ตอนที่แล้วร้อยเอ็น เล่นรัก ... เรื่องที่ 2 : ตอนที่ 5. รักผัวหลงผัว (จบเรื่องที่ 2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปร้อยเอ็น เล่นรัก ... เรื่องที่ 3 : ตอนที่ 3. ข้อเสนอที่แสนเย้ายวนของคนไร้ที่ไป

ร้อยเอ็น เล่นรัก ... เรื่องที่ 3 : ตอนที่ 2. การหลบหนีหัวซุกหัวซุนของคนลวงโลก


ร้อยเอ็น เล่นรัก - ร้อยเรียงเรื่องเล่า....

เรื่องที่ 3 เหยื่ออันโอชะ

ตอนที่ 2. การหลบหนีหัวซุกหัวซุนของคนลวงโลก

ผมโดนลากไปรุมซ้อมจนยับเยินในอีกสองวันถัดมา คืนวันศุกร์ที่ฝนตกกระหน่ำ ในจังหวะที่ลงจากรถหน้าบ้านของเจเล่ อยู่ๆก็มีรถตู้สีดำเคลื่อนมาประกบตอนที่กำลังกดกริ่งหน้าบ้าน ชายฉกรรจ์ไม่ทรายบจำนวนทึ้งร่างผมขึ้นรถ ทุกคนใส่หมวกคลุมหน้ามิดชิด คนที่ร่างใหญ่สุดใช้มือปิดปากผมไว้แน่นก่อนจะยัดผ้ากลิ่นเหม็นสาปเข้าปากและสวมถุงอะไรสักอย่างคลุมหัวผมจนมองไม่เห็นทาง ตัวผมสั่นเป็นเจ้าเข้า กลัวตายสุดขีด พยายามขอร้องแต่ก็ไม่มีเสียงเล็ดลอด รถแล่นไปเรื่อยๆ ผมก็ยิ่งหวาดหวั่น กลัวจนแทบอั้นฉี่ไม่ได้ ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ จนเวลาล่วงเลยไปเกือบครึ่งชั่วโมง ร่างผมก็ถูกโยนลงรถพร้อมกับโดนเท้าและไม้กระหน่ำฟาดจนสลบไป

ผมตื่นขึ้นมาด้วยสภาพยับเยินที่โรงพยาบาล มีตำรวจสองนายสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น แต่สมองผมเบลอมึนด้วยฤทธิ์ยาหรือไม่ก็เพราะแรงปะทะจึงไม่สามารถตอบอะไรได้ ตอนที่หมอเย็บรอยแตกก็ได้แต่ชา ในหัวมึนจนไม่รู้เจ็บปวด ตาบวมจนลืมไม่ขึ้นทำให้มองอะไรไม่ชัด แล้วผมก็วูบไปอีกรอบ ตื่นมาก็พบว่าตัวเองนอนบนเตียงคนไข้ในห้องผู้ป่วยรวม พออ่านชื่อโรงพยาบาลแล้วก็ใจหายวูบ เพราะผมมาอยู่คนละมุมเมืองกับบ้านตัวเอง

ตอนกลางคืนนั้นเงียบสงบ เพราะทางโรงพยาบาลห้ามญาติผู้ป่วยนอนเฝ้า ตอนที่กึ่งหลับกึ่งตื่นผมก็กระตุกตัววูบเพราะโดนอะไรไม่รู้กดทับจนหายใจไม่ออก ผมหลับตาและสวดมนต์ในใจอย่างสิ้นหวัง ไม่รู้ว่าใครกันที่พยายามจะปิดปากผมในยามนี้

แกร๊ง... เสียงรถลากของพยาบาลที่ออกตรวจยามดึกช่วยชีวิตผมไว้ได้หวุดหวิด ผู้มาเยือนหายวับไปกับความมืดอย่างกับนินจา ผมนอนหอบหายใจโรยรินจนต้องปัดแก้วน้ำที่หัวเตียงให้ตกแตก

“เป็นอะไรคะ” เสียงพยาบาลวิ่งเอะอะเข้ามา สภาพใบหน้าผมที่ถูกหมอนปิดทับทำให้ถูกย้ายไปห้องพิเศษโดยมีตำรวจมาเฝ้าอยู่ด้านหน้า ผมตัวสั่นด้วยความกลัว มองหาข้าวของส่วนตัวก็หาไม่เจอ จึงได้นอนหลับไปเพราะยานอนหลับ

รู้สึกตัวอีกทีก็ผ่านไปอีกสามวันเห็นจะได้ อาการบาดเจ็บดีขึ้น แต่สภาพยังบวมบูดเหมือนคนเสียโฉม ผมจำอะไรไม่ได้เลย ทำให้ตำรวจไม่มีความคืบหน้าอะไรมาให้ ตอนนี้ก็เลยเหลือแค่ตำรวจมาเฝ้าตอนกลางคืนเท่านั้น ผมมีญาติ แต่ก็พึ่งพาใครไม่ได้ คงเป็นเพราะสันดานที่ไม่ดีตั้งแต่วัยรุ่น ทำให้ทุกคนต่างเอือมระอา เรื่องนี้จึงไม่มีใครรู้ ผมเก็บตัวกริบในห้องพิเศษ พอรู้สึกมีแรงก็เดินไปข้างนอกได้บ้าง ทำแบบนี้ซ้ำๆสองสามวันก็มีบิลค่ารักษาเข้ามา แต่ในนั้นไม่ใช่ชื่อผม ผมจงใจใส่ชื่อเพื่อนสมัยม.ปลายที่ตายไปด้วยอุบัติเหตุรถชนแทน ดีที่บัตรประชาชนและเอกสารอื่นๆรวมถึงโทรศัพท์มือถือผมหายไปตอนที่โดนรุม เลยทำให้ไม่มีใครสืบสาวอะไรได้ต่อ

ผมผูกมิตรกับญาติคนไข้ห้องอื่นๆด้วยเรื่องราวการถูกรุมซ้อมน่าสังเวชนี้ จนเข้าออกหลายห้องได้สบาย ในใจผมนึกถึงค่ารักษาหกหลักอย่างร้อนรน หากยังอยู่ตรงนี้ ผมคงหมดตัวเป็นแน่ ยังดีที่ผมยักยอกเงินที่หาได้มาไปซ่อนไว้หลายแห่ง เลยพอจะอุ่นใจได้ว่าช่วงนี้คงไม่อดตาย แต่แค่อยากรู้ว่าใครทำร้ายผมกันแน่

...แล้วผมก็แอบออกมาจากโรงพยาบาลในเช้าตรู่ของอีกวันหนึ่ง โดยมีโทรศัพท์มือถือและกุญแจรถยนต์ของญาติคนไข้ห้องข้างเคียงติดมาด้วย

ผมแวะซื้อซิมการ์ดใหม่ที่ร้านขายของใกล้ๆ ยังดีที่แอบฉกบัตรประชาชนและเงินมาบ้าง ด้วยใบหน้าบวมไม่เป็นรูปแบบนี้เลยทำให้คนขายไม่เทียบหน้าเท่าไหร่ หลังจากที่รีเซ็ตมือถือใหม่หมดผมก็กดเบอร์ที่คุ้นเคย

“ฮัลโหล”

“ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงไป

“ครูนุ”

“ชู่ววววว” ผมบอกให้อีกฝั่งเงียบเสียง “เป็นไงบ้าง”

“ผมสบายดี ไม่เจ็บแล้ว แล้วครูล่ะ หายไปไหนมาเป็นอาทิตย์” เสียงนั้นร้อนรนสอบถาม ผมเลยเล่าเรื่องที่เจอมาให้ฟังแบบน่าสงสารสุดๆจนอีกฝั่งร้องไห้

“ฮือ น่าจะคนของพี่ชายผม ตอนนั้นผมไข้สูงมากจนโดนพาไปโรงพยาบาล ที่บ้านเลยรู้เรื่องของเรา” ผมว่าละ...

“ตอนนี้ครูอยู่ไหนอะครับ”

“ครูยังบอกไม่ได้ เอางี้นะเจเล่ ครูต้องหลบไปซักพักก่อน คงไปหาเจเล่ไม่ได้แล้ว”

“ฮะ ฮือ ครูจะไปไหน”

“ครูไม่รู้ แต่ครูต้องหลบไปก่อน ไม่งั้นที่บ้านเจเล่มาทำร้ายครูอีก เจเล่ยอมเหรอ”

“ไม่แล้ว เจเล่ไม่อยากให้ครูเจ็บ”

“งั้นดีเลย ครูจะโทรมาถามเจเล่ว่าพอจะช่วยครูได้มั้ย ตอนนี้ครูไม่มีเงิน ไปไหนไม่ได้เลย”

“ดะ ได้ครับ เดี๋ยวผมโอนไปให้”

“อย่า... เจเล่ไปเดินห้าง xxx นะ เอาบัตรเอทีเอ็มไปหลายๆใบแล้วกดเงินออกมา อย่าลืมเอาเป้ใบใหญ่ไปด้วย กดทีละธนาคารแล้วใส่เงินไว้ในนั้น ....” ผมนัดแนะแผน และสถานที่รับของ “จำไว้นะ อย่าให้ใครจับพิรุธได้ และอย่าออกมาเจอครู ไม่อย่างนั้นครูคงไม่รอด”

“ครับ” เจเล่รับคำ ผมกระหยิ่ม อย่างน้อยก็พอจะได้ค่าเสียหายมาแหละ

หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็จอดรถไว้ที่ห้างที่นัดกันไว้ ก่อนลงจากรถผมเช็ดพวงมาลัยและเบาะจนสะอาดก่อนใส่หน้ากากปิดหน้าเดินหลบมุมไปในข้างใน ทำตัวให้กลมกลืนและไม่กระโตกกระตากจนกระทั่งได้รับข้อความว่าเงินพร้อมแล้ว ผมจึงแว้บเข้าไปเอา...

“เห้ย” เสียงนั้นตะคอกดังลั่น ผมตกใจลนลาน ก่อนวิ่งหลบเข้ามุม เด็กที่ผมจ้างให้ไปเอากระเป๋าโดนจับตัวไว้ด้วยคนของครอบครัวเจเล่ ผมมองภาพนั้นอย่างยิ้มเยาะ เพราะว่าที่นัดเอาเงินคือในรถของเจเล่เอง

“ครูนุ” น้ำเสียงดีใจนั้นดังลั่น ผมต้องบอกให้ลดเสียง

“ได้เงินมั้ย”

“ได้ครับ ประมาณสามแสน ผมไปกดมาสิบบัญชีที่หาได้เลย”

“ดีมาก ขอบใจมากนะ..” ผมรับกระเป๋าก่อนจะเดินออกมา

“ครูครับ” มือนั้นรั้ง ผมเริ่มหงุดหงิด

“ครูต้องไปละนะ จำไว้ว่าอย่าติดต่อครูอีก”

“ครับ ฮือ” เจ้าตัวร้องไห้ไปแล้ว แต่ไม่ลืมที่ผมสั่ง นั่นคือโทรศัพท์เครื่องใหม่พร้อมใช้ เรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่สนามบินดอนเมือง เสียงรถตำรวจแล่นมาแต่ไกล คงมาสืบหารถที่ผมขโมยมาและจอดไว้ที่ห้าง เมื่อหลุดจากตรงนี้ผมก็ไปถึงที่หมายและฝากเงินเข้าบัญชีเงินฝากของตัวเองด้วยเครื่องรับฝากอัตโนมัติ คงไม่ดีแน่ถ้าหิ้วเงินสามแสนขึ้นเครื่องด้วยใบหน้าแบบนี้ คนที่ทำร้ายผมคงตามกลิ่นได้ไม่ยาก เมื่อได้ตั๋วเครื่องบินไปลงที่อุดรธานีในไฟลท์ที่ใกล้ที่สุดและก็แอบเข้าไปหลบด้านใน ยังดีที่ใบหน้าผมมันบวมบูด เลยผ่านเข้ามาได้แบบงงๆ เมื่อถึงปลายทางผมเรียกแกรปจากสนามบินให้ไปส่งที่สถานีขนส่งเพื่อหารถไปที่อื่น ป้องกันการตามกลิ่น เมื่อขึ้นรถได้ในคืนนั้นผมก็โล่งใจ เพราะการตามหาคงสิ้นสุดที่อุดรธานีนั่นเอง

อีกหลายสิบชั่วโมงต่อมาผมก็มาถึงที่หมาย สถานีขนส่งอาเขต จ.เชียงใหม่ยังเต็มไปด้วยผู้คน เมื่อคืนผมถอนเงินมาได้ร่วมห้าหมื่น เลยสามารถหารถเช่าด้วยบัตรประชาชนปลอมและขับไปจอดที่เซ็นทรัลแอร์พอร์ตใกล้กับสนามบิน และหาชุดเปลี่ยนแล้วขึ้นรถเหลืองมุ่งไปในที่ๆคุ้นเคยโดยไม่ลืมโทรให้บริษัทรถเช่ามารับรถที่จอดทิ้งไว้

อากาศสดชื่นของชนบทยังดีอยู่ ผมไม่ใช่คนเชียงใหม่ แต่เคยมาเรียนที่นี่เพิ่งจบเมื่อสี่ปีแล้วนี้เอง ตอนที่ปอกลอกเงินจากน้องเจเล่ได้ ผมก็เกิดปิ๊งไอเดียนี้ขึ้นมา ... ใช่ครับ ผมไม่ได้เข็ดหลาบอะไร การที่ผมถ่อสังขารมาถึงที่นี่ ก็เพราะผมมีเป้าหมายอื่นแล้วนั่นเอง

บ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่าของเพื่อนสมัยเรียนปิดสนิท ผมเจอกับมันตอนที่เข้าชมรมฟุตบอลเลยสนิทกัน มันเรียนหมอ ผมเรียนศึกษาศาสตร์ ถึงจะต่างกันมาก แต่เราก็สนิทกัน จนเรียนจบไปก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก ที่สำคัญ ผมจากมันไปไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากวันเลี้ยงส่งปีสี่ เราไปกินเหล้ากันจนเช้า แล้วตื่นมาผมก็พบว่ามันกำลังดูดเอ็นผมอยู่... แล้วนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เจอมัน

สันดานคนเลวอย่างผมสอนให้ใจเย็น หลังจากที่เร่ร่อนตั้งแต่กรุงเทพไปถึงอุดรแล้วต่อมาถึงนี่ก็ทำให้เมื่อยล้าจนเผลอหลับไปที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้าน จนกระทั่งมีมือใครสักคนมาสะกิด ผมถึงได้สะดุ้งตื่น

“ไอ้นุ” เจ้าของบ้านมีสีหน้าประหลาดใจอย่างปิดไม่มิด ผมงัวเงียขยี้ตาและตอบกลับไป

“เออ กูเอง”

“มึงไปทำอะไรมาวะ หน้ามึง” นั่นเป็นสิ่งแรกที่มันทัก ผมเลยกุเรื่องมาเล่าให้มันสงสารว่าโดนเจ้าหนี้ตามเพราะไปกู้เงินให้เมียเก่าไปทำธุระกิจแต่ก็เจ๊งไม่มีเงินไปคืน แถมยังเลิกกันอีก เลยต้องหนีมา

“...กูไม่รู้จะไปพึ่งใครที่ไหน นึกถึงแต่มึงนี่แหละ” หวังว่ามันคงเชื่อนะครับ ผมอ่านชื่อที่เสื้อกาวน์ของมันอย่างคุ้นเคย นายแพทย์อมร ปัญญาเด่น โรงพยาบาล xxx

“เป็นหมอแล้วเท่ห์ชิบหายเลยนะมึง”

“อื้อ” มันตอบแบบเขินๆ “เข้าบ้านก่อนสิ” ผมเดินตามมันต้อยๆเข้าไปข้างใน แม่เจ้า....นี่บ้านหมอบ้านนอกจริงเหรอวะ อุปกรณ์ทุกอย่างครบครัน แถมยังน่าอยู่ชิบหาย

“ขอบใจมากนะมึงที่ช่วย”

“กูช่วยมึงได้ แต่คงให้มึงอยู่ด้วยไม่ได้หรอกนะ”

“อ้าว ทำไมวะ” ผมใจแป้ว

“มึงไม่กลัวเหรอว่าเจ้าหนี้มึงจะตามมาเจอ สภาพมึงก็ใช่ว่าจะไม่เด่น” ผมลูบหน้าอย่างครุ่นคิด หน้าเป็นแผลและเดินทางร่อนไปมาแบบนี้ ไม่ช้าไม่นานก็ต้องสืบเจอ

“เออว่ะ กูลืมคิดไป นี่กูหาเรื่องเดือดร้อนให้มึงชัดๆ”

“อย่าคิดมาก คืนนี้นอนนี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยไป” อ้าว ชิบหาย...กูกะจะมาพึ่งพามึง ดันไล่กูซะละ ผมกำหมัดแน่นเลยครับ นึกอยากให้หน้าหล่อๆตัวเองกลับมาจัง...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด