ตอนที่แล้วตอนที่ 10 - พระเจ้าแห่งความมืด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 12 - ใส่ร้าย

ตอนที่ 11 - หิ่งห้อย


*ก่อนจะอ่านนิยาย โปรดตรวจสอบว่าท่านได้อยู่ในสถานที่ที่มีแสงเพียงพอ หรือถ้าท่านอ่านในความมืดก็อย่าลืมเปิด Night Mode หรือจอส้ม เพื่อป้องกันการปวดหัวและสายตาสั้นด้วยนะครับ*

--------------------------------------------------------------------------------------------

ที่ผนังในห้องทรมาณทั้งสองข้างนั้นมีไฟส่องสว่างอยู่. เหล่าเซ้นต์พากันไปล้อมแม่มดสองคนนั้น.

 

เดบราก้าวออกไปข้างหน้าหวังจะคุมเกมจากนั้นก็ยิ้มออกมาเบาๆ “งั้นก็เริ่มกันเลย, พวกเราแบ่งกันออกเป็นสองกลุ่มแล้วไปสอบปากคำพวกเธอซะ ยัยแม่มดสกปรกสองคนนี้จะได้สำนึกถึงการทรยศของตัวเองซักที. เพื่อพระเป็นเจ้าแล้วถ้าเราได้เบาะแสแม่มดตนอื่นเพิ่มก็จะดีไม่น้อย”

 

“ได้เลย!”

 

เหล่าเซ้นต์พากันแบ่งออกเป็น2กลุ่ม. ในห้องนั้นมีเสียงดังอยู่พักหนึ่งและหัวหน้าตัวจริงก็ถูกทิ้งไว้ในมุมมืดราวกับถูกลืมเลือนไปแล้ว ไม่มีใครถามหาเธออีกเลย.

 

เอมิเลียหวังจะให้พวกเขาลืมเธออยู่แล้ว.

 

มันจะดีกว่าถ้าพวกเขาไม่รู้ว่าเธอยังมีตัวตนอยู่นี่.

 

เธอขอยืนดูอยู่เงียบๆดีกว่า. เธอทำร้ายเด็กผู้หญิงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่พวกนั้นได้ลงคอหรอก.

 

เอมิเลียถอยหลังไปพิงกำแพงเย็นๆแล้วหลับตาไป, เธอไม่อยากมองภาพนั้นอีกเลย

.

“เธอจะทนอยู่แบบนี้หรอ?”

 

เอมิเลียประหลาดใจเล็กน้อยที่ริต้ามายืนอยู่ข้างเธอ, เธอกำลังกัดฟันแล้วจ้องไปด้านหน้า.

 

เอมิเลียมองตามเธอไปดูเดบราที่กำลังเล่นบทหัวหน้าแทนอยู่.

 

ต่อให้เป็นคนที่ดีขนาดไหนถ้ามาเจอคนแย่งทำหน้าที่ตัวเองแบบนี้ก็คงมีเคืองกันบ้างแหละ. เธอไม่ควรทำตัวเฉยชาแบบนี้. เธอควรจะพูดอะไรบ้าง.

 

เอมิเลียหันหนีไป, สีหน้าของเธอซีดลงทันที. เธอบอกริต้าไปว่า “ชั้นมึนนิดหน่อยน่ะ”

 

ในห้องสลัวๆนั้นแสงเทียนส่องแสงสว่างออกมาทางด้านข้างใบหน้าของเด็กผู้หญิงพวกนั้น น้ำตาของพวกเธอไหลลงมาราวกับน้ำตก.

 

เจ้าเอล์ฟที่อยู่ในกระเป๋าเธอส่งเสียงประชดออกมาอย่างดัง.

 

เจ้าบ้านี่ ชั้นบอกแล้วไงว่าอย่าส่งเสียงน่ะ?

 

เอมิเลียกัดฟันแล้วแอบเอามือล้วงลงไปในกระเป๋าเพื่อหยิกเขาอย่างแรง จากนั้นก็มองมาทางริต้าด้วยสีหน้ากังวล.

 

โชคดีที่ริต้ามัวโมโหแทนอยู่เลยไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น “เธอบ้าไปแล้วหรอ ทำไมไม่สู้เพื่อตัวเอง? อย่าให้เดบรามันได้ใจสิ!”

 

เอมิเลียกระซิบกลับไป “ขนาดเธอยังสู้กับนางไม่ไหวเลย มาบอกชั้นทำไมเนี่ย”

 

ริต้าเริ่มไม่พอใจเธอ.

 

ขณะที่เธอกำลังจะอ้าปากพูดบางอย่างออกมานั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านหลังกลบเสียงเธอหมด.

 

มีกลิ่นเนื้อหนังที่ถูกไฟเผาโชยมาพร้อมๆกับกลิ่นเลือดที่คาวมากๆ สีหน้าของเอมิเลียซีดลงและเธอแทบจะอ้วกออกมาเลย.

 

เธออดทนได้เดี๋ยวเดียวจนทนไม่ไหวเลยรีบหันไปทางด้านหลังริต้า.

 

ที่พื้นมีเลือดไหลนองลงมาและเด็กผู้หญิงที่ซูบผอมตรงนั้นกำลังคอตกอยู่ ตัวเธอมีเลือดเปื้อนเต็มไปหมด นิ้วมือของเธอที่ติดอยู่กับเครื่องทรมาณอ่อนล้ามาก กระดูกที่นิ้วนั้นบิดไปมาอย่างน่าเวทนา.

 

เดบรากำลังยืนเลือดโชกอยู่ต่อหน้าแม่มดตัวน้อยนั้น พร้อมโก่งคิ้วทำหน้าขยะแขยง. เธอถามอย่างช้าๆไปว่า “แกรู้ตัวรึป่าวว่าเป็นแม่มดน่ะ?”

 

แม่มดผมสีแดงเงยหน้าขึ้นมา, ผมยุ่งๆของเธอบังหน้าไปหมด เธอส่ายหัวเบาๆอย่างไร้เรี่ยวแรง “หนูไม่เคยเป็นอย่างที่คุณพูด”

 

เซ้นต์หญิงข้างๆเธอทนไม่ไหวจึงรีบถามไป “พ่อแม่ของเธอมารายงานพวกเราเองว่า เธอเห็นปีศาจตอนกลางคืนและเข้าไปคุยกับมันด้วย ใช่มั้ย?”

 

แม่มดผมสีแดงปฏิเสธไป “หนูเปล่า!”

 

เดบรายิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “ยังไม่ยอมรับอีกสินะ อัศวินของเราเห็นเธอเดินไปมาตอนกลางคืนราวกับว่าสูญเสียวิญญาณไปแล้ว พอตอนเช้าตรู่เธอก็กลับมาที่บ้าน. พอชั้นถามว่าจำเรื่องที่ทำไปตอนกลางคืนได้มั้ย เธอก็บอกว่าไม่รู้ทั้งนั้น แค่นี้ก็เป็นหลักฐานพอแล้วไม่ใช่เหรอว่าเธอทำสัญญากับปีศาจและให้มันสิงร่างน่ะ?”

 

แม่มดผมสีแดงตัวสั่นขึ้นมาแล้วร้องไห้ “หนูไม่รู้, หนูไม่รู้จริงๆ, หนู..”

 

ราวกับว่าเธอโดนจี้จุดเข้าเธอดูสับสน ดวงตาของเธอก็ดูเฉยชา. เธอนึกคำพูดแก้ตัวไม่ออกเลย. เธอไม่รู้ตัวเลยว่าเธอแอบออกไปตอนกลางคืนจนกระทั่งถูกจับมาที่นี่.

 

เป็นไปไม่ได้.

 

เป็นไปได้หรอที่เธอจะทำสัญญากับปีศาจโดยไม่รู้ตัวน่ะ?

 

แม่มดผมแดงหลับตาลงอย่างซังกะตายและพยักหน้าด้วยความขมขื่นตอนที่เดบราถามเธออีกครั้งว่าใช่แม่มดหรือเปล่า.

 

เดบราปิดตำราลงแล้วกล่าวด้วยความพอใจว่า “โอเค ส่งมันไปที่ศาลตัดสินพวกนอกรีตแล้วให้พวกเขาจัดการแขวนเธอซะ”

 

แม่มดผมแดงตัวสั่นขึ้นมาอย่างหนัก.

 

การสอบสวนที่อีกฝั่งก็ถึงจุดสิ้นสุดเหมือนกัน. เซ้นต์ที่ทำหน้าที่สอบสวนนำกระดาษสารภาพบาปที่เปื้อนเลือดมาแล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ตรงนั้นก็เสร็จแล้วเหมือนกัน”

 

“ถึงแม้เราจะไม่ได้ข้อมูลสำคัญมาก็ตามแต่ก็โชคดีที่ปิดงานได้. ทางศาลน่าจะให้คะแนนเราดีๆแน่”

เหล่าเซ้นต์พากันหัวเราะชอบใจ.

 

เอมิเลียตกใจมากตอนที่ได้ยิน.

 

โดนปีศาจหลอกล่อ, ถูกเข้าสิง?, เธอก็แค่เดินละเมอไม่ใช่รึไง?

 

หลังจากตะลึงไปพักหนึ่งเธอก็นึกได้ว่าที่นี่เป็นยุคสมัยกลางของทางตะวันตกที่การแพทย์ยังล้าหลังอยู่. การแพทย์ส่วนใหญ่พึ่งพาเวทย์มนต์ทั้งนั้น. โรคสมัยใหม่อย่างการเดินละเมอคงเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับพวกเขา.

 

พ่อแม่ของเด็กสองคนนี้คงเห็นพวกเธอเดินละเมอกลางดึกจึงรีบไปรายงานด้วยความลนลานแล้วก็มองดูลูกสาวตัวเองถูกจับไปสินะ.

 

เอมิเลียมองไปทางเด็กผู้หญิงผมแดงนั่น ดวงตาของเธอดูสดใสมาก ที่ขอบตาก็มีไฝเล็กๆอยู่และที่ปากของพวกเธอก็มีลักยิ้มเล็กๆด้วยเวลาพูด.

 

เด็กคนนั้นน่าจะดูน่ารักมากตอนหัวเราะแน่ๆ.

 

เธอเม้มปากด้วยความว้าวุ่นและกำหมัดไว้.

 

เดบราที่อยู่กลางคนพวกนั้นปรบมือขึ้นมา “เอาล่ะ พวกเธอทั้งสองคนพายัยแม่มดพวกนี้ไปที่ศาลซะ. อย่าลืมเอาใบสารภาพบาปไปด้วยล่ะ”

 

เซ้นต์สองคนนั้นเริ่มเดินออกไป โซ่ที่คล้องมือเด็กสองคนนั้นอยู่หล่นกระแทกกับพื้นดัง ‘เก๊ง’ ไปทั่วห้อง.

 

พวกเขาลากเด็กผู้หญิงสองคนนั้นออกไปจนเลือดเปื้อนทางเดินไปหมด.

 

นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เอมิเลียจะได้เห็นพวกเธอ.

 

เด็กคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาตอนที่ถูกลากผ่านเอมิเลียไป. ด้านหลังผมสีแดงดุจเลือดของเธอนั้นมีดวงตาสีน้ำตาที่ไร้ชีวิตชีวาอยู่ เธอถูกลากผ่านหน้าเอมิเลียไป.

 

ดวงตาพวกนั้นคือดวงตาของคนที่ตายไปแล้ว.

 

เอมิเลียเลิกลังเลอีกต่อไป เธอแอบเอามือขวาไปไว้ด้านหลังแล้วค่อยๆขยับนิ้ว.

 

เวทย์มนต์ที่มองไม่เห็นเริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วอากาศ.

 

เด็กผู้หญิงผมสีแดงกำลังคอตกอยู่และตอนนี้แขนของเธอก็กำลังถูกคนลากไปหาที่ที่เธอกำลังจะถูกฆ่า.

 

ทั่วตัวของเธอรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากมายมหาศาลจนเธอรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก.

 

เธอไม่อยากตาย, เธอยังเด็กอยู่เลยอายุแค่18ปีเท่านั้น, เธอยังมีอนาคตอีกไกลมากๆ มีเรื่องอีกตั้งหลายอย่างที่เธอยังไม่ได้ทำ….ตาของเด็กผมสีแดงเริ่มเลือนลางและเธอพยายามนึกถึงเรื่องที่มีความสุขในอดีตขึ้นมาเพื่อปลอบตัวเอง.

 

แต่โชคชะตานั้นอยู่เหนือการควบคุมอยู่เสมอ.

 

เธอพยายามเงยหน้าขึ้นเพื่อจะมองดูโลกที่สวยงามนี้เป็นครั้งสุดท้าย.

 

“ฟุ่บ!”

 

แรงที่ลากแขนเธออยู่นั้นจู่ๆก็หายไปและเด็กผู้หญิงผมสีแดงคนนั้นก็ฟุ่บลงกับพื้นเหมือนกับกระเป๋าหนักๆ เธอแทบจะลุกขึ้นมาไม่ไหวเลย.

 

เธอส่ายหัวแล้วสะบัดผมที่บังสายตาเธอออกไป จนเห็นเหล่าเซ้นต์ที่ศักดิ์สิทธิ์นั่นร่วงลงกับพื้นไปทีละคนๆ.

 

เกิดอะไรขึ้นกัน?

 

มีประกายแสงระยิบระยับฟุ้งกระจายอยู่เต็มอากาศไปหมด.

 

เด็กผมสีแดงนั้นก้มหน้าลงกับพื้นและเห็นก้อนประกายแสงเล็กๆลอยขึ้นมาจากพื้น.

 

ก้อนแสงนั่นลอยขึ้นมากลางอากาศแล้วค่อยๆลอยไปทางประตูจากนั้นมันก็ลอยวนรอบๆประตูนั่น.

 

เธอนอนอยู่ตรงนั้นและงงไปพักหนึ่งจากนั้นก็เข้าใจว่าเจ้าก้อนแสงนั่นจะสื่ออะไร.

มันกำลังนำทางให้เธอหนีไป.

 

แม้ร่างกายของเธอจะเจ็บปวดและล้ามากๆ แต่เธอก็พยายามลุกขึ้นมาด้วยความหวังอันน้อยนิดที่มาจากไหนไม่รู้ก้อนนี้, เธอกัดฟันแล้วใช้แรงเฮือกสุดท้ายลากเด็กผู้หญิงผมสีดำไปทางประตูด้วยกัน.

 

ประตูค่อยๆเปิดออกเบาๆ.

 

เด็กผู้หญิงผมสีแดงเดินออกจากห้องนั้นไปแล้วหันกลับมามองเหล่าเซ็นต์ที่จู่ๆก็สลบไปโดยไม่รู้สาเหตุ.

 

เธอกัดฟันแล้วหยิบไม้ขีดไฟออกมาจากกระเป๋า, ตัวเธอสั่นไปหมดเพราะนิ้วมือที่บิดเบี้ยวนั่น เธอจุดไฟด้วยไม้ขีดจำนวนมากจากนั้นก็โยนไปทางห้องทรมาณนั่น.

 

เธอไม่ได้หวังจะฆ่าพวกเขา แต่อยากจะซื้อเวลาไว้หนี.

 

ถึงปีศาจจะอยู่ในตัวเธอจริงๆ แต่เธอก็ไม่อยากตาย เธออยากจะมีชีวิตต่อ!

 

เด็กผมสีแดงคนนั้นเคยเป็นผู้ศรัทธาในแสงสว่าง, น้ำตาของเธอเริ่มไหลออกมา, บัดนี้เธอขอทิ้งศรัทธานั่นเอาไว้ที่นี่. จากนั้นเธอก็วิ่งตามก้อนแสงนั่นออกไป.

 

พวกเธอเดินตามทางแล้วกระโดดข้ามรั้วออกไป เด็กสาวทั้งสองคนที่มีแผลเต็มตัวก็หนีออกจากโบสถ์ที่มีการคุ้มกันแน่นหนาได้สำเร็จ.

 

ทันทีที่พวกเธอออกมาด้านนอกได้สำเร็จ ก้อนแสงนั่นก็แตกสลายไปกับอากาศ เหลือทิ้งไว้แต่กระดาษแผ่นหนึ่งที่มีอะไรเขียนอยู่2-3บรรทัด.

 

ก้อนแสงที่แตกสลายไปกับอากาศนั่นเป็นเหมือนกับหิ่งห้อยที่คอยมอบความหวังให้ จากนั้นมันก็ลอยกลับไปทางที่มันจากมา.

 

ทางนั้นมัน….

 

เด็กผู้หญิงผมสีแดงมองตามมันไปด้วยความตกตะลึง.

 

ขณะที่มองดูประกายแสงเหล่านั้นลอยกลับไปทางโบสถ์ เธอก็เข้าใจขึ้นมา.

คนที่ช่วยพวกเธอไว้ก็คือหนึ่งในเซ้นต์ที่สลบอยู่ในนั้นเองหรอ!

 

เอมิเลียลืมตาขึ้นและเห็นคนอื่นๆนอนสลบในห้องทรมาณ.

 

ประกายแสงนั้นลอยกลับเข้ามาที่ตัวของเธอ.

 

“เห้ย เจ้าสุนัขรับใช้, นี่เธอโง่รึป่าว?” กระเป๋าถูกเปิดออกและอัลฟอนโซก็โผล่ออกมาพร้อมกับแก้มที่แดงเพราะถูกหยิกจากนั้นเขาก็ถามไป “จะช่วยพวกนางไว้ทำไม? เธอก็รู้หนิถ้าทำแบบนั้นเดี๋ยวก็มีปัญหาตามมาหรอก”

 

“อย่างแรกชั้นไม่ได้ช่วยพวกเขา. เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับชั้น ชั้นไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”

 

“อย่างสอง, สิ่งที่นายควรจะถามก็คือทำไมชั้นถึงช่วยคนบ้าแบบนายไว้ต่างหาก”

 

เอมิเลียเอามือตบกระเป๋าปิดไปแล้วผูกปมซะ.

 

ด้านหลังเธอมีเหล่าเซ้นต์ที่กำลังสลบอยู่เต็มไปหมดและเปลวเพลิงก็ค่อยๆลุกโชนขึ้นต่อหน้าเธอ.

 

เอมิเลียสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วแกล้งสลบตามพวกเขาไป.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด