Ep.909 - เฮ่อเหลียนหมิงเจี่ย
�
Ep.909 - เฮ่อเหลียนหมิงเจี่ย
ภายในมิติธารโลหิต เรือเหาะมหึมานับไม่ถ้วนแล่นเข้ามา ปล่อยกองทัพหุ่นยนต์ลง
หมาจักรกลทำงานได้รวดเร็วมาก บวกกับฝีมือของชูฟ่าน แม้ขบวนทัพหุ่นยนต์นี้จะใช้วัสดุเป็นจำนวนมาก ประจวบกับเร่งการผลิตไปบ้าง จนทำให้ร่างกายของพวกมันเปราะบาง แต่ในแง่การใช้งาน ยังถือว่าดีเยี่ยม
ด้วยเหตุนี้ภายในอาณาเขตกลุ่มเฟิงหลี จึงถูกเติมเต็มไปด้วยกำลังพลอย่างรวดเร็ว มีหุ่นยนต์คอยทำงานทั้งสิ้น 3,000 ตัว
เนื่องจากหุ่นยนต์เหล่านั้นมีต้นฉบับมาจากหุ่นยนต์เกราะทมิฬ พวกมันจึงดูเหมือนมนุษย์มาก คนของสาธารณรัฐแอฟริกาเหนือยังไม่ทราบถึงเรื่องนี้ พอเห็นก็รู้สึกตกใจ ว่าเหตุใดจู่ๆฉินเฟิงถึงมีลูกน้องเยอะขนาดนี้
ยังไม่พอ วิธีการปฏิบัติงานของหุ่นยนต์ สะกิดข้อสงสัยของพวกเขาเช่นกัน
“คนของกลุ่มเฟิงหลีไม่กลัวตายรึไง?”
ผู้ใช้พลังเห็นหุ่นยนต์ลงไปแหวกว่ายในธารโลหิต ออกควานหา เก็บกู้ซากศพ
“ใช้งานกันแบบนี้ มันจะโหดร้ายเกินไปแล้ว แต่ก็น่าแปลก ทำไมฉันถึงไม่สามารถสัมผัสกลิ่นอายของคนพวกนั้นได้เลย”
เรื่องนี้มิใช่ว่าพวกเขาไร้ความสามารถจนไม่อาจล่วงรู้ แต่เนื่องจากระยะห่างของอาณาเขตมันกว้างไกลเกินไป พวกเขาเลยไม่ทันตระหนักว่านี่คือกองทัพหุ่นยนต์ ซึ่งเอาจริงๆไม่ต้องกล่าวถึงหน้าที่เก็บกู้ ต่อให้พวกมันถูกสัตว์ร้ายอย่างหนอนโลหิตกัดเข้า หุ่นยนต์พวกนี้ก็ไม่ถอย ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือพวกมันสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ และแก้ปัญหาเองได้
ฉินเฟิงย้ายวังเฉินมาเป็นผู้รับผิดชอบในมิติธารโลหิต ส่วนเขากับไป๋หลี เดินทางกลับสู่มิติเดิม
จากนั้น ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังตอนกลางของภูมิภาคตะวันออก
“จอมพลฉิน ไม่นึกเลยว่าคุณจะมาที่นี่จริงๆ!” ตงหยางก้าวเข้ามาต้อนรับ ทักทายเขาอย่างอบอุ่น
ฉินเฟิงกลับมาอีกครั้ง เพราะคำเชิญของตงหยาง ที่ต้องการให้เขาสังหารร้อยกรงเล็บ
แน่นอน ว่าตงหยางแค่ลองหยั่งเชิงดูเท่านั้น เพราะปีที่แล้วที่ฉินเฟิงมา เขามาในฐานะนายพลเลเวล B สามารถเรียกตัวเป็นกำลังเสริมได้
แต่ปัจจุบัน ผ่านมาแค่หนึ่งปี ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงจ้าวพรมแดนเลเวล A ต่อให้เป็นภารกิจที่สั่งตรงจากผู้ใช้พลังเลเวล S ฉินเฟิงก็มีสิทธิปฏิเสธ
“เดิมผมก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ ดังนั้นจะไม่มาได้อย่างไร”
คำพูดของฉินเฟิงจริงใจไม่หลอกลวง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่ได้รับทรายธารเวลากลับมาคือเขมือบฟ้า แต่ระหว่างเก็บกู้ สัตว์ร้ายร้อยกรงเล็บกับพรายทารกครวญดูดซับพลังงานจากมันพอสมควร ตัวแรกเป็นที่แน่นอนแล้ว แต่ไม่รู้ว่าตัวที่สองตัวพัฒนาไปไกลขนาดไหน
และประเด็นก็คือ มีคนพบเจอร้อยกรงเล็บในพื้นที่ทะเลนรก อีกฝ่ายสามารถวิวัฒนาการขึ้นเป็นระดับเทวะอย่างที่ฉินเฟิงคาดเดาไว้ มันอาละวาดโจมตี ทำลายเรือดำน้ำมากถึง 11 ลำ สังหารผู้ใช้พลังเป็นจำนวนมาก สร้างความเสียหายใหญ่หลวงแก่ทะเลตะวันออก ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไป คงไม่มีใครกล้าออกปราบปรามสัตว์ทะเล อย่าลืมสิว่ากำลังจะเกิดการรุกรานจากกระแสกองทัพสัตว์ทะเลในไม่ช้า
เมื่อเทียบกับเขมือบฟ้า ในแง่พลังโจมตีและพลังทำลายล้าง ร้อยกรงเล็บ แข็งแกร่งยิ่งกว่า
“ขอบคุณมากจริงๆ ถ้ามีอะไรที่คุณต้องการ ขอแค่เอ่ยมันออกมา! พวกเรายินดีรับใช้”
“ตกลง งั้นหลังเสร็จสิ้นการล่าร้อยกรงเล็บ ผมต้องการจะเป็นเจ้าของมัน และรวดขอใช้เป็นภารกิจของตัวเอง”
หากฉินเฟิงเลือกส่งภารกิจให้ภูมิภาคตะวันออก จริงอยู่ว่านี่จะช่วยให้แต้มสงครามของตงหยางจะเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่ฉินเฟิงต้องการคือการส่งภารกิจประจำปีของเขา หากทำแบบนั้นเท่ากับว่าตงหยางไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆเลย
“นั่นไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาเลย คุณทำได้ตามสบาย”
“อ้อ ส่วนฉันอยากจะเข้ารับการทดสอบยกระดับตราผู้ใช้พลังด้วย เดี๋ยวจะส่งศพราชันย์สัตว์ร้ายมาให้อีกทีนึงนะ” ไป๋หลีกล่าว
แม้ไป๋หลีจะมาถึงเลเวล A ตั้งนานแล้ว อย่างไรก็ตาม เธอยังไม่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง
แน่นอน ภารกิจรับตราผู้ใช้พลังเลเวล A ไม่ใช่การออกล่าราชันย์สัตว์ร้ายเลเวล A เมื่อความแข็งแกร่งของสัตว์ร้ายเพิ่มสูงขึ้น หากมนุษย์คิดต่อกรต้องรวมกลุ่มกันเท่านั้น คนยิ่งมากยิ่งมีโอกาสชนะ ดังนั้นผู้ใช้พลังที่มีตราอยู่ในเลเวล B9 เลยต้องใช้ทีม 5 คนเพื่อออกล่าสัตว์ร้ายเลเวล A 100 ตัว
ซึ่งไป๋หลีไม่จำเป็นต้องออกล่าสัตว์ร้ายที่ทรงพลังในระดับราชันย์ก็ได้ แต่หากเธอล่าสำเร็จ มันจะถือเป็นความสำเร็จของตงหยางเช่นกัน อีกฝ่ายจะยิ่งได้รับแต้มสงคราม
“ถ้าคุณต้องการแบบนั้น งั้นฉันจะพาคนอื่นไปช่วยด้วย!” ตงหยางเห็นไป๋หลีเอ่ยขอ ก็รีบแสดงความขอบคุณ
“ตกลง แต่ถึงเวลา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับร้อยกรงเล็บ พวกเขาไม่จำเป็นต้องเข้ามาก้าวก่าย” ฉินเฟิงกล่าว
ร้อยกรงเล็บไม่เหมือนกับเขมือบฟ้า เขมือบฟ้ามักเคลื่อนไหวในทะเลลึก แต่ร้อยกรงเล็บอาศัยไม่เป็นหลักแหล่ง ออกอาละวาดไปทั่ว
“รับทราบ งั้นเชิญข้างในเถอะ”
ตงหยางพาฉินเฟิงมาหาผู้ใช้พลังเลเวล A ทั้งสองเป็นตัวตนทรงพลังที่ประจำการอยู่ที่นี่ นอกจากนี้ยังมีผู้ใช้พลังระดับสูงในเลเวล B8 และB9
แน่นอน เรือดำน้ำที่พวกเขาใช้งานในครั้งนี้คือเขมือบฟ้า
ในกลุ่มเลเวล A มีคนที่ฉินเฟิงรู้จักอยู่ด้วยเช่นกัน หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้อง สมควรกล่าวว่ากลับมาทำความรู้จักกันใหม่อีกครั้งจะถูกกว่า
คนแรกถูกเรียกว่าหลินเฉียว ถือเป็นทหารผ่านศึกในกลุ่มเลเวล A เขาอายุประมาณ 50 ปีแล้ว หากเทียบกับในบรรดาเลเวล A ไม่นับว่าแข็งแกร่งอะไร แต่ผลงานภารกิจและการสู้รบ มักบรรลุมันได้อย่างราบรื่น นั่นเพราะเจ้าตัวไม่เคยทำอะไรที่ไม่มั่นใจ และต่อให้มั่นใจ เขาก็จะไม่ประมาทจนพลาดพลั้งเอาง่ายๆ
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าเขาเลยมีผู้ใต้บังคับบัญชาเยอะ แม้ในเรื่องเงินเดือนจะน้อยกว่าเลเวล A คนอื่นๆ แต่หลายคนก็ยังยอมติดตามเขา
เพราะหากมีหลินเฉียวคอยนำทีมออกล่า มักจะไม่มีคนเสียชีวิต ส่งผลให้เขาได้รับสมญา ถูกเรียกกันว่าราชาอมตะ
เบื้องหลังหลินเฉียว เป็นเลเวล B 7 คน แต่ไม่ใช่ลูกน้องของเขาทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าศึกนี้ หลินเฉียวไม่คิดทุ่มเต็มกำลัง ไม่ได้มองในแง่ดี แต่เจ้าตัวก็ยังคงเงียบ ไม่ได้เอ่ยโต้แย้งใดๆ เห็นแก่หน้าตงหยาง เจ้าตัวเดินเข้าสู่เขมือบฟ้าอย่างเงียบๆ
ผู้ใช้พลังอีกคนชื่อว่าเฮ่อเหลียนหมิงเจี่ย เป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณ เขาอายุประมาณ 35 ปี เพิ่งมาถึงเลเวล A ในปีนี้ เป็นอัจฉริยะในรุ่น
แต่เพราะแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เลยทำให้เขาก้าวร้าว ในแววตาเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง
“นายน่ะหรอฉินเฟิง?” เฮ่อเหลียนหมิงเจี่ยมองฉินเฟิง จากนั้นก้มมองตราจอมพลเลเวล A บนอกอีกฝ่าย ร่องรอยของความอิจฉาสะท้อนออกมา ฉินเฟิงเพิ่งอายุ 19 ปี แต่ก็มาถึงเลเวล A แล้ว ข้อมูลนี้เขาไม่เคยได้รับมาก่อนเลย
แต่ไม่แปลกอะไร เพราะเป็นเมืองหลวงมังกรที่ปิดกั้นข่าวสาร ทำให้มีคนนอกมากมายไม่ทราบว่าฉินเฟิงได้รับตำแหน่งจอมพลได้อย่างไร เกรงว่าข่าวนี้จะหมุนเวียน แพร่กระจายกันในเฉพาะกลุ่มเลเวล S เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ เฮ่อเหลียนหมิงเจี่ยเลยคิดหาสาเหตุไม่ตก ได้แต่เชื่อว่าฉินเฟิงคงเป็นที่โปรดปรานของหลงถิง เขาเริ่มสำรวจมองร่างกำยำของฉินเฟิง คิ้วเหมือนคมดาบ ดวงตาที่เปล่งประกายเหมือนดารา ใบหน้าอันหล่อเหล่า ให้อารมณ์สงบนิ่งและเยือกเย็น แต่ในสายตาของเฮ่อเหลียนหมิงเจี่ย เจ้าหมอนี่มองยังไงก็เหมือนไอ้เด็กหน้าขาวทั่วๆไป
“เวลาจะถามชื่อใคร ก็ควรรู้จักแนะนำตัวเองก่อน!” ฉินเฟิงกล่าว
เฮ่อเหลียนหมิงเจี่ยกำลังจะเอ่ยปาก แต่ฉินเฟิงโบกมือวูบ กล่าวตัดหน้า “ช่างมันเถอะ ไม่อยากเสียเวลาฟัง!”
ว่าจบก็ตรงดิ่งไปยังห้องควบคุม ทิ้งเฮ่อเหลียนหมิงเจี่ยยืนโง่งมทั้งๆอย่างนั้น
--สำหรับพวกขี้อิจฉาน่ารังเกียจน่ะ เขาไม่คิดเสวนา!
อย่างไรก็ตาม เฮ่อเหลียนหมิงเจี่ยถูกยั่วโมโหจนโกรธขึ้นมา
“ฉินเฟิง แกพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
“นายพลเฮ่อเหลียน อย่างน้อยช่วยเคารพกันด้วย!” ใบหน้าของตงหยางบึ้งตึงทันที แม้เฮ่อเหลียนหมิงเจี่ยเพิ่งยกระดับเป็นเลเวล A แม้เขาจะถือกำเนิดในตระกูลวรยุทธโบราณ แต่ตระกูลที่ว่าไม่ใช่ตระกูลเลเวล S ประมุขเป็นแค่เลเวล A แถมประเด็นก็คือ อีกฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตงหยาง ดังนั้นลูกหลานทำตัวไม่ดีต้องสั่งสอน
เฮ่อเหลียนหมิงเจี่ยไม่คิดเลยว่าสีหน้าของตงหยางจะแปรเปลี่ยนอย่างกะทันหัน จู่ๆก็ปกป้องฉินเฟิงเช่นนี้ มันเพราะอะไรกัน? เพราะฉินเฟิงบอกว่ามาที่นี่เพื่อสังหารร้อยกรงเล็บงั้นหรือ?
อยากขำจนดิ้นตาย! คนเพียงคนเดียวคิดล่าสังหารร้อยกรงเล็บ นี่ไม่ต่างอะไรจากความฝันของคนโง่
“ผมก็แค่ทักทายจอมพลฉิน เพราะหลังจากนี้ทุกคนต้องร่วมมือกัน แต่ไม่นึกเลยว่าจอมพลฉินจะทำตัวไร้เหตุผล บางทีอาจเป็นเพราะเขาแข็งแกร่งเร็วเกินไป เลยไม่เห็นผมที่เพิ่งยกระดับเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล A อยู่ในสายตา ฉะนั้นผมจะไม่ช่วยเขา ไม่ยอมทำอะไรให้โดนดูถูกอีก!”
เฮ่อเหลียนหมิงเจี่ยกึ่งประชดกึ่งขู่