ตอนที่ 11 - หิ่งห้อย
*ก่อนจะอ่านนิยาย โปรดตรวจสอบว่าท่านได้อยู่ในสถานที่ที่มีแสงเพียงพอ หรือถ้าท่านอ่านในความมืดก็อย่าลืมเปิด Night Mode หรือจอส้ม เพื่อป้องกันการปวดหัวและสายตาสั้นด้วยนะครับ*
--------------------------------------------------------------------------------------------
ที่ผนังในห้องทรมาณทั้งสองข้างนั้นมีไฟส่องสว่างอยู่. เหล่าเซ้นต์พากันไปล้อมแม่มดสองคนนั้น.
เดบราก้าวออกไปข้างหน้าหวังจะคุมเกมจากนั้นก็ยิ้มออกมาเบาๆ “งั้นก็เริ่มกันเลย, พวกเราแบ่งกันออกเป็นสองกลุ่มแล้วไปสอบปากคำพวกเธอซะ ยัยแม่มดสกปรกสองคนนี้จะได้สำนึกถึงการทรยศของตัวเองซักที. เพื่อพระเป็นเจ้าแล้วถ้าเราได้เบาะแสแม่มดตนอื่นเพิ่มก็จะดีไม่น้อย”
“ได้เลย!”
เหล่าเซ้นต์พากันแบ่งออกเป็น2กลุ่ม. ในห้องนั้นมีเสียงดังอยู่พักหนึ่งและหัวหน้าตัวจริงก็ถูกทิ้งไว้ในมุมมืดราวกับถูกลืมเลือนไปแล้ว ไม่มีใครถามหาเธออีกเลย.
เอมิเลียหวังจะให้พวกเขาลืมเธออยู่แล้ว.
มันจะดีกว่าถ้าพวกเขาไม่รู้ว่าเธอยังมีตัวตนอยู่นี่.
เธอขอยืนดูอยู่เงียบๆดีกว่า. เธอทำร้ายเด็กผู้หญิงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่พวกนั้นได้ลงคอหรอก.
เอมิเลียถอยหลังไปพิงกำแพงเย็นๆแล้วหลับตาไป, เธอไม่อยากมองภาพนั้นอีกเลย
.
“เธอจะทนอยู่แบบนี้หรอ?”
เอมิเลียประหลาดใจเล็กน้อยที่ริต้ามายืนอยู่ข้างเธอ, เธอกำลังกัดฟันแล้วจ้องไปด้านหน้า.
เอมิเลียมองตามเธอไปดูเดบราที่กำลังเล่นบทหัวหน้าแทนอยู่.
ต่อให้เป็นคนที่ดีขนาดไหนถ้ามาเจอคนแย่งทำหน้าที่ตัวเองแบบนี้ก็คงมีเคืองกันบ้างแหละ. เธอไม่ควรทำตัวเฉยชาแบบนี้. เธอควรจะพูดอะไรบ้าง.
เอมิเลียหันหนีไป, สีหน้าของเธอซีดลงทันที. เธอบอกริต้าไปว่า “ชั้นมึนนิดหน่อยน่ะ”
ในห้องสลัวๆนั้นแสงเทียนส่องแสงสว่างออกมาทางด้านข้างใบหน้าของเด็กผู้หญิงพวกนั้น น้ำตาของพวกเธอไหลลงมาราวกับน้ำตก.
เจ้าเอล์ฟที่อยู่ในกระเป๋าเธอส่งเสียงประชดออกมาอย่างดัง.
เจ้าบ้านี่ ชั้นบอกแล้วไงว่าอย่าส่งเสียงน่ะ?
เอมิเลียกัดฟันแล้วแอบเอามือล้วงลงไปในกระเป๋าเพื่อหยิกเขาอย่างแรง จากนั้นก็มองมาทางริต้าด้วยสีหน้ากังวล.
โชคดีที่ริต้ามัวโมโหแทนอยู่เลยไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น “เธอบ้าไปแล้วหรอ ทำไมไม่สู้เพื่อตัวเอง? อย่าให้เดบรามันได้ใจสิ!”
เอมิเลียกระซิบกลับไป “ขนาดเธอยังสู้กับนางไม่ไหวเลย มาบอกชั้นทำไมเนี่ย”
ริต้าเริ่มไม่พอใจเธอ.
ขณะที่เธอกำลังจะอ้าปากพูดบางอย่างออกมานั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านหลังกลบเสียงเธอหมด.
มีกลิ่นเนื้อหนังที่ถูกไฟเผาโชยมาพร้อมๆกับกลิ่นเลือดที่คาวมากๆ สีหน้าของเอมิเลียซีดลงและเธอแทบจะอ้วกออกมาเลย.
เธออดทนได้เดี๋ยวเดียวจนทนไม่ไหวเลยรีบหันไปทางด้านหลังริต้า.
ที่พื้นมีเลือดไหลนองลงมาและเด็กผู้หญิงที่ซูบผอมตรงนั้นกำลังคอตกอยู่ ตัวเธอมีเลือดเปื้อนเต็มไปหมด นิ้วมือของเธอที่ติดอยู่กับเครื่องทรมาณอ่อนล้ามาก กระดูกที่นิ้วนั้นบิดไปมาอย่างน่าเวทนา.
เดบรากำลังยืนเลือดโชกอยู่ต่อหน้าแม่มดตัวน้อยนั้น พร้อมโก่งคิ้วทำหน้าขยะแขยง. เธอถามอย่างช้าๆไปว่า “แกรู้ตัวรึป่าวว่าเป็นแม่มดน่ะ?”
แม่มดผมสีแดงเงยหน้าขึ้นมา, ผมยุ่งๆของเธอบังหน้าไปหมด เธอส่ายหัวเบาๆอย่างไร้เรี่ยวแรง “หนูไม่เคยเป็นอย่างที่คุณพูด”
เซ้นต์หญิงข้างๆเธอทนไม่ไหวจึงรีบถามไป “พ่อแม่ของเธอมารายงานพวกเราเองว่า เธอเห็นปีศาจตอนกลางคืนและเข้าไปคุยกับมันด้วย ใช่มั้ย?”
แม่มดผมสีแดงปฏิเสธไป “หนูเปล่า!”
เดบรายิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “ยังไม่ยอมรับอีกสินะ อัศวินของเราเห็นเธอเดินไปมาตอนกลางคืนราวกับว่าสูญเสียวิญญาณไปแล้ว พอตอนเช้าตรู่เธอก็กลับมาที่บ้าน. พอชั้นถามว่าจำเรื่องที่ทำไปตอนกลางคืนได้มั้ย เธอก็บอกว่าไม่รู้ทั้งนั้น แค่นี้ก็เป็นหลักฐานพอแล้วไม่ใช่เหรอว่าเธอทำสัญญากับปีศาจและให้มันสิงร่างน่ะ?”
แม่มดผมสีแดงตัวสั่นขึ้นมาแล้วร้องไห้ “หนูไม่รู้, หนูไม่รู้จริงๆ, หนู..”
ราวกับว่าเธอโดนจี้จุดเข้าเธอดูสับสน ดวงตาของเธอก็ดูเฉยชา. เธอนึกคำพูดแก้ตัวไม่ออกเลย. เธอไม่รู้ตัวเลยว่าเธอแอบออกไปตอนกลางคืนจนกระทั่งถูกจับมาที่นี่.
เป็นไปไม่ได้.
เป็นไปได้หรอที่เธอจะทำสัญญากับปีศาจโดยไม่รู้ตัวน่ะ?
แม่มดผมแดงหลับตาลงอย่างซังกะตายและพยักหน้าด้วยความขมขื่นตอนที่เดบราถามเธออีกครั้งว่าใช่แม่มดหรือเปล่า.
เดบราปิดตำราลงแล้วกล่าวด้วยความพอใจว่า “โอเค ส่งมันไปที่ศาลตัดสินพวกนอกรีตแล้วให้พวกเขาจัดการแขวนเธอซะ”
แม่มดผมแดงตัวสั่นขึ้นมาอย่างหนัก.
การสอบสวนที่อีกฝั่งก็ถึงจุดสิ้นสุดเหมือนกัน. เซ้นต์ที่ทำหน้าที่สอบสวนนำกระดาษสารภาพบาปที่เปื้อนเลือดมาแล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ตรงนั้นก็เสร็จแล้วเหมือนกัน”
“ถึงแม้เราจะไม่ได้ข้อมูลสำคัญมาก็ตามแต่ก็โชคดีที่ปิดงานได้. ทางศาลน่าจะให้คะแนนเราดีๆแน่”
เหล่าเซ้นต์พากันหัวเราะชอบใจ.
เอมิเลียตกใจมากตอนที่ได้ยิน.
โดนปีศาจหลอกล่อ, ถูกเข้าสิง?, เธอก็แค่เดินละเมอไม่ใช่รึไง?
หลังจากตะลึงไปพักหนึ่งเธอก็นึกได้ว่าที่นี่เป็นยุคสมัยกลางของทางตะวันตกที่การแพทย์ยังล้าหลังอยู่. การแพทย์ส่วนใหญ่พึ่งพาเวทย์มนต์ทั้งนั้น. โรคสมัยใหม่อย่างการเดินละเมอคงเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับพวกเขา.
พ่อแม่ของเด็กสองคนนี้คงเห็นพวกเธอเดินละเมอกลางดึกจึงรีบไปรายงานด้วยความลนลานแล้วก็มองดูลูกสาวตัวเองถูกจับไปสินะ.
เอมิเลียมองไปทางเด็กผู้หญิงผมแดงนั่น ดวงตาของเธอดูสดใสมาก ที่ขอบตาก็มีไฝเล็กๆอยู่และที่ปากของพวกเธอก็มีลักยิ้มเล็กๆด้วยเวลาพูด.
เด็กคนนั้นน่าจะดูน่ารักมากตอนหัวเราะแน่ๆ.
เธอเม้มปากด้วยความว้าวุ่นและกำหมัดไว้.
เดบราที่อยู่กลางคนพวกนั้นปรบมือขึ้นมา “เอาล่ะ พวกเธอทั้งสองคนพายัยแม่มดพวกนี้ไปที่ศาลซะ. อย่าลืมเอาใบสารภาพบาปไปด้วยล่ะ”
เซ้นต์สองคนนั้นเริ่มเดินออกไป โซ่ที่คล้องมือเด็กสองคนนั้นอยู่หล่นกระแทกกับพื้นดัง ‘เก๊ง’ ไปทั่วห้อง.
พวกเขาลากเด็กผู้หญิงสองคนนั้นออกไปจนเลือดเปื้อนทางเดินไปหมด.
นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เอมิเลียจะได้เห็นพวกเธอ.
เด็กคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาตอนที่ถูกลากผ่านเอมิเลียไป. ด้านหลังผมสีแดงดุจเลือดของเธอนั้นมีดวงตาสีน้ำตาที่ไร้ชีวิตชีวาอยู่ เธอถูกลากผ่านหน้าเอมิเลียไป.
ดวงตาพวกนั้นคือดวงตาของคนที่ตายไปแล้ว.
เอมิเลียเลิกลังเลอีกต่อไป เธอแอบเอามือขวาไปไว้ด้านหลังแล้วค่อยๆขยับนิ้ว.
เวทย์มนต์ที่มองไม่เห็นเริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วอากาศ.
เด็กผู้หญิงผมสีแดงกำลังคอตกอยู่และตอนนี้แขนของเธอก็กำลังถูกคนลากไปหาที่ที่เธอกำลังจะถูกฆ่า.
ทั่วตัวของเธอรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากมายมหาศาลจนเธอรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก.
เธอไม่อยากตาย, เธอยังเด็กอยู่เลยอายุแค่18ปีเท่านั้น, เธอยังมีอนาคตอีกไกลมากๆ มีเรื่องอีกตั้งหลายอย่างที่เธอยังไม่ได้ทำ….ตาของเด็กผมสีแดงเริ่มเลือนลางและเธอพยายามนึกถึงเรื่องที่มีความสุขในอดีตขึ้นมาเพื่อปลอบตัวเอง.
แต่โชคชะตานั้นอยู่เหนือการควบคุมอยู่เสมอ.
เธอพยายามเงยหน้าขึ้นเพื่อจะมองดูโลกที่สวยงามนี้เป็นครั้งสุดท้าย.
“ฟุ่บ!”
แรงที่ลากแขนเธออยู่นั้นจู่ๆก็หายไปและเด็กผู้หญิงผมสีแดงคนนั้นก็ฟุ่บลงกับพื้นเหมือนกับกระเป๋าหนักๆ เธอแทบจะลุกขึ้นมาไม่ไหวเลย.
เธอส่ายหัวแล้วสะบัดผมที่บังสายตาเธอออกไป จนเห็นเหล่าเซ้นต์ที่ศักดิ์สิทธิ์นั่นร่วงลงกับพื้นไปทีละคนๆ.
เกิดอะไรขึ้นกัน?
มีประกายแสงระยิบระยับฟุ้งกระจายอยู่เต็มอากาศไปหมด.
เด็กผมสีแดงนั้นก้มหน้าลงกับพื้นและเห็นก้อนประกายแสงเล็กๆลอยขึ้นมาจากพื้น.
ก้อนแสงนั่นลอยขึ้นมากลางอากาศแล้วค่อยๆลอยไปทางประตูจากนั้นมันก็ลอยวนรอบๆประตูนั่น.
เธอนอนอยู่ตรงนั้นและงงไปพักหนึ่งจากนั้นก็เข้าใจว่าเจ้าก้อนแสงนั่นจะสื่ออะไร.
มันกำลังนำทางให้เธอหนีไป.
แม้ร่างกายของเธอจะเจ็บปวดและล้ามากๆ แต่เธอก็พยายามลุกขึ้นมาด้วยความหวังอันน้อยนิดที่มาจากไหนไม่รู้ก้อนนี้, เธอกัดฟันแล้วใช้แรงเฮือกสุดท้ายลากเด็กผู้หญิงผมสีดำไปทางประตูด้วยกัน.
ประตูค่อยๆเปิดออกเบาๆ.
เด็กผู้หญิงผมสีแดงเดินออกจากห้องนั้นไปแล้วหันกลับมามองเหล่าเซ็นต์ที่จู่ๆก็สลบไปโดยไม่รู้สาเหตุ.
เธอกัดฟันแล้วหยิบไม้ขีดไฟออกมาจากกระเป๋า, ตัวเธอสั่นไปหมดเพราะนิ้วมือที่บิดเบี้ยวนั่น เธอจุดไฟด้วยไม้ขีดจำนวนมากจากนั้นก็โยนไปทางห้องทรมาณนั่น.
เธอไม่ได้หวังจะฆ่าพวกเขา แต่อยากจะซื้อเวลาไว้หนี.
ถึงปีศาจจะอยู่ในตัวเธอจริงๆ แต่เธอก็ไม่อยากตาย เธออยากจะมีชีวิตต่อ!
เด็กผมสีแดงคนนั้นเคยเป็นผู้ศรัทธาในแสงสว่าง, น้ำตาของเธอเริ่มไหลออกมา, บัดนี้เธอขอทิ้งศรัทธานั่นเอาไว้ที่นี่. จากนั้นเธอก็วิ่งตามก้อนแสงนั่นออกไป.
พวกเธอเดินตามทางแล้วกระโดดข้ามรั้วออกไป เด็กสาวทั้งสองคนที่มีแผลเต็มตัวก็หนีออกจากโบสถ์ที่มีการคุ้มกันแน่นหนาได้สำเร็จ.
ทันทีที่พวกเธอออกมาด้านนอกได้สำเร็จ ก้อนแสงนั่นก็แตกสลายไปกับอากาศ เหลือทิ้งไว้แต่กระดาษแผ่นหนึ่งที่มีอะไรเขียนอยู่2-3บรรทัด.
ก้อนแสงที่แตกสลายไปกับอากาศนั่นเป็นเหมือนกับหิ่งห้อยที่คอยมอบความหวังให้ จากนั้นมันก็ลอยกลับไปทางที่มันจากมา.
ทางนั้นมัน….
เด็กผู้หญิงผมสีแดงมองตามมันไปด้วยความตกตะลึง.
ขณะที่มองดูประกายแสงเหล่านั้นลอยกลับไปทางโบสถ์ เธอก็เข้าใจขึ้นมา.
คนที่ช่วยพวกเธอไว้ก็คือหนึ่งในเซ้นต์ที่สลบอยู่ในนั้นเองหรอ!
เอมิเลียลืมตาขึ้นและเห็นคนอื่นๆนอนสลบในห้องทรมาณ.
ประกายแสงนั้นลอยกลับเข้ามาที่ตัวของเธอ.
“เห้ย เจ้าสุนัขรับใช้, นี่เธอโง่รึป่าว?” กระเป๋าถูกเปิดออกและอัลฟอนโซก็โผล่ออกมาพร้อมกับแก้มที่แดงเพราะถูกหยิกจากนั้นเขาก็ถามไป “จะช่วยพวกนางไว้ทำไม? เธอก็รู้หนิถ้าทำแบบนั้นเดี๋ยวก็มีปัญหาตามมาหรอก”
“อย่างแรกชั้นไม่ได้ช่วยพวกเขา. เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับชั้น ชั้นไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”
“อย่างสอง, สิ่งที่นายควรจะถามก็คือทำไมชั้นถึงช่วยคนบ้าแบบนายไว้ต่างหาก”
เอมิเลียเอามือตบกระเป๋าปิดไปแล้วผูกปมซะ.
ด้านหลังเธอมีเหล่าเซ้นต์ที่กำลังสลบอยู่เต็มไปหมดและเปลวเพลิงก็ค่อยๆลุกโชนขึ้นต่อหน้าเธอ.
เอมิเลียสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วแกล้งสลบตามพวกเขาไป.