรือเหนือกว่าปรากฏตัวขึ้นมาอีก พวกเราไม่แน่ใจแล้วว่ากำแพงเหล่านี้จะสามารถปกป้องผู้คนได้อีกต่อไป

แม้การมาถึงของดวงจันทร์สีเลือดจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่มีหลายสิ่งที่พวกเขาจะต้องรีบจัดการ กองทัพต้องเร่งซ่อมกำแพงเมือง และกำจัดซากศพที่กระจายอยู่รอบๆ เมืองโดยเร็วที่สุด เพราะซากศพเหล่านี้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค และยังมีกลิ่นเน่าเหม็นอันไม่น่าพึงประสงค์

กลุ่มควันไฟสีดำจากการเผาซากศพลอยปกคลุมไปทั่วเมืองเมืองเจียงหนาน บรรยากาศในเมืองไม่ได้ครึกครื้นไปด้วยผู้คนเหมือนแต่ก่อน ตลาดซื้อขายสิ่งที่เคยพลุกพล่านไปด้วยผู้คนกลับไร้ผู้คน เพราะชาวเมืองทั้งหมดตอนนี้ได้ออกไปที่นอกกำแพงเมือง เพื่อแย่งกันเก็บกวาดไอเทมต่างๆ ที่กระจายอยู่บนพื้น หลังจากเหตุการณ์ทุกเงียบสงบลงและดูปลอดภัย ทุกคนก็แห่กันออกไปที่นอกกำแพงเมืองอีกครั้ง

ฟ่านเสียน เดินเก็บไอเทมที่ต้องการเสร็จแล้ว เขาได้กระโดดข้ามกำแพงเมืองแล้วตรงกลับไปที่โรงแรงทันที ทำให้ไม่มีใครเห็นเขาเดินกลับมาทางหน้าประตู ทางกองทัพพยายามตรวจสอบหาว่าใครเป็นคนฆ่า บลัดซอมบี้ แต่ก็ไม่สามารถได้ข้อมูลเพิ่มเติม พวกเขาได้รับรายงานเพียงแค่มีชายคนหนึ่งใช้ดาบต่อสู้กับบลัดซอมบี้ที่นอกกำแพง จากนั้นเขาก็วิ่งหายไปพร้อมกับบลัดซอมบี้ และไม่ได้กลับเข้ามาในเมืองอีกเลย

กองทัพรู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถตามหาชายคนดังกล่าวได้ เพราะกำลังคนของพวกเขากำลังอ่อนแอ หากมีชายคนนั้นอยู่ด้วยพวกเขาจะสามารถวางใจได้มากขึ้น และไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรพวกเขาก็ยอมยกให้ทุกอย่าง แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องคว้าน้ำเหลว แม้ว่า ฟ่านเสียน จะไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจที่จะอยู่ที่นี่อยู่แล้ว เพราะเขาต้องออกไปตามหาพ่อและแม่ และเขาเป็นคนที่ไม่ชอบผูกมัดกับอะไรแบบนี้

หลังจากกลับมาถึงห้องพักในโรงแรม ทั้งสามสาวก็ตรงเข้ามาห้อมล้อมถามถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ฟ่านเสียน ได้พูดคุยกับทั้งสามเป็นเวลานาน ก่อนจะบอกให้เซียวเหยา และหยางเพ่ย แยกย้ายกลับห้องของพวกเธอไป โดยอ้างเหตุผลว่าเขาต้องการจะพักผ่อน แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาต้องการจะอยู่กับขงเชี่ยเอ๋อแค่สองคนเท่านั้น

มีเสียงครวญครางดังออกมาจากห้องของ ฟ่านเสียน ทั้งสองสาวยังไม่ได้กลับไปที่ห้องของตัวเอง พวกเธอแอบฟังอยู่ที่หน้าประตูพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอผ่านไปสักพักเสียงภายในห้องได้เงียบลง พวกเธอทั้งสองก็วิ่งกลับไปที่ห้องด้วยอารมณ์ที่รุ่มร้อนอยู่ภายใน ทั้งสองเป็นเด็กที่เติบโตมาในบ้านเด็กกำพร้า ถึงแม้จะไม่รู้เกี่ยวกับโลกภายนอกมากนัก แต่พวกเธอก็พอรู้เรื่องเหล่านี้อยู่บ้างตอนสมัยที่อยู่บ้านเด็กกำพร้า

เหตุการณ์เมื่อตอนวันสิ้นโลก เด็กสาวทั้งสองต้องพลัดพราก และสูญเสียเด็กคนอื่นๆ ที่เติบโตมาด้วยกันที่บ้านเด็กกำพร้า พวกเธอพยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด และพอได้ยินข่าวเกี่ยวกับศูนย์ผู้ลี้ภัยในเมืองเจียงหนาน เธอก็อพยพตามคนอื่นๆ และมุ่งหน้ามาที่ศูนย์ลี้ภัย พวกเธอทั้งสองเตร็ดเตร่อยู่ในเมืองได้พักหนึ่ง ก็ถูกชักชวนให้ไปสมัครเป็นนักรบรับจ้าง และได้เข้าร่วมปาร์ตี้กับชายหนุ่มสองคนก่อนหน้านี้ จากนั้นพวกเธอก็ได้รับความช่วยเหลือจากฟ่านเสียน และร่วมเดินทางไปกับพวกเขานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

กลิ่นเหม็นไหม้จากควันไฟและเนื้อของมนุษย์ที่ถูกเผา ได้ส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลไปทั่วทั้งเมืองตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน เวลาผ่านไปสองวันทุกอย่างถึงจะเริ่มกลับมาเป็นปกติ ผู้คนเริ่มออกมาจับจ่ายใช้สอย และออกไปทำภารกิจเหมือนอย่างทุกครั้งที่ผ่านมา แต่จำนวนของประชากรภายในเมืองลดลงมากกว่าครึ่ง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติเหมือนกันทุกเมืองบนโลก การมาถึงของดวงจันทร์สีเลือดครั้งนี้ได้คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปหลายแสนคน

" ก๊อก!  ก๊อกก!  ก๊อก! "

" เราไม่ได้นัดใครไว้ใช่มั้ย? . . . เข้ามาได้! ประตูไม่ได้ล็อค " ฟ่านเสียน ตะโกนเสียงดังพอจะให้คนที่หน้าประตูได้ยิน

" พี่ฟ่าน! ตื่นนานหรือยังคะ " หยางเพ่ย พอเปิดประตูก็โผล่หน้าออกมาทักทายชายหนุ่มก่อนทันที โดยมีเซียวเหยา เดินตามมาด้านหลัง

" หยางเพ่ย! เองเหรอ พวกเธอหิวข้าวกันแล้วเหรอ? " ฟ่านเสียน ประหลาดใจเล็กน้อย ที่วันนี้พวกเธอมากันแปลกๆ เพราะสายตาที่ทั้งสองจ้องมองมันแตกต่างไปจากทุกวัน

" พวกพี่ก็หิวแล้วใช่มั้ยคะ สงสัยเมื่อวานใช้พลังไปเยอะ " เซียวเหยา พูดขึ้นมาพร้อมกับอมยิ้ม และมองไปที่ขงเชี่ยเอ๋อ

ขงเชี่ยเอ๋อ ถึงกับสะดุ้งทันที เมื่อได้ยินคำพูดของเซียวเหยา ใบหน้าของเธอแดงขึ้นมาทันที หรือว่าเด็กพวกนี้รู้ว่าเธอทำอะไรกันในห้องตอนที่อยู่กันสองต่อสอง เพราะสายตาที่ทั้งสองจ้องมาที่เธอมันบ่งบอกว่าทั้งสองต้องรู้อะไรแน่ๆ

" อือ! เชี่ยเอ๋อ แต่งตัวเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย ถ้างั้นพวกเราลงไปกินข้าวกันเลย " ฟ่านเสียน ไม่ได้คิดอะไรกับคำพูดเหล่านั้น เขาหันไปถามหญิงสาว ก่อนจะสำรวจความเรียบร้อยอีกรอบ และไปยืนรออยู่ที่หน้าประตู

" พี่เชี่ยเอ๋อ! คงเหนื่อยแย่เลยนะคะช่วงนี้ " หยางเพ่ย เดินเข้ามากอดแขน ขงเชี่ยเอ๋อ แล้วพูดกับเธอพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

" พวกเธอสองคนพูดถึงอะไรกันไม่เห็นรู้เรื่อง ไป๊! ไปกันได้แล้ว! " ขงเชี่ยเอ๋อ พยายามพูดกลบเกลื่อน แล้วจูงมือเซียวเหยาให้เดินตามมา พร้อมกับ หยางเพ่ย ที่เกาะแขนอยู่ด้านข้างๆ ไม่ยอมปล่อย

ฟ่านเสียน พาทั้งสามสาวไปกินข้าวเสร็จก็พาพวกเธอไปที่ฝ่ายบริการในสำนักงานฝ่ายทะเบียน เขาได้สอบถามข้อมูลที่อยู่ของพ่อแม่เอาไว้เมื่อมาที่นี่ครั้งแรก หลังจากเวลาไปผ่านไปนานร่วมเดือน เขาจึงกลับมาที่นี่เพื่อสอบถามความคืบหน้าอีกครั้ง และดูเหมือนจะเป็นข่าวดี ฟ่านเสียน รอเวลาอยู่นานในที่สุดพวกเขาก็ให้คำตอบกับ ฟ่านเสียน ได้

พ่อแม่ของ ฟ่านเสียน เป็นวิศวกรทั้งคู่พวกเขาถูกส่งตัวไปที่ศูนย์หลบภัย [Vault - 03] ทางตอนเหนือของเมืองฉางอัน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ห่างไกลจากที่นี่มาก ฟ่านเสียน ต้องขับรถย้อนกลับไปที่เมืองฉางไห่เพื่อเปลี่ยนไปใช้อีกเส้นทาง ถึงจะสามารถเดินทางต่อไปถึงเมืองฉางอันได้ เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนพวกเขากลับไปที่ห้องพักในโรงแรม เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น

. . . . . . . . . . . . . .

รถฮัมวี่สีเขียวคันหนึ่งกำลังขับอยู่บนสะพานข้ามทะเลสาป บรรยากาศเก่าๆ หวนกลับมาอีกครั้ง ฟ่านเสียน นึกถึงตอนที่นั่งรถผ่านสะพานแห่งนี้ และก่อนหน้านั้นเขาได้ช่วยชีวิต ขงเชี่ยเอ๋อ หลังจากได้ผ่านเรื่องต่างๆ มามากมาย พวกเขาก็สามารถฝ่าฟันและเอาชีวิตรอดมาได้ เขาหันไปมอง ขงเชี่ยเอ๋อ ดูเหมือนเธอกำลังอารมณ์ดี อาจเป็นเพราะเหมือนรู้สึกว่าจะได้กลับบ้าน ทำให้ใบหน้าของเธอดูสดชื่นและมีความสุข

ฟ่านเสียน ขับรถมาจอดที่ปลายสะพานของเมืองฉางไห่ และบอกกับทั้งสามสาวให้ลงจากรถเพื่อเดินเท้า เนื่องจากเมืองเจียงหนานกำลังประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมัน ทำให้พวกเขาไม่มีน้ำมันมากพอจะขับไปให้ถึงเมืองฉางอัน และอีกหนึ่งเหตุผลก็คือ ฟ่านเสียน ไม่ชินกับเส้นทางภายในเมือง หากต้องขับรถอ้อมไปอ้อมมาคงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก

เมืองฉางไห่ในเวลานี้เปลี่ยนไปอย่างมาก เมืองทั้งเมืองกลายเป็นป่าไปแล้ว มีต้นไม้ขนาดใหญ่สีเขียวเติบโตขึ้นอยู่เต็มไปหมด เส้นทางที่เคยเป็นถนนลาดยางกลับถูกแทนที่ด้วยต้นหญ้าสีเขียวขจี ถนนบางสายกลายเป็นลำธารมีแม่น้ำไหลผ่าน หากจ้องมองดีๆ จะพบว่ามีปลาตัวเล็กๆ กำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำ

ต้นไม้ขนาดใหญ่เติบโตตลอดสองข้างทาง ใบสีเขียวที่หนาแน่นของต้นไม้ทำให้มีแสงอาทิตย์เล็ดลอดส่องลงมาถึงพื้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กลุ่มของ ฟ่านเสียน ยังคงมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ยังพอเหลือเค้าโครงของถนนจากโลกเดิม พวกเขาพยายามเดินเป็นเส้นทางเพื่อไปให้ถึงสะพานฝั่งทิศเหนือโดยเร็วที่สุด

การเดินทางในเมืองที่เต็มไปด้วยต้นไม้แบบนี้ทำให้รู้สึกสับสน พวกเขาไม่น่าใจว่าเดินมาไกลแค่ไหนแล้ว และไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวเหมือนๆ กันหมด ฟ่านเสียน ต้องใช้สกิล [Windwalk] กระโดดขึ้นไปบนอากาศเพื่อมองหาเส้นทางอยู่หลายครั้ง ในครั้งแรกที่เขาใช้สกิล [Windwalk] ต่อหน้าหญิงสาวทั้งสาม พวกเธอดูตื่นเต้นและตบมือให้กับ ฟ่านเสียน ราวกับว่าเขากำลังแสดงโชว์กายกรรมให้พวกเธอดู

ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า ฟ่านเสียน อุ้มหญิงสาวทีละคนแล้วพากระโดดขึ้นไปบนอากาศ พวกเขาใช้ดาดฟ้าของตึก 6 ชั้นแห่งหนึ่งเป็นที่ค้างแรมสำหรับคืนแรกในเมืองฉางไห่ ด้วยความสูงจากพื้นดินจะทำให้ปลอดภัยจากสัตว์ร้ายในเวลากลางคืน พวกเขากางเต็นท์สนามเพียงอันเดียวและนอนรวมกัน เนื่องจากอาคารแถวนี้ค่อนข้างทรุดโทรมอยู่แล้ว ฟ่านเสียน จึงไม่กล้าเอาบ้านตู้คอนเทนเนอร์ออกมา เขากลัวอาคารจะถล่มเพราะรับน้ำหนักไม่ไหว

พอช่วงเวลากลางคืนมาถึงทั้งเมืองก็ตกอยู่ในความมืดมิด มีเพียงแสงดาวอยู่บนท้องฟ้าที่ให้แสงสว่างในยามค่ำคืน แต่ในท่ามกลางความมืดมิดนั้น มีแสงสว่างจากกองไฟเล็กๆ ที่กำลังให้ความร้อนกับหม้อซุปเนื้อกระต่ายที่กำลังสุกได้ที กลิ่นหอมของมันช่วยยั่วน้ำลายของหญิงสาวทั้งสาม พวกเธอกำลังนั่งรอให้ชายหนุ่มตักอาหารมาเสิร์ฟใส่จานอย่างใจจดใจจ่อ

" อาหารพร้อมแล้ว! ส่งจานมาได้เลย " ฟ่านเสียน ใช้มือหนึ่งจับทัพพีค้นซุปในหม้อ พร้อมกับยื่นมืออีกข้างไปรับจานของหยางเพ่ย และตักอาหารให้เธอเป็นคนแรก

" อืมมม! งืมมม! ง่ำ! ง่ำ! " หยางเพ่ย พอได้ซุปเนื้อกระต่าย เธอก็ตักกินด้วยความเอร็ดอร่อย

" เป็นไงอร่อยมั้ย! หยางเพ่ย " ฟ่านเสียน เห็น หยางเพ่ย กินไม่หยุด เขาเลยถามเธอให้แน่ใจว่า อาหารที่เขาทำอร่อยถูกใจเธอหรือเปล่า

" อร่อยมั่กๆ เลยคะ " หยางเพ่ย  ผงกศีรษะเร็วๆ 3 - 4  พร้อมกับพูดทั้งๆ ยังมีอาหารอยู่ในปาก แล้วก็กินอย่างตั้งอกตั้งใจไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

" อ๊ะ! แน่นอน ระดับเชฟมิชลินมาเองมีเหรอจะไม่อร่อย " ฟ่านเสียน พูดพร้อมกับยิ้มอย่างภูมิใจที่ได้รับคำชมจากเด็กสาว

" ฮา! ฮา! ฮ่ะ! ฮ่า! " ขงเชี่ยเอ๋อ และเซียวเหยา หัวเราะอย่างมีความสุขกับคำพูดของชายหนุ่ม

" หยางเพ่ย กินเยอะๆ เลยไม่ต้องเกรงใจ ยังมีเหลืออีกตั้งครึ่งหม้อ " ฟ่านเสียน พูดพร้อมกับทยอยตักอาหารใส่จานให้กับคนอื่นๆ

ในระหว่างพวกเขากำลังกินซุปเนื้อกระต่ายอย่างมีความสุขอยู่นั้น ได้มีเสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังแว่วมาแต่ไกล

" กรี๊รรรรรรรรรซ์! "

" โฮกกกกกกกก! "

ฟ่านเสียน พยายามมองผ่านทะลุความมืดเข้าไปเพื่อมองหาที่มาของเสียงนั้น แต่แล้วก็มีเสียงต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้น มันดังอยู่อย่างนั้นสักพักหนึ่งก็หายไป จากนั้นทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงัด มีเพียงเสียงแตกของถ่านไม้เบาๆ จากกองไฟที่ให้สว่างกับพวกเขาในความมืดมิด

หลังเก็บข้าวของและทำความสะอาดเสร็จแล้ว ฟ่านเสียน ก็เข้าไปนอนในเต็นท์พร้อมกับสามสาว อาคารแห่งนี้จะตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวและไม่มีบันไดปีนขึ้นมา มันปลอดภัยโดยที่เขาไม่ต้องกังวลว่า จะมีสัตว์ร้ายย่องเข้ามาจู่โจมตอนที่เขาหลับ พอตกดึกอากาศก็เริ่มเย็น อุณหภูมิโดยรอบลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว

เช้าวันแรกในเมืองฉางไห่ บรรยากาศรอบๆ ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา ฟ่านเสียน รู้สึกว่าร่างกายหนักๆ ทำให้ต้องลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่เขามองเห็น คือร่างของขงเชี่ยเอ๋อนอนทาบอยู่บนตัวของเขา และสองแขนของเขามีเซียวเหยา และหยางเพ่ย นอนกอดหนุนแขนเขาอยู่ข้างๆ และสองขาของพวกเธอรัดขาของเขาเอาไว้คนละข้าง ราวกับว่าขาของเขาเป็นหมอนข้างสำหรับพวกเธอ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรก อาจเป็นเพราะเมื่อคืนอุณหภูมิลดต่ำจนเกือบติดลบ ทำให้ทั้งสามสาวต้องเข้ามานอนเบียดเขาเพื่อรับไออุ่น

ในระหว่างที่ ฟ่านเสียน กำลังใช้ความคิดว่าจะทำยังไงต่อไป ทันใดนั้น ดวงตาของ ขงเชี่ยเอ๋อ ก็เบิกโพลงจ้องมองมาที่เขา เนื่องจากสัมผัสความนุ่มของเนื้อตัวหญิงสาวทำให้มังกรของเขาลุกชันขึ้นมาทักทายในยามเช้าทันที ทั้งสองจ้องตากันอยู่พักหนึ่ง ฟ่านเสียน เริ่มรู้สึกอึดอัดเลยต้องเป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นมาก่อน

" เอ่ออ . .  ตื่นแล้วเหรอ! เมื่อคืนหลับสบายดีมั้ย " ฟ่านเสียน พูดพร้อมกับส่งยิ้มให้หญิงสาว

" คนลามก! " ขงเชี่ยเอ๋อ เม้มปากพร้อมกับตีเขาเบาๆ ที่หน้าอก ก่อนจะลุกขึ้นและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย

" ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย! มันก็เป็นของมันแบบนี้ทุกเช้าอยู่แล้วนะ " ฟ่านเสียน พยายามพูดแก้ตัว เพราะมันไม่ใช่ความผิดของเขา

เสียงของ ฟ่านเสียน ได้ปลุกทั้งสองสาวให้ตื่นขึ้น ใบหน้าของพวกเธอยังงัวเงี่ย หญิงสาวพยายามลืมตามองดูให้แน่ใจว่าตอนนี้มันเช้าแล้วเหรอ ทั้งสองลุกขึ้นนั่งและขยี้ตาด้วยท่าทางเซื่องซึม ก่อนจะทักทาย ฟ่านเสียน ราวกับว่าเป็นเรื่องปกติ

ฟ่านเสียน ลุกออกมาจากเต็นท์เพื่อก่อไฟ และเตรียมอาหารเช้าให้กับหญิงสาวทั้งสาม ตอนนี้เป็นเวลา 10 โมงเช้า แต่หมอกยังคงหนาทึบ เมื่ออาหารทำเสร็จแล้วทุกคนก็นั่งล้อมวงกันเพื่อทานอาหาร ขงเชี่ยเอ๋อ ยังมองเขาด้วยแววตาขึงขัง เธอกำลังหึงหวง ฟ่านเสียน เพราะอารมณ์ของเขาคึกคักมากกว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อมีหญิงสาวคนอื่นนอนกอดอยู่ข้างๆ

" โฮกกกกกกกก! "

ทันใดนั้น มีเสียงคำรามดังขึ้น แต่เสียงคำรามของมันแตกต่างไปเมื่อคืน หรือว่ามันจะเป็นคนละตัวกับตัวเมื่อคืน ฟ่านเสียน สัมผัสได้ว่ากำลังจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นอีกครั้ง เพียงแค่คืนแรกที่เหยียบเท้าเข้าเมืองฉางไห่ พวกเขาก็ได้รับการทักทายครั้งแล้วครั้งเล่า จากเจ้าของเสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด