ตอนที่แล้วEp.897 - หนึ่งดรรชนีแห่งความตาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปEp.899 - คุมขังมารกระดูก

Ep.898 - การปะทะกันของดวงดาว


2/4

Ep.898 - การปะทะกันของดวงดาว

อย่างไรก็ตาม นี่มิใช่การรำแพนให้ผู้คนชื่นชม แต่เป็นดวงดาราที่ถูกบีบอัดเป็นของแข็งโดยกำลังภายในของฉินเฟิง

บนเนินเขาที่ห่างไกล ปากของแซดกลายเป็นรูปตัว ‘O’ และหากเขาประหลาดใจ มหาจักรพรรดิมารกระดูกที่อยู่ในเขตแดนแห่งความตาย คงไม่ต้องกล่าวถึง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่นึกฝันเลย ว่าความแข็งแกร่งของฉินเฟิงจะลึกล้ำถึงขนาดนี้

“ไม่ดีแล้ว!”

มหาจักรพรรดิมารกระดูกลอบร้องผิดท่า แต่มันก็สายเกินไป

“ไปเลย!” ฉินเฟิงกระตุ้นกำลังภายใน ดาราทั้งเก้าดวงพลันลอยสูงขึ้นในระดับเดียวกับจุดสีเทาที่อยู่รวมกันเป็นดวงดาวบนท้องฟ้า จากนั้นกำลังภายในอันน่าหวาดกลัวแปรเปลี่ยนเป็นศรแหลม เข้าทิ่มแทงดาวสีเทา

ดาวสีเทาปลดปล่อยหมอกหนาสีเทาดำเข้าต่อต้านทันที แต่ความสามารถของมัน สามารถต้านทานศรดาราได้เพียงดวงแรกเท่านั้น ไม่อาจต้านทานดวงที่สองและสาม ตามลำดับได้ …

ฟุฟฟฟ ฟุฟฟ ฟุฟฟ ฟุฟฟฟ!

ศรแปดดอกแทงทะลุดวงดาวสีเทาอย่างพร้อมเพรียง เมื่อถูกพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่เข้าบดขยี้ พื้นผิวของดวงดาวสีเทาก็เริ่มเต็มไปด้วยรอยปริร้าว

เขตแดนแห่งความตายรอบๆ ในเวลานี้เริ่มสั่นไหว บางจุดไม่ถูกเติมเต็มโดยอักษรรูนสีเทา สิ่งไม่มีชีวิตโครงกระดูกน่าสะพรึงที่เพิ่งผุดจากนิทราพังทลายลง เขตแดนครอบคลุมไม่ทั่วถึงอีกต่อไป หากฉินเฟิงคิดหลบหนี เขาสามารถทำได้ทันที

อย่างไรก็ตาม คนอย่างฉินเฟิงจะถอยหนี หันหลังให้ศัตรูได้อย่างไร? เจ้าตัวทำตรงกันข้าม เริ่มกดดันเข้าประชิดคู่ต่อสู้ทีละก้าว ทีละก้าว ดวงดาราทั้งเก้าที่เพิ่งบดขยี้ดาวคู่แข่งราวกับเป็นเรื่องธรรมดา เริ่มปลดปล่อยลำแสงกำลังภายในออกมาอีกครั้ง

เมื่อมาถึงเลเวล S พลังงานที่สามารถใช้งานได้จะอยู่ในระดับมหาศาลมาก มีอยู่หลายครั้งที่ร่างกายไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการต่อสู้

คลิก คลิก ..!

ดวงดาวสีเทาของมหาจักรพรรดิเกิดรอยแตกร้าว ฉากนี้สร้างความตื่นตระหนกแก่มารกระดูกอย่างมาก ยากเกินกว่าจะทำใจเชื่อ แววตาของเขาฟุ้งไปด้วยความหวาดกลัว

“อย่า!!” มหาจักรพรรดิมารกระดูกคิดเรียกดวงดาวสีเทากลับมา

ดาวสีเทาดวงนี้ แท้จริงแล้วมิใช่ใดอื่น แต่เป็นดาวเคราะห์พลังสมาธิของมหาจักรพรรดิมารกระดูก

ยามดาวเคราะห์พลังสมาธิอยู่ภายนอก มันจะสามารถปลดปล่อยพลังอำนาจอันน่าสะพรึงดั่งอุกกาบาตที่ร่วงหล่น หากมิใช่ผู้ใช้พลังเลเวล S ย่อมไม่อาจต้านทานได้

แต่ช่างเป็นอะไรที่น่าเสียดาย เพราะคนที่มหาจักรพรรดิมารกระดูกเผชิญหน้าด้วยดันเป็นสัตว์ประหลาดอย่างฉินเฟิง

ฉินเฟิงย่อมไม่มีใครคิดปล่อยมารกระดูกให้หลุดมือไป ดาราทั้งเก้าปลดปล่อยพลังอันน่าหวาดกลัว ระเบิดออกไป ราวกับนี่คือฟางเส้นสุดท้ายก่อนบดขยี้ศัตรู

ดาวสีเทาของมารกระดูกแหลกเป็นเสี่ยงๆทันที

ตูมมมม!

ในพริบตา ปรากฏแรงระเบิดอันน่าหวาดกลัว รูนสีเทาและดำที่กักเก็บไว้ภายใน พุ่งพรวดออกมา ฉากนี้ราวกับมังกรยัก์โผล่ขึ้นจากใต้พื้นโลก

บนท้องฟ้า นกที่กำลังโบยบิน ถูกรูนเหล่านี้เข้าปนเปื้อน สูญสิ้นพลังชีวิตในพริบตา เลือดและเนื้อแห้งเหือดไปหมด ยังไม่พอ สิ่งที่น่าแปลกประหลาดยิ่งกว่าก็คือ นกตัวนี้ยังคงบินต่อไป แม่จะเหลือเพียงโครงกระดูกก็ตาม ที่โดดเด่นอีกจุดคงไม่พ้นคู่ดวงตา ที่เวลานี้มีเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณลุกไหม้แผดเผา

อย่าลืมว่าทั้งหมดนี้เป็นรูนมืด หลังขยายตัวออกไป เกรงว่าตลอดทั้งเขตสามเฉิง ทุกหนแห่งคงถูกเต็มไปด้วยซากศพแห่งความตาย

อย่างไรก็ตาม วินาทีต่อมา อักษรรูนที่เดิมพุ่งทะลักไปบนท้องฟ้า กลับเกิดกระบวนการย้อนกลับ ทั้งยังไหลกลับมาเร็วกว่าในตอนปะทุซะอีก

ณ ใจกลางหุบเขา บังเกิดกระแสวังวนบนหน้าผากฉินเฟิง อักษรรูนน่าหวาดกลัวเหล่านั้น ทั้งหมดถูกดูดซับกลับมาโดยฝีมือเขา

ในช่วงต้นๆ ตอนฉินเฟิงอยู่เลเวล G เขาสามารถดูดซับศิลานรกได้ แม้ความแข็งแกร่งของมหาจักรพรรดิมารกระดูกจะไม่เลว แต่ดาวเคราะห์พลังสมาธิไม่บริสุทธิ์เหมือนศิลานรก สำหรับฉินเฟิง การกระทำนี้เลยไม่ต่างจากกำลังดูดซับอักษรรูนจากแก่นอบิลิตี้มืดของสัตว์ร้ายเลเวล S

ยังไงก็ตาม พลังสมาธิของมหาจักรพรรดิมารกระดูกน่าหวาดกลัวมาก เกรงว่าอาจเป็นเพราะวิถีฝึกฝนของเขา ที่ระหว่างทางเกือบทั้งหมดล้วนเป็นการเข้าควบคุมซากศพ

อธิบายมาตั้งยืดยาวขนาดนี้ สรุปสั้นๆก็คือ เมื่อพลังสมาธิอันน่าหวาดกลัวของมารกระดูกถูกดูดซับโดยฉินเฟิง เงื่อนไขในการยกระดับก็ถูกเติมเต็มอย่างรวดเร็ว

ตูม!

พลังสมาธิยกระดับขึ้นสู่เลเวล B9 !

ตูมมมม!

พลังสมาธิยกระดับ ตัดผ่านเข้าสู่เลเวล A!

ไม่เพียงแค่นั้น พลังสมาธิมหาศาลเหล่านี้ ยังคงหลั่งไหลเข้าไปในจักรวาลแห่งจิตสำนึกของฉินเฟิง สะสมไปเรื่อยๆ หากเป็นคนธรรมดาได้รับพลังสมาธิมากมายขนาดนี้ จักรวาลแห่งจิตสำนึกคงรับไม่ไหว ระเบิดแหลกไปแล้ว

แต่จักรวาลแห่งจิตสำนึกของฉินเฟิงอยู่ในระดับจักรพรรดิสัตว์ร้าย ซึ่งนี่แตกต่างจากความแข็งแกร่งทางกายภาพ ที่ไม่ว่าจะอยู่ในระดับใด ร่างกายก็ยังมีขนาดเท่าเดิม สำหรับผู้ครอบครองพลังสมาธิระดับจักรพรรดิ จักรวาลแห่งจิตสำนึกของเขาจะขยับขยายออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด ผสานไปกับที่ฉินเฟิงฝึกฝนหนทางสู่เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ ผลลัพธ์เลยกลายเป็นว่าสามารถรองรับพลังสมาธิของศัตรูเข้ามาได้อย่างราบรื่น

ในพริบตา พลังสมาธิของฉินเฟิง ได้ปีนป่ายไปถึงจุดสูงสุดอีกครั้ง ให้ความรู้สึกดั่งเทพพระเจ้าทรงพลานุภาพ หากมีผู้คนใดพบเห็น ล้วนเกิดความคิดคุกเข่าก้มกราบกราน

ณ ตำแหน่งห่างไกล แซดควบคุมพลังในร่างกายเขา เข้าต่อต้านกลิ่นอายกดดันนี้อย่างรวดเร็ว สิ่งที่โชคดีก็คือฉินเฟิงไม่คิดจมจ่อม ดื่มด่ำกับกลิ่นอายนี้เป็นเวลานาน  นั่นเพราะนี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาสามารถยกระดับขึ้นสู่เทวะ ฉินเฟิงรวบรวมกลิ่นอายกลับคืนสู่ร่างเขาอย่างรวดเร็ว ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความสงบ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทว่ายังเหลือสักขีพยานทั้งสองที่เห็นการยกระดับของฉินเฟิงกับตาตัวเอง เลยเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปฏิบัติต่อฉินเฟิงเหมือนคนธรรมดา

ณ เวลานี้ อักษรรูนมืดอันน่าหวาดกลัว ทั้งหมดได้ถูกดูดกลืนแล้ว กระทั่งอักษรรูนแห่งความมืดที่ยังหลงเหลือจากการใช้เทคนิคแขตแดน ยังถูกฉินเฟิงกวาดไปสิ้น เพราะมิฉะนั้น หากเหลือทิ้งไว้ สถานที่แห่งนี้คงไม่พ้นกลายเป็นดินแดนแห่งความมืด

กระแสวังวนบนหน้าผากฉินเฟิงปิดลง ภายในดาวเคราะห์พลังสมาธิ แม้ปรากฏรูนสีเทาแทรกซึมอยุ่เป็นจำนวนมาก แต่หากมองโดยรวม มันครอบครองพื้นที่เพียงส่วนเล็กๆของดาวเคราะห์สีดำของฉินเฟิงเท่านั้น

ต่อมา สายตาของฉินเฟิง เบนตกลงบนร่างมหาจักรพรรดิมารกระดูก

อีกฝ่ายยังไม่ตาย

แต่แน่นอน แม้ยังไม่ตาย แต่อีกฝ่ายไม่สามารถเรียกตัวเองว่ามหาจักรพรรดิได้อีกต่อไป เนื่องจากฉินเฟิงได้ทำลายดาวเคราะห์พลังสมาธิของมารกระดูกไปแล้ว ซึ่งนี่ไม่ต่างจากการทำลายตันเถียนของผู้ใช้วรยุทธโบราณ เปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นคนพิการ

อย่างไรก็ตาม หลังฝึกฝนและมีชีวิตอยู่มานานปี กระดูกของมารกระดูก ได้พัฒนาความแข็งแกร่งมาถึงเลเวล A แล้ว ปัจจุบันมันยังเหลือความแข็งแกร่งทางกายภาพเลเวล A แต่ความแข็งแกร่งเพียงแค่นี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าฉินเฟิง ยังไงก็ไม่อาจเอาชนะได้ แค่โจมตีให้โดนสักครั้งยักยากเลย

สามารถกล่าวได้ว่าขอบเขตของเลเวล S คือพระเจ้า ทว่าเลเวล A ยังถือว่าอยู่ในขอบเขตของมนุษย์

“ฉันบอกแกแล้วใช่ไหม ว่าให้ไสหัวกลับไปยังมิติที่จากมา ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าแก!” ฉินเฟิงกล่าวน้ำเสียงเย็นชา

ดาวเคราะห์พลังสมาธิของมารกระดูกถูกทำลายลงแล้วในเวลานี้ โชคยังดีที่ตัวเขาคือสิ่งไม่มีชีวิต  แค่มีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์ มิฉะนั้นเขาคงทนการทำลายล้างเมื่อครู่ไม่ไหว แหลกสลายไปแล้ว

“กลับ! ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ!” มารกระดูกกล่าวอย่างร้อนรน อ้อนวอนขอความเมตตา “อย่าฆ่าข้าเลย ข้ามิได้ตั้งใจจะทำเช่นนี้ ข้าแค่มาตามหาสิ่งที่สูญหายไปเท่านั้น”

ฉินเฟิงกล่าว “ก็มาถูกทางแล้วไง เพราะสิ่งที่แกทำสูญหาย ถูกฉันยึดเอาไว้!”

มารกระดูกแทบอดใจไม่ไหว อยากตบปากตัวเองสักหลายครั้ง ทำไมเมื่อครู่ข้าถึงพูดเช่นนั้นออกไป!?

แต่แล้วพลันฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ไฟแห่งจิตวิญญาณของเขาลุกโชนคล้ายร่ายระบำ รีบกล่าวต่ออย่างรวดเร็ว “เจ้าต้องการศิลาศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืดหรือไม่? ข้ามีมัน ใช่ข้ามี! ได้โปรดอย่าสังหารข้า แล้วข้าจะนำศิลาศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืดมาให้เจ้า!”

ฉินเฟิงมองมารกระดูกด้วยสีหน้าเย็นชา “ถ้าแกมีศิลาศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมืออีกก้อน แล้วแกจะบุกมายังโลกของฉันทำไม? โกหก!”

หัวใจของมารกระดูกสั่นสะท้าน เขารู้ตัวว่าคำโกหกนี้เต็มไปด้วยช่องโหว่มากมาย รีบแก้ตัวว่า “เปล่า ข้าหมายถึงว่าข้ารู้ตำแหน่งของศิลาศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืด ข้าจะบอกเจ้า แล้วเจ้าก็ไปเก็บมันได้เลย”

“อ้อจริงหรอ?”

“จริงสิ! เป็นความจริง!”

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่เชื่อคำพูดของมารกระดูก เอ่ยปากเรียกคำหนึ่ง “ไป๋หลี!”

ก่อนหน้านี้ทั้งสองสนทนากันด้วยพลังสมาธิ แต่ครั้งนี้เป็นเสียงที่เปล่งจากปาก ดังนั้นมารกระดูกไม่ทราบว่าสองคำ ‘ไป๋หลี’ หมายถึงอะไร เขาผงะไปเล็กน้อย แต่วินาทีต่อมา เห็นแค่เพียงข้างกายฉินเฟิง ปรากฏหญิงสาวในชุดขาว

“จงมองมาที่ฉัน!”

ดวงตาของไป๋หลีเปล่งประกายแสงสีเงิน สะท้อนเข้าไปในดวงตาลุกโชนของมารกระดูกทันที

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด