ตอนที่แล้วบทที่ 67 สุสานแม่ม่าย 3
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 69 สุสานแม่ม่าย 5

บทที่ 68 สุสานแม่ม่าย 4


มันเหมือนว่าฉันได้ตกลงมาหลายชั่วโมงในขณะที่ถูกกระแทกระหว่างหินต่างๆที่ตกลงมาพร้อมกับฉัน ฉันก็กางแขนและขาพยายามหาอะไรมาคว้าเพื่อหยุดตัวเองไม่ให้กระเด็นไปมาอีก ความเร็วที่ฉันหล่นลงไปทำให้ฉันไม่สามารถทรงตัวได้ด้วยตัวเอง แต่โชคดีที่มือขวาของฉันยังสามารถจับรากต้นไม้ที่ยื่นออกมาได้ น่าเสียดายที่นั่นเป็นแขนที่หลุดจากไหล่ไปเมื่อไม่นานดังนั้นการเขย่าอย่างกะทันหันได้ส่งความเจ็บปวดอย่างรุนแรงมาที่แขนของฉันทำให้ฉันอยากที่จะล้มลงไปกองกับพื้นเสียมากกว่า

ห้อยลงด้วยแขนขวาของฉันอย่างช่วยไม่ได้ ฉันรู้สึกราวกับว่าแขนของฉันกำลังจะฉีกออกเมื่อใดก็ได้ ฉันส่งกระแสทางจิตไปยังซิลวีอย่างหมดหวัง

'ซิลวีเธออยู่ที่นั่นหรือเปล่า? ฉันหล่นลงลึกลงไปเล็กน้อย แต่ฉันก็ยังโอเค เธอรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน?'

ฉันรออยู่สักครู่แต่ก็ไม่มีการตอบสนองกลับมา ฉันสัมผัสเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉันเริ่มกังวลทันทีว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ แต่เมื่อราชินีสแนร์เลอร์นั้นตายไปแล้วและตัวที่เหลือก็ติดอยู่ในดันเจี้ยนใต้ดินจึงไม่น่าเป็นไปได้ มันสมเหตุสมผลมากกว่าที่จะสรุปว่าฉันอยู่ไกลเกินไปหรือว่าพื้นที่นี้ถูกปิดผนึกจากภายนอกหรือพูดให้ถูกก็คือพื้นผิว

จากขอบเขตการตกของฉัน ฉันสงสัยว่าฉันอยู่ตรงพื้นใดที่อยู่ด้านล่าง มันทำให้ฉันสงสัยว่าการระเบิดได้เปิดสร้างเส้นทางลับไปยังห้องใดที่หนึ่งในดันเจี้ยนหรือเปล่า

เมื่อนึกย้อนไปถึงการระเบิดที่เกิดจากราชินีกลายพันธุ์ฉันก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่ามันแปลกแค่ไหน แรงระเบิดนั้นรุนแรงมาก แต่ฉันรู้สึกได้ว่าแรงระเบิดนั้นจะไม่ใช่มีไว้สำหรับฆ่าใครก็ตามที่อยู่ใกล้มัน หากเป็นเช่นนั้นร่างกายของฉันพร้อมกับศาสตราจารย์กลอรี่คงจะอยู่ในสภาพที่แย่กว่าตอนนี้มาก

“อ๊าก” ฉันคร่ำครวญขณะที่ห้อยแขนที่อ่อนปวกเปียกและรู้สึกว่าตัวเองกำลังสูญเสียการยึดเกาะ ฉันหายใจเร็วๆ สองสามครั้งเพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมก่อนที่ฉันจะใช้กำลังที่เหลืออยู่ดึงตัวเองขึ้นมาและใช้แขนซ้ายประคองแทน

ฉันทนกัดฟันต่อต้านที่จะปล่อยมือและไม่ยอมให้มันขึ้นอยู่กับพระเจ้าหรือเทพเจ้าใดๆ ก็ตามที่พวกเขาเคารพบูชาในโลกนี้ถ้าหากพวกเขามี

หลังจากประเมินสภาพร่างกายของฉันอย่างรวดเร็วซึ่งอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างดีนอกจากไหล่ขวาของฉัน ฉันพยายามสำรวจสภาพแวดล้อมของฉันแต่สิ่งที่ฉันเห็นคือความมืดเท่านั้น มันง่ายๆก็แค่ความมืด มันเป็นสีดำสนิท ความรู้สึกเดียวกันกับตอนคุณหลับตาอย่างแรงจนดูเหมือนว่ามีแสงต่างๆสาดส่องอยู่รอบๆในการมองเห็นของคุณหรือความรู้สึกที่ไม่ว่าคุณจะเหล่ตาแค่ไหนดวงตาของคุณก็ปรับสภาพไม่ได้นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้สึกในตอนนี้

ในขณะที่ฉันเปิดใช้งานการหมุนของมานาของฉัน ฉันเริ่มกระจายมานาที่ครอบคลุมร่างกายของฉันไปที่แขนซ้ายเท่านั้น ฉันต้องใช้ “เวลาพัก” นี้เพื่อรวบรวมมานาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันเพิ่มมานาเพียงเล็กน้อยในสายตาของฉันด้วยความหวังที่จะเห็นบางสิ่งบางอย่างได้แต่รางวัลที่ฉันได้รับเป็นเพียงแค่ความมืด

ฉันไม่ได้ตาบอด…ใช่มัย? ฉันอดไม่ได้ที่จะคิดกับตัวเองในขณะที่ฉันเสริมมานาไปที่ตาอีกครั้ง

เพื่อปลอบความกังวลที่ไม่จำเป็นของฉัน ฉันได้ฝ่าฝืนกฎพื้นฐานที่สุดข้อหนึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ ฉันจุดไฟเล็กๆที่ปลายนิ้วชี้ขวาของฉัน

เมื่อมองไปที่การสั่นไหวของไฟสีแดงและสีส้มที่อบอุ่นบนปลายนิ้วของฉัน ฉันหายใจด้วยความโล่งอกก่อนที่จะดับเปลวไฟนั้น

ในขณะที่การมองเห็นเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งสุดท้ายที่ฉันจะทำในที่มืดเช่นนี้คือการดึงดูดความสนใจมาที่ตัวเอง ตอนนี้ศัตรูที่นี่ได้รู้ตำแหน่งของฉันแล้วฉันจำเป็นต้องย้ายตำแหน่งทันที

เนื่องจากฉันมองไม่เห็นฉันจึงใช้ลมในการรับรู้ประเภทของพื้นที่ที่ฉันอยู่ในตอนนี้ ฉันไม่รู้ว่าช่องที่ฉันอยู่นั้นแคบหรือกว้างแค่ไหน แต่ฉันคิดว่ามันไม่ได้กว้างเกินไปเพราะฉันเดินชนเข้ากับวัตถุเพียงไม่กี่ชิ้นในระหว่างทางในขณะที่หล่นลงมา

เมื่อปล่อยลมสั้นๆออกมาในระยะทางที่เท่าๆกันรอบๆตัวฉัน ฉันคิดว่าพื้นที่นี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 เมตร อย่างไรก็ตามส่วนที่น่ากลัวที่สุดก็คือฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ไกลแค่ไหนและต้องลงไปลึกอีกเท่าไหร่จนกว่าฉันจะมีพื้นให้เดินต่อ

สิ่งที่ต้องตัดสินใจในตอนนี้คือจะลองปีนกลับขึ้นไปหรือเดินลงไป จากที่ฉันหล่นลงมาและจากเศษซากอื่นๆที่ตกลงมาพร้อมกับฉันโอกาสที่ทางออกด้านบนน่าจะถูกปิดไว้แล้ว โดยที่ซิลวี่ไม่ตอบกลับจากภายนอกฉันไม่มีทางรู้เลยว่าเธอจะเปิดทางออกให้ฉันได้หรือไม่

นั่นทำให้ฉันต้องเดินทางลงไปเท่านั้น

ฉันถอนหายใจ

ไม่ว่าฉันจะมีเหตุผลและมีจิตใจสงบแค่ไหนฉันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลกับสถานการณ์แบบนี้ ยิ่งกว่านั้นสิ่งอันตรายที่อยู่ตรงหน้าฉันและการที่ฉันมองไม่เห็นอะไรหรือสัมผัสได้ถึงชีวิตใดๆได้ทำให้ฉันหงุดหงิดมากขึ้น ก่อนหน้านี้ที่เหล่าสแนร์เลอร์อยู่ข้างหน้าเราฉันรู้ว่าฉันต้องทำอะไรและคิดได้ว่าจะจัดการกับพวกมันอย่างไร ตอนนี้ฉันไม่สามารถจินตนาการหรือคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า มันทำให้ฉันเครียดมากยิ่งขึ้น

เมื่อเพิ่มมานาทั้งสองมือของฉันด้วยมานาคุณสมบัติของดินฉันสามารถฝังมือของฉันลงไปที่ด้านข้างของหลุมที่มีลักษณะคล้ายก้นเหวขนาดยักษ์เพื่อสร้างที่จับสำหรับตัวฉันเอง ฉันทำตัวเองให้ราบไปด้านข้างโดยใช้มือทั้งสองข้างล้วงเข้าไปในผนังเพื่อไม่ให้ตัวเองล้ม

ด้วยการเคลื่อนไหวที่มั่นคงฉันดึงมือที่เสริมมานาของฉันออกจากด้านข้างของผนังกำแพงและปล่อยให้ตัวเองหล่นลงก่อนที่ฉันจะใช้มือของฉันแทงเข้าไปในผนังอีกครั้งเพื่อที่จะหยุดมัน ฉันทำอย่างนี้ไปเรือยๆและทำให้ฉันเคลียดทุกๆครั้งที่ต้องเอาแขนของฉันแทงไปที่ผนัง แต่นี่จะเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการลดระดับลงไปขั้นล่าง

จับ, ปล่อย, จับ, ปล่อย, จับ, ปล่อย ฉันต้องรักษาตัวเองให้ราบเพื่อที่จะได้ไม่อยู่ห่างไปจากผนังกำแพง ฉันไม่สามารถปล่อยมือได้นานเกินไปก่อนที่ฉันจะจับผนังอีกครั้งเพราะมันจะอันตรายมากที่จะพยายามชะลอตัวลงหลังจากเร่งความเร็วมากเกินไป

ฉันปล่อยลมออกไปเรือยๆเพื่อตรวจดูว่าฉันต้องลงไปอีกไกลแค่ไหน แม้จะจับและปล่อยไปเรือยๆเป็นเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงตามนาฬิกาภายในของฉัน ฉันก็ยังไม่รู้สึกว่าก้นดันเจี้ยนจะอยู่ใกล้ฉันเลย

ไอ้ดันเจี้ยนเชี้ยนี้มันลึกแค่ไหนกันนี้? ฉันพยายามที่จะไม่ระบายความขุ่นมัวของฉันออกไปและปล่อยให้คำพูดโผงผางอยู่ในหัวโดยใช้คำพูดที่แม้แต่พวกผู้ใหญ่ที่หยาบคายที่สุดก็ยังมองว่ามันไม่เหมาะสม

ฉันรู้ว่าทุกคนเคยเตือนนักผจญภัยเกี่ยวกับอันตรายและความไม่แน่นอนของการเข้าไปยังในดันเจี้ยน แต่ทั้งสุสานไดเออะและแม้แต่ดันเจี้ยนระดับต่ำนี้ก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามันทำให้ฉันเดือดร้อนมากกว่าครั้งที่ฉันออกผจญภัยกับจัสมินโดยที่ไม่ใช้เวทมนตร์อีก

ฉันหมายความว่าโอกาสจะมี่สักกี่ครั้งกันที่ดันเจี้ยนคลาส D ซึ่งคาดว่าจะเต็มไปด้วยมอนสเตอร์ระดับ E แต่กลับเจอกับกองทัพที่บ้าคลั่งต้อนรับพวกเราที่ชั้นแรก?

พวกมินเนี่ยนสแนร์เลอร์ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดนั้นถ้าหากจะพูดตามตรง พวกเราโง่เองที่ใช้เวทมนตร์ธาตุไฟมากเกินไปในขณะที่เราไม่มีช่องระบายอากาศ แต่ฉันก็จัดการพวกมันส่วนใหญ่ได้โดยไม่ต้องใช้มานา

ราชินีที่กลายพันธุ์นั้นแหละที่เป็นปัญหา เธอแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง? เป็นเพราะเธอกินราชินีอีกตัวหรือเปล่า? เป็นไปได้หรือที่พวกมันจะได้รับการเพิ่มพลังในทันที่แบบนั้น?

ในขณะที่ฉันยังคงซักถามกับตัวเองเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ฉันก็ยังคงจับและปล่อยกำแพงหินที่ไม่ใครจะรู้ว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนไปเรือยๆ

ฉันปล่อยผนังแล้วจับเวลาตัวเองก่อนที่จะฝังมือที่เสริมมานาของฉันเข้าไปในผนังอีกครั้ง อย่างไรก็ตามมือของฉันไม่สามารถแทงเข้าไปข้างในผนังได้

“เหี้ยอะไรนี้…!”

ฉันพยายามแทงไปที่ผนังกำแพงอย่างหมดหวัง แต่ถึงแม้จะมีการเสริมมานาที่มือของฉัน ฉันก็ไม่สามารถทำให้ผนังเป็นรอยได้

พื้นผิวของผนังแตกต่างกันมากในตอนนี้ มันเรียบ - มันเรียบเนียนเกินไปจนดูไม่เป็นธรรมชาติ

ฉันเร่งความเร็วในขณะที่พยายามฝังนิ้วของตัวเองเข้ากับผนังอย่างไม่ลดละ

วิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล

ฉันระมัดระวังและลดการส่งเสียงให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในขณะที่ฉันยังคงหล่นลงมา ฉันปล่อยจังหวะของลมรอบๆตัวฉันเป็นจังหวะเพื่อเป็นการสะท้อนชั่วคราว ด้วยการส่งคลื่นที่แผ่วเบาออกไปและวัดว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนก่อนที่มันจะกระทบกับพื้นผิว ฉันสามารถระบุตำแหน่งที่ตั้งหลักที่เป็นไปได้และจดจำอยู่ในหัวของฉันเพื่อหาทางลงจอด

ฟังดูแล้วง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก ในทางทฤษฎีอาจจะทำได้ก็จริงแต่การลองทำโดยไม่มีการฝึกฝนนั้นพิสูจน์ว่ามันยากกว่าที่ฉันจินตนาการเอาไว้ มีหินที่เกาะอยู่ตามผนังที่ฉันสามารถใช้ทดลองในการฆ่าตัวตายได้แต่เทคนิคการตรวจหาตำแหน่งชั่วคราวของฉันก็ยังไม่แม่นยำเท่าที่ฉันคิดไว้

ฉันพลาดที่จะยึดหินที่อาจช่วยลดความเร็วไปอย่างหวุดหวิดและมันก็ยากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อฉันเร่งความเร็วจากการหล่น

โชคดีที่ฉันยังไม่รู้สึกว่าก้นหลุมจะอยู่ใกล้ๆ ฉันเลยมีเวลา แต่ถ้าฉันหล่นลงไปเร็วกว่านี้แม้ว่าฉันจะคว้ารากไม้ได้ฉันก็ไม่แน่ใจว่าแขนของฉันจะรับแรงกระแทกจากการหยุดกะทันหันไหวหรือเปล่า

ในขณะที่ฉันคลำแขนกับผนังกำแพงต่อไปเพื่อค้นหาสิ่งที่อาจชะลอหรือหยุดการหล่นของฉันในที่สุดฉันก็รู้สึกได้ถึงพื้นที่อยู่ข้างล่าง

ให้ตายเถอะ…นี่มันไม่ดีเอาเสียเลย

ฉันมีเวลาอีกประมาณ 200 เมตรก่อนที่ร่างกายของฉันจะกระแทกลงบนพื้นดิน นั่นทำให้ฉันเหลือเวลาอีกประมาณ…หกวินาที?

ซวยได้ทุกเรื่องจริงๆ

ฉันหมุนตัวไปเพื่อให้กำแพงอยู่ทางด้านหลังของฉัน ฉันรวบรวมมานาทั้งหมดที่ฉันสะสมไว้จนถึงตอนนี้ จะใช้เวลาประมาณ 4 วินาทีในการโฟกัสมานาให้เพียงพอในการร่ายคาถา

กระสุนลม ฉันเหยียดแขนออกไปข้างหน้าฉันและปล่อยกระสุนอัดอากาศขนาดเท่ากำปั้นไปอีกด้านหนึ่งของหลุมยักษ์ที่ฉันอยู่

หากฉันสร้างแรงกระแทกได้มากพอที่จะดันตัวเองเข้ากับกำแพงฉันจะสามารถชะลอตัวลงได้มากพอที่จะรอดจากการหล่นนั้น ฉันไม่ได้สนใจเรื่องการลดเสียงอีกต่อไปแล้ว

กระสุนปืนดังขึ้นเมื่อชนเข้ากับกำแพงห่างจากฉันประมาณ 10 เมตรร่างกายของฉันกดเข้ากับผนังกำแพงแรงขึ้นและแรงขึ้น ฉันไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากกัดฟันขณะที่ฉันรู้สึกว่าเครื่องแบบและผิวหนังของฉันไหม้เนื่องจากเกิดการเสียดสี

ฉันรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังเข้าผลกระทบของการใช้มานามากไปแต่ฉันก็ปล่อยมานาทั้งหมดที่ฉันสามารถรวบรวมได้ในขณะที่ใช้การหมุนของมานา ในขณะที่กระสุนอากาศยังคงปะทะกับอีกด้านและผลักฉันกลับเข้าไปในกำแพงที่เรียบหนักขึ้นไปเรื่อยๆ ฉันก็เข้าใกล้ถึงพื้นดิน

50 เมตร…

40 เมตร…

20 เมตร…

ฉันเห็นแสงจางๆ !

10 เมตร…

5 เมตร…

“อ๊ากกกก !!” ฉันรู้สึกว่าตัวเองเริ่มชะลอตัวและช้าลงขณะที่อาการปวดแสบปวดร้อนที่แล่นผ่านแผ่นหลังของฉันเริ่มชา

สองเมตรก่อนที่ฉันจะถึงพื้น ฉันปล่อยแรงอัดอากาศก้อนใหญ่ออกที่ด้านล่างของฉัน

ดวงตาของฉันปูดและเสียงเดียวที่ฉันทำได้คือไออย่างเจ็บปวดเมื่อฉันกระแทกเข้ากับพื้นดินเป็นแนวตรง

ฉันกลิ้งไปมาโดยเร็วที่สุดและพยายามกระจายแรงกดทับออกไปให้มากที่สุด แต่ก็ไม่เพียงพอ

หัวของฉันหมุนและฉันพยายามตั้งสติขณะที่การมองเห็นของฉันเริ่มพร่ามัว

วิสัยทัศน์ของฉัน!

ขณะที่ฉันเงยหน้าขึ้นจากพื้น มีแสงไฟจางๆส่องสว่างไปทั่วทำให้การมองเห็นที่พร่ามัวของฉันสามารถรับรู้ได้ว่าฉันอยู่ที่ไหน ดูเหมือนว่าฉันจะอยู่ในทางเดินที่มีแสงไฟเล็กๆอยู่ด้านข้าง ไกลออกไปจากห้องโถงมีแหล่งแสงที่สว่างกว่า

“ใครอยู่ตรงนั้น” เสียงของผู้หญิงสะท้อนกลับมา

เมื่อฉันอ้าปากฉันทำได้แค่ไอออกมา

ฉันพยายามตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ตกใจ แต่อีกครั้งเสียงของฉันก็ไม่ยอมออกมา

“ได้โปรด…ฉันต้องการความช่วยเหลือ” เธอพึมพำ

ฉันลองอีกครั้งแต่ก็ไม่มีอะไรออกมาในขณะที่การมองเห็นของฉันยังคงเลือนลาง ฉันพยายามลุกขึ้นยื่นแต่ล้มเหลวอย่างที่สุด

“…รอเดี๋ยวนะ…” น้ำเสียงของฉันแหบพร่าและอ่อนแอ แต่เธอได้ยินฉัน

ฉันได้ยินเสียงหายใจที่รุนแรงจากเธอก่อนที่เธอจะตอบกลับด้วยเสียงที่อ่อนแรง“โอเค”

เจตจำนงมังกรของซิลเวียเริ่มทำงานอย่างมหัศจรรย์เมื่อฉันรู้สึกว่าร่างกายกำลังเริ่มรักษาตัวเอง หลังของฉันไหม้เกรียมจากการไถลไปตามกำแพงและขาของฉันก็รู้สึกเหมือนจะถูกฉีกออกจากกันและถูกพันกลับเข้าหากัน แต่ฉันก็สามารถยืนขึ้นได้ภายในสามสิบนาที

เมื่อมองไปรอบๆจุดที่ฉันลงจอด ฉันก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาในความมืดมิดที่ปรากฏเหนือฉันจากที่ที่ฉันมาจาก รอบๆตัวฉันมีก้อนหินแตกกระจายอยู่เต็มไปหมดและฉันเห็นสิ่งที่ฉันคิดว่าแขนขาของราชินีสแนร์เลอร์ที่ระเบิดด้วย ใกล้ๆกับซากแขนนั้นดวงตาของฉันก็สังเกตเห็นแสงสะท้อนที่มาจากใต้เศษหิน

ฉันเดินไปทางนั้นช้าๆ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของฉันเมื่อฉันรู้ว่ามันคืออะไร ดาบของฉันนิ! ดอนบัลลาดเพื่อนเก่าของฉันได้ถูกค้นพบและกลับเข้าไปในวงแหวนมิติของฉันอย่างปลอดภัยหลังจากขุดและดึงมันออกมาจากกองหินที่ทับมันอยู่ ฉันใส่แขนขาที่ฉีกขาดของราชินีสแนร์เลอร์กลายพันธุ์ไว้ในแหวนมิติของฉันด้วยโดยหวังว่าจะศึกษามันเมือฉันออกไปจากดันเจี้ยนนี้

เมื่อคิดในแง่ดีฉันก็ตระหนักว่าฉันไม่ได้มีสภาพที่แย่เกินไป ฉันสามารถทำให้ตัวเองชะลอช้าลงได้มากพอดังนั้นกระดูกของฉันเลยไม่ได้หัก แรงกระแทกแล่นผ่านกระดูกสันหลังและทำให้สมองของฉันสั่นทำให้ฉันเกือบจะหมดสติ แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์แล้วฉันรู้สึกว่ามันอาจจะแย่กว่านี้มาก ตอนนี้มานาของฉันเริ่มฟื้นตัวและเมื่อขาของฉันทำงานได้ฉันจึงเดินไปหาเสียงที่ดูเหมือนจะเงียบไปแล้ว

"สวัสดี?" ฉันเดินผ่านทางเดินโดยใช้กำแพงเป็นตัวประคอง

"ฉันอยู่นี่" เสียงนั้นดูอ่อนลงกว่าเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนด้วยซ้ำ

ฉันเดินไปทางสว่างที่ปลายสุดของห้องโถงฉันร้องเรียกเธออีกครั้ง

เมื่อฉันมาถึงปลายอุโมงค์การมองเห็นของฉันก็ใช้เวลาอยู่สองสามวินาทีในการปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลงของความสว่างหลังจากคุ้นเคยกับความมืดมานาน

“นี่…ทาง…นี้”

“…”

ก่อนที่ฉันจะตอบกลับไปฉันเกือบจะล้มลงเมื่อฉันสะดุดด้วยความสยองขวัญจากสิ่งที่ฉันเห็น

ซากสงครามที่สร้างขึ้นโดยซากศพนับร้อยที่กระจัดกระจายและกองทับกันจนดูเหมือนว่ามันมาจากหนังสือภาพสำหรับเด็กทำให้ฉันไม่สามารถละสายตาออกไปจากฉากนี้ได้เลย

ศพ...ซากศพของมนุษย์เอลฟ์และคนแคระนอนตายและบางส่วนก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆซึ่งอาจถือได้ว่ามันสวยงามหากมองเป็นศิลปะ

มอสสีเขียวที่เหมือนหญ้าที่แผ่กระจายไปทั่วพื้นดินถูกย้อมให้กลายเป็นสีแดงในขณะที่กระแสน้ำที่ไหลผ่านถ้ำมีร่างลอยและเลือดกระจายอยู่รอบๆ

มีศพราวๆสี่สิบถึงห้าสิบศพกระจายอยู่ในถ้ำพร้อมกับอาวุธของพวกเขาข้างๆตัวพวกเขา ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับร่างกายของพวกเขาเผยให้เห็นถึงความทรมานเนื่องจากบางคนแขนขาขาดออกจากกันและคนอื่นๆก็มีบาดแผลทั่วร่างกายที่ไร้หัว

ฉันได้ยินเสียงไอของเธออีกครั้ง "คุณยังอยู่ที่นั่นไหม?" เสียงที่อ่อนแอดังมาจากทางซ้ายของฉัน

“ฉันมองไม่เห็น…โอ้…” หัวใจของฉันหล่นวูบจนทำให้ฉันพูดไม่จบประโยค

ผู้หญิงที่นอนพิงกำแพงที่ถ้ำน่าจะอยู่ในสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่าซากศพที่กระจายอยู่รอบๆเสียอีก

ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้จะเป็นเอลฟ์ แขนขาเกือบทั้งหมดของเธอถูกฉีกออก ที่แขนขวาและขาทั้งสองข้างของเธอถูกปิดผนึกอย่างโหดเหี้ยมด้วยการถูกเผา ดวงตาของเธอหายไปเลือดแห้งที่ไหลลงมาจากที่ดวงตาของเธอเปื้อนแก้มของเธอ ในช่องท้องของผู้หญิงคนนั้นตรงแกนมานาของเธอมีเหล็กแหลมสีดำเงาเสียบทะลุเธอและปิดผนึกเธอ

“คุณ…” ฉันย่อตัวลงคุกเข่าต่อหน้าเธอขณะตรวจสอบเธอ ฉันมองไปที่เธออย่างระมัดระวังฉันรู้สึกเหมือนเคยเห็นเธอที่ไหนสักแห่ง ฉันไม่มั่นใจนักแต่ฉันก็เริ่มที่จะจำใบหน้าของเธอได้ ฉันเจอเธอที่ไหนนะ...

เหล่าหกแลนซ์ไง … หกแลนซ์! เธอเป็นหนึ่งในหกนักเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในไดคาเธนที่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของทวีป

“คุณเป็นหนึ่งในหกแลนซ์นิ!” ฉันอดไม่ได้ที่จะพ่นออกมา

“ใช่ฉันเป็น…” เธอถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า

“หากคุณจะถาม…ถ้าคุณจะถามฉันว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ในสถานะนี้ได้อย่างไรนั่นเป็นเพราะเขายอมปล่อยให้ฉันอยู่รอดแบบนี้” คิ้วของเธอขมวดมุ่นและเลือดแห้งที่หว่างเปลือกตาของเธอก็เริ่มแตกหักและปล่อยให้มีเลือดไหลออกมาจากที่ที่ดวงตาของเธอเคยอยู่

"เขาหรือ?" ฉันรู้สึกเหมือนกำลังถามคำถามโง่ๆ แต่ฉันกำลังสับสนมาก

“ใช่เขา เขาเรียกตัวเองว่าวิทรา” ด้วยมือซ้ายของเธอซึ่งเป็นแขนขาเดียวที่เธอเหลืออยู่เธอค่อยๆเอื้อมไปหาอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างหลังเธอแล้วดึงมันออกมา

ภายในมือของเธอมีเศษหินสีดำเงาบางอย่าง เมื่อฉันเหล่ตาและวิเคราะห์มัน ทันใดนั้นฉันก็นึกถึงตอนที่ฉันอยู่กับซิลเวีย

ในขณะที่ความทรงจำคลิก ชิ้นส่วนต่างๆก็รวมเข้าด้วยกันในหัวของฉัน มือของฉันบีบแน่นรอบชิ้นส่วนสีดำขณะที่ร่างกายของฉันเริ่มสั่นด้วยความโกรธ

ฉันจำได้ว่าทำไมหินสีดำนี้ถึงดูคุ้นเคยมาก

มันเป็นส่วนเขาของปีศาจเขาดำที่ซิลเวียปลอมตัวเป็นครั้งแรกและยังเป็นเผ่าพันธุ์ที่ลงมือฆ่าเธอ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด