ตอนที่แล้วบทที่ 64 ทัศนศึกษา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 66 สุสานแม่ม่าย 2

บทที่ 65 สุสานแม่ม่าย


“พี่ชาย! ตื่นได้แล้ว!!” เสียงน้องสาวของฉันดังเข้ามาในหัวของฉันขณะที่เธอกรีดร้องเต็มปอดของเธอตรงข้างหูของฉัน

"อะไร? เกิดอะไรขึ้น?" ตาของฉันยังคงปิดอยู่ครึ่งหนึ่งฉันส่ายหัวไปมาเพื่อดูว่ามีเหตุฉุกเฉินหรือไม่

“เชอะ! พี่นี้มีนิสัยในการนอนที่แย่มากๆเลย” เอลลีอาจจะตื่นขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้เห็นได้ชัดจากผมของเธอ

“ฮ่าฮ่ผมของน้องดูตลกจัง” ฉันยิงยิ้มให้เธอขณะที่ฉันขยุ้มหัวของเธอ

“เอิ๊ก! หยุดนะ! ผมของพี่ก็ดูตลกเหมือนกันแหละ!” น้องสาวของฉันวิ่งออกจากห้องโดยกระโดดออกจากห้องและเตือนให้ฉันอาบน้ำ

“ครับผม!” ฉันตอบกลับน้องสาวอย่างเกินจริงเกินจังทำให้เธอหัวเราะคิกคักก่อนที่จะลงไปชั้นล่าง

ซิลวี่ตื่นขึ้นเพราะเสียงตะโกนของน้องสาวของฉัน แต่ตาของเธอยังคงกะพริบอย่างช้าๆขณะที่เธอเดินตามหลังฉันเซไปเซมา

หลังจากอาบน้ำฉันตรวจดูให้แน่ใจว่าฉันไม่ได้ลืมที่จะนำของที่จำเป็นไปด้วย สิ่งนี้รวมถึงสร้อยข้อมือของฉันแหวนมิติของฉันที่มีดอนบัลลาดเก็บไว้ข้างใน แหวนอีกวงที่ใช้เพื่อส่งสัญญาณให้แม่ของฉันทราบว่าฉันมีปัญหาหรือไม่และก็ขนของซิลเวียที่ฉันใช้เพื่อปกปิดตราประทับในการทำสัญญากับซิลวีไว้ที่แขน

ขนนกนั้นจริงๆแล้วไม่ได้ถูกใช้เพื่อปกปิดรอย แต่ฉันอยากจะเก็บไว้เป็นของที่ระลึกติดตัว การได้มีของของซิลเวียติดตัวอยู่กับฉันมันทำให้ฉันรู้สึกสบายใจเสมอ

เมื่อเดินลงไปข้างล่างจมูกของฉันก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของซุปเนื้อ เมื่อฉันไปถึงห้องครัวฉันเห็นพ่อแม่และน้องสาวตัวเล็กนั่งอยู่รอบๆโต๊ะ ความง่วงยังคงปรากฏให้เห็นอยู่บนใบหน้าของพวกเขาจากการตื่นแต่เช้าตรู่

“หวังว่าลูกจะไม่รังเกียจนะ เชฟเป็นคนทำอาหารเช้าให้ลูก พวกเราอาจจะกลับไปนอนอีกทีหลังจากที่ส่งลูกแล้ว” แม่ของฉันยิ้มให้ฉันอย่างเหนื่อยล้า

ฉันดึงเก้าอี้ขึ้นมานั่งข้างๆเอลลี "ไม่เลย อันที่จริงแม่ไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าเพื่อมาส่งผมเลย”

“ระวังให้ดีนะไม่ว่าลูกจะเห็นว่าดันเจี้ยนนั้นง่ายแค่ไหนก็ตาม มันถูกเรียกว่าดันเจี้ยนเพราะไม่มีใครรู้ว่ามันอันตรายขนาดไหนเมื่อเข้าไปข้างใน” พ่อของฉันเตือนฉันขณะที่ผมของเขาลุกตั้ง

เมื่อมองไปที่แม่ของฉันความตึงเครียดบนใบหน้าของเธอนั้นยากที่จะไม่สังเกตเห็น ในขณะที่เธอพยายามดิ้นรนเพื่อหาคำพูดที่เหมาะสม “…โปรดระวังตัวด้วยนะอาเธอร์ แม่รู้ว่าลูกแข็งแกร่งแค่ไหน แต่แม่ทนไม่ได้ที่เห็นลูกบาดเจ็บกลับมาทุกครั้ง แม่ก็แค่…” เสียงของเธอแผ่วเบาในตอนท้าย

“หืม?” ความคิดของฉันย้อนกลับไปถึงสิ่งที่พ่อของฉันพูดในห้องพยาบาลที่สถาบันไซรัส; เหตุที่ทำให้เธอไม่สามารถรักษาคนที่มีอาการบาดเจ็บสาหัสได้อีกต่อไป

“ไม่มีอะไร ขอให้ลูกเดินทางปลอดภัยนะ… และดูแลเด็กผู้หญิงคนนั้นด้วยเทสเซียใช่มั้ย ลูกต้องปกป้องเธอถ้าหากมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นโอเคมั้ย?” แม่ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ฉัน เธอเอื้อมมือไปข้างหน้าและตบหัวฉันเบาๆ

พ่อครัวประจำบ้านเสิร์ฟอาหารให้ฉัน มันประกอบไปด้วยขนมปังแห้งและซุปครีมที่ฉันคิดว่าใช้จุ่มขนมปังของฉันหลังจากที่ซิลวีแทะขนมปังแล้วเธอก็สะอื้นและนอนขดตัวอีกครั้ง เมื่อฉันทานเสร็จแล้วดวงอาทิตย์ก็เริ่มโผล่พ้นภูเขา

“ลูกจะกลับมาบ้านหลังจากที่ลูกกลับมาจากการสำรวจดันเจี้ยนมั้ย?” พ่อถามหลังจากกอดฉัน

“คงยังไม่ได้กลับในทันที ผมจะกลับมาที่บ้านในสัปดาห์หน้าเพื่อพักผ่อน จะมีเทศกาลพิเศษเกิดขึ้นในเมืองใช่ไหม?” ศาสตราจารย์ของฉันได้ประกาศล่วงหน้าสองสามสัปดาห์ก่อนว่าทุกๆสิบปีมีมันจะมีปรากฏการณ์อะไรสักอย่างเกิดขึ้น สมมติว่าตลอดทั้งสัปดาห์นั้นจะมีความหนาแน่นของมานาในทวีปนี้ถึงจุดสูงสุดซึ่งทำให้นักเวทย์มีทรัพยากรในการสร้างความก้าวหน้าและแม้กระทั่งอนุญาตให้ผู้ที่ไม่ใช่นักเวทย์ได้สัมผัสกับความรู้สึกของมานา ในสัปดาห์นั้นชั้นเรียนจะถูกยกเลิกและนักเรียนจะได้รับอนุญาตให้อยู่ในวิทยาลัยหรือกลับบ้านเพื่อทำสมาธิและฝึกให้ได้มากที่สุด

“อ๊ะใช่! ออโรร่าคอนสเตตาเต้ จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า ลูกจะอยู่ที่นี่ในช่วงเทศกาลด้วยหรือ?” แม่ของฉันเริ่มอารมณ์แจ่มใสขึ้น (Editor note : ออโรร่าคอนสเตตาเต้ = ปรากฏการณ์ของกลุ่มดาวส่องแสง)

"ว้าว! ทั้งสัปดาห์เลยหรือค่ะ?” น้องสาวที่งัวเงียของฉันเงยหน้าขึ้นและดึงแขนเสื้อของฉัน

“ใช่แล้ว เราทั้งหมดควรไปร่วมงานเทศกาลพร้อมกันนะ” ฉันมองไปที่ครอบครัวของฉัน ฉันยิ้มให้พวกเขาและกอดน้องสาวและแม่ของฉันก่อนที่จะเดินลงบันได

"ระวังตัวด้วยนะ!" แม่ของฉันตะโกนออกมาเป็นครั้งสุดท้ายขณะโบกมือ ฉันโบกมือกลับไปที่พวกเขาและก้าวเข้าไปในรถม้า เมื่อเข้าไปข้างในฉันตามซิลวีไปติดๆโดยหลับบนรถจนเราไปถึงที่หมาย

__________________________________________________

“อาเธอร์!” เมื่อก้าวออกจากรถม้าฉันเห็นเคอร์ติสโบกมือให้ฉัน เขายิ้มกว้างและจริงใจ

“กลับบ้านไปเป็นอย่างไรบ้าง? นายได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวสักที” แคลร์ตบหลังฉันเมื่อฉันไปถึงกลุ่มของนักเรียนที่กำลังรออยู่ที่ประตูด้านหน้า

“ดีที่คุณมาได้!” ศาสตราจารย์กลอรี่ยิ้มให้ฉันขณะที่เธอเริ่มเชคชื่อ เมื่อมองไปรอบๆ นอกจากเคอร์ติสและแคลร์แล้วฉันก็เห็นไคลด์ลูคัสและนักเรียนคนอื่นๆ อีกสองสามคนที่ฉันไม่ได้สนใจมาก่อนเลย ฉันทำการตรวจสอบอย่างรวดเร็วอีกครั้งแต่ก็ยังไม่เห็นเทสและจากการมองไปที่ไคลฟ์ เขาก็คงมองหาเธอเช่นกัน

"ขอโทษทีมาช้าไปหน่อยค่ะ!" เมื่อเทสวิ่งผ่านประตูหน้าเธอหายใจแทบไม่ทัน ใบหน้าของเธอแดงและผมก็ยุ่ง

“คุณเป็นคนสุดท้ายเลยนะเจ้าหญิงเทสเซีย เราเริ่มออกเดินทางได้แล้ว” ศาสตราจารย์กลอรี่จดรายงานและเชคเป็นครั้งสุดท้าย เธอพยักหน้าด้วยความพึงพอใจก่อนจะหันกลับไปและนำนักเรียนสิบห้าคนไปยังประตูเทเลพอร์ต

ฉันเหลือบกลับไปเห็นเทสเดินเคียงข้างไคลฟ์เมื่อเธอเห็นฉันจ้องมองเธออยู่ ฉันยิ้มตอบอย่างเขินอายฉันตอบกลับด้วยการโบกมือเล็กๆ และทำท่าว่ายังคงพูดคุยอยู่กับเคอร์ติสและแคลร์ต่อไปจนพวกเราไปถึงประตูเมือง

ยามที่ประจำอยู่ที่ประตูเมืองได้ปรับการตั้งค่าในขณะที่เขาถามคำถามสองสามข้อจากศาสตราจารย์ของเรา หลังจากผ่านไปหลายนาทีศาสตราจารย์กลอรี่ก็ส่งสัญญาณให้พวกเราเข้าไปที่ประตูทีละคน เธอก้าวเข้าไปที่ประตูเป็นคนสุดท้าย อีกครั้งท้องของฉันรู้สึกปั่นป่วนจากการเดินทางผ่านประตูมิติแต่โชคดีที่การเดินทางนั้นไม่ได้ใช้เวลานานกว่าสองสามวินาที

“ยินดีต้อนรับ! ฉันเดาว่านี้คงเป็นครั้งแรกสำหรับพวกคุณหลายๆคนที่ได้ก้าวเข้ามาในบีสเกลดใช่มั้ย?” ศาสตราจารย์กลอรี่ร้องเสียงแหลมขณะวางมือบนสะโพกของเธอ

“ฮึ่ม ผมเคยมาที่นี่นับครั้งไม่ถ้วนหลังจากนั้นที่ผมก็เป็นนักผจญภัยระดับ A” ลูคัสก้าวออกไปพร้อมกับยึดอกของเขา ด้วยเหตุนี้เสียงพึมพำที่ประทับใจของนักเรียนหลายคนก็ทำให้ลูคัสเริ่มหยิ่งผยองมากขึ้นจนกระทั่งศาสตราจารย์กลอรี่ตอบ

“อ่าใช่ ฉันได้ยินมาจากผอ. กู๊ดสกี้แล้วว่าคุณเป็นนักผจญภัยจริงๆ ฉันได้รับแจ้งด้วยว่าคุณถูกเพิกถอนใบอนุญาตเนื่องจากเหตุผลอะไรสักอย่าง” ศาสตราจารย์กลอรี่กล่าวต่อด้วยการเลิกคิ้ว

“เชอะทั้งหมดเป็นเพราะไอ้เตี้ยสวมหน้ากากนั่น” ศาสตราจารย์ไม่ได้ยินเสียงลูคัสพึมพำใต้ลมหายใจขณะที่เขาพิงไม้เท้า

“ตอนนี้เราอยู่ที่สุดขอบของเทือกเขาแกรนด์ ถ้าหากเราเดินทางไป อีกไม่กี่ชั่วโมงเราก็จะมาถึงผับที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งชื่อว่าโรงแรมดราก้อนสไพน์ ย้อนกลับไปเมื่อฉันยังเป็นนักผจญภัยนั่นคือสถานที่สำหรับการพูดคุยและแลกเปลียนข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์มานาและดันเจี้ยนต่างๆ เรากำลังจะไปยังดันเจี้ยนที่มีระดับค่อนข้างต่ำดังนั้นอย่ากังวลมากเกินไป ฉันจะอยู่กับพวกคุณตลอดเวลาแต่ฉันจะไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆเว้นแต่ว่ามันจำเป็นจริงๆดังนั้นอย่ามองหาคำตอบจากฉัน” ศาสตราจารย์กลอรี่โบกมือขวาของเธอและจากวงแหวนมิติของเธอก็ปรากฏกองผ้าสีดำกองเล็ก ๆ

“นี่คือผ้าคลุมไหล่ที่พวกคุณต้องใส่เข้าไปในดันเจี้ยน ดันเจี้ยนที่เรากำลังสำรวจนี้มีชื่อว่าสุสานแม่ม่ายเป็นดันเจี้ยนที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา มันไม่มีกับดักหรือทางวงกตดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะหลงทาง อย่างไรก็ตามอากาศที่นั่นหนาวมากซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกคุณถึงต้องการผ้าคลุมไหล่พวกนี้ สัตว์มานาที่คุณต้องเผชิญส่วนใหญ่เป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กที่น่ารังเกียจที่เรียกว่าสแนร์เลอร์ ดันเจี้ยนนี้มีสองประเภทที่คุณต้องระวัง: สแนร์เลอร์กับราชินีสแนร์เลอร์ สแนร์เลอร์ทั่วไปคือสิ่งที่พวกคุณจะต้องเผชิญ ราชินีของพวกมันอาศัยอยู่ที่ชั้นล่างสุดของดันเจี้ยนดังนั้นพวกคุณจะไม่ได้เห็นพวกมัน แต่ก็ขอให้รู้ถึงความแตกต่าง พวกคุณจะเห็นได้ว่าสแนร์เลอร์นั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไรเมื่อเราเข้าไปข้างใน แต่สำหรับตอนนี้เราจะแบ่งพวกคุณออกเป็นสามทีมโดยมีทีมละ 5 คน” เมื่อศาสตราจารย์กลอรี่แจ้งพวกเราเสร็จเธอก็ดึงกระดาษแผ่นเล็กๆ ออกมาจากด้านในของผ้าคลุมไหล่ที่เธอสวมอยู่

“ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะแบ่งทีมอย่างไรดังนั้นจงก้าวออกมาข้างหน้าในขณะที่ฉันเรียกชื่อคุณ เคอร์ติส แคลร์ โดโรธี โอเว่นและมาร์จ; พวกคุณคือทีมแรก” ศาสตราจารย์ของเราโบกมือให้พวกเขาหยิบผ้าคลุมไหล่และก้าวออกไปด้านข้าง จากนั้นเธอก็เรียกชื่อนักเรียนอีกห้าคนถัดไปซึ่งทำให้ฉันรู้สึกขมขื่นทันที

“เอาละที่เหลืออยู่อีก 5 คนก็คืออาเธอร์ ลูคัส ไคลฟ์ เทสเซียและโรแลนด์” เธอพูดขณะที่ชี้ไปที่กองผ้าคลุมไหล่ที่เหลืออยู่

ฉันต้องอยู่ทีมเดียวกับลูคัสอีกแล้วเหรอ? เธอทำสิ่งนี้โดยมีจุดประสงค์หรือไม่? คงไม่หรอก มีนักเรียนเพียงสิบห้าคนในชั้นเรียนและเธอไม่รู้ว่าฉันเคยเป็นนักผจญภัยมาก่อน แถมเธอยังเป็นคนที่เข้าไปหยุดลูคัสตอนที่เขาหาเรื่องฉันอีกด้วย

เมื่อคิดว่าจะขอเปลี่ยนกลุ่มกับใครดีในที่สุดฉันก็ตัดสินใจที่จะอยู่กลุ่มนี้ต่อหลังจากจำสิ่งที่แม่พูดเมื่อเช้านี้ได้ แม้ว่าเธอจะไม่ได้บอกแต่ฉันก็ไม่เชื่อใจที่จะให้ลูคัสอยู่ทีมเดียวกับเทส ฉันควรจะอยู่ที่นั่นในเผื่อมีปัญหา

"มีคำถามอะไรเพิ่มเติมไหม? ไม่? โอเคงั้นก็ตามนี้ เราคงจะใช้เวลาไม่เกินสองชั่วโมงในการเดินทางไปถึงทางเข้าของดันเจี้ยนดังนั้นเรารีบไปกันเถอะ” ด้วยเหตุนี้เราจึงออกเดินทางอย่างรวดเร็วท่ามกลางต้นไม้หนาทึบที่บังแสงแดดเกือบจะทั้งหมด

เราทุกคนเดินทางด้วยความเงียบ นักเรียนส่วนใหญ่กลัวว่าพวกเขาอาจดึงดูดความสนใจที่ไม่ต้องการจากการสัตว์มานาที่อาจอยู่ใกล้ๆ ในไม่ช้าป่าต้นไม้ก็โล่งเมื่อเราเริ่มลงมาตามทางลาดชัน

“เราใกล้จะถึงแล้ว จะมีสถานที่สำหรับพักผ่อนอยู่หน้าทางเข้าดันเจี้ยนดังนั้นอย่าเพิ่งเข้าไปข้างใน” ด้วยคำสั่งนั้นศาสตราจารย์ของเราจึงก้าวไปด้านหลังและนับจำนวนนักเรียนอีกครั้งในขณะที่พวกเราแต่ละคนค่อยๆเดินลงไปตามทางลาดชันที่นำไปสู่ทางเข้าของดันเจี้ยน

“ก่อนที่เราจะเข้าไปคุณแน่ใจหรือว่าต้องการนำพันธะของคุณเข้าไปในดันเจี้ยนด้วยนะอาเธอร์?” ศาสตราจารย์กลอรี่มองฉันด้วยท่าทางกังวล

ซิลวีเธอว่ายังไง? เธออยากออกไปล่าสัตว์มานาไหมเพราะไหนๆเราก็มาถึงบีสเกลดแล้ว? ฉันถ่ายทอดความคิดทางกระแสจิตไปยังซิลวี

‘แน่นอน!’ จากนั้นซิลวีก็กระโดดลงจากหัวและหายเข้าไปในป่าด้วยเหตุผลที่ทุกคนเข้าใจผิดในตอนนี้

“ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี มันอาจจะปลอดภัยกว่าถ้าเธออยู่ตรงนี่และทำตัวนิ่งๆ” ศาสตราจารย์กลอรี่พยักหน้าให้ฉันก่อนจะปีนขึ้นไปบนก้อนหินเพื่อที่เธอจะได้เห็นทุกคน

“เอาละ แยกออกไปกับกลุ่มของพวกคุณและทำความรู้จักกัน พวกคุณคงได้เห็นแล้วว่าทุกคนในกลุ่มของคุณเป็นอย่างไรจากชั้นเรียน แบ่งปันจุดแข็งและจุดอ่อนของพวกคุณกับเพื่อนร่วมทีมซะ การสื่อสารและความไว้วางใจมีความสำคัญในการต่อสู้เป็นทีม พวกคุณจะต้องตัดสินใจเลือกผู้นำก่อนที่เราจะเข้าไปข้างใน” เมื่อศาสตราจารย์ของเรานั่งบนก้อนหินกลุ่มของเราก็มารวมตัวกันและนั่งเป็นวงกลม ในขณะที่ทุกคนมองหน้ากันไม่อยากจะพูดอะไร มีเพียงคนเดียวในกลุ่มของเราที่ฉันยังไม่รู้จักจริงๆก็คือโรแลนด์ จากนั้นเขาก็พูด

“อะแฮ่ม! ฉันชื่อโรแลนด์อัลเดอร์แมนและฉันเป็นนักเสริมพลังคุณสมบัติของน้ำ! งานอดิเรกของฉันคือการพักผ่อนช็อปปิ้งออกเดทกับสาวสวยและ ...”

“ไม่มีใครอยากรู้งานอดิเรกของนายเลย” ไคลฟ์ขัดจังหวะขณะนวดดั้งจมูกด้วยความหยุดหงิด

“รู้สึกว่าจะมีใครบางคนไม่พอใจเล็กน้อย เอาเถอะ ... ความแข็งแกร่งของฉันคือการต่อสู้ระยะกลางโดยใช้ทักษะแส้น้ำที่สืบทอดมาจากตระกูลของฉัน จุดอ่อนของฉันคือการต่อสู้ระยะใกล้ เอาละคนต่อไป!” เขาพูดจบและโยนกระบองที่เขาจินตนาการมาทางฉันซึ่งนั่งอยู่ทางซ้ายของเขา

“อาเธอร์เลย์วิน เป็นผู้เสริมพลังคุณสมบัติของลมและดิน ฉันเชี่ยวชาญในทุกระยะ แต่ถนัดระยะกลางและระยะใกล้เป็นพิเศษ” ฉันพูดง่ายๆโดยมองตรงไปที่ลูคัสที่อยู่ตรงข้ามกับฉัน

“ไคลฟ์เกรฟส์ ผู้เสริมพลังธาตุลมเชี่ยวชาญในการต่อสู้ระยะไกลด้วยธนู ฉันไม่มีจุดอ่อนอะไรเลย” เขากล่าวอย่างรวบรัด

“ลูคัสไวค์ส ฉันเป็นผู้ร่ายเวทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านไฟเพียงอย่างเดียว สำหรับจุดแข็งและจุดอ่อน...ขี้เกียจพูด” เขากลอกตาของเขาและเอนหลังในขณะที่เขานั่งไขว่ห้าง

เมื่อรู้สึกถึงความเป็นปรปักษ์จากลูคัสฉันก็สังเกตเห็นว่าเทสดูอึดอัดเล็กน้อย “เทสเซียเอราลิธ ฉันเป็นผู้ร่ายเวทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านไม้และลม จุดแข็งของฉันคือการต่อสู้ระยะกลางถึงระยะใกล้…” เธอปล่อยให้เสียงของเธอเบาลงไปเรือยๆจนทำให้กลุ่มของเราเงียบเพราะเราทุกคนรู้ว่าหัวข้อต่อไปจะเป็นเรื่องอะไร

“ฉันขออาสาตัวเองเป็นผู้นำกลุ่ม” ลูคัสเป็นคนแรกที่พูด

“โอ้? นายคิดว่าตัวเองเป็นผู้นำของกลุ่มนี้ด้วยมาตรฐานใด?” ฉันเอียงศีรษะมองเขาอย่างไร้เดียงสา

“แน่นอนด้วยความเก่งยังไงละ เอาจริงๆ…ฉันสามารถเอาชนะพวกนายได้ในการประลอง เป็นเรื่องธรรมดาที่คนที่แข็งแกร่งที่สุดจะเป็นผู้นำไม่ใช่หรือ?” ลูคัสหันกลับมามองที่ฉันอย่างไม่เชื่อสายตา

“ฉันโหวตให้เทสเซีย! เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวและเธอสวย ฉันชอบ อีกอย่างเรายังสามารถตั้งชื่อทีมของเราว่าราชินีและอัศวินได้อีกด้วย!” โรแลนด์มีประกายแวววาวในดวงตาของเขาขณะที่จิตใจของเขาหลงเข้าไปในดินแดนแห่งจินตนาการเล็กๆ

“ฉันเห็นด้วยว่าเจ้าหญิงเทสเซียควรจะเป็นผู้นำอะแฮ่ม…ไม่ใช่ด้วยเหตุผลเดียวกันแน่นอนแต่ไม่ได้บอกว่าเธอไม่สวย แต่ฉันหมายความว่า…เนื่องจากเธอเป็นประธานสภานักเรียน” ไคลฟ์ก้มหน้าลงขณะที่เขาพึมพำ แก้มที่แดงระเรื่อบนใบหน้าของเขาดูไม่เข้ากับธรรมชาติที่ชอบทำตัวจริงจังอยู่เสมอ

“เดี๋ยวก่อนฉันไม่ได้อยากเป็นหัวหน้านะ! แล้วอาร์ตละ? อาเธอร์เลย์วิน” เธอเปล่งเสียงออกมาพร้อมกับกุมมือป้องกัน

“ฉันยังคิดว่าเทสเซียควรจะเป็นผู้นำ” ฉันยกมือขึ้นขณะที่ทุกคนไม่สนใจความคิดเห็นของเธอ ฉันไม่รังเกียจว่าใครจะเป็นตราบใดที่ลูคัสไม่ได้เป็นผู้นำ

“เชอะ ไอ้พวกโง่” ลูคัสกลอกตาอีกครั้งก่อนที่พวกเราทุกคนจะลุกขึ้น

“เอาล่ะเพราะดูเหมือนทุกคนจะตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เราเข้าไปกันเถอะ ระวังตัวเมื่อเราเข้าไปข้างในด้วยเพราะมันหนาวมาก!” ศาสตราจารย์กลอรี่ประกาศก่อนที่จะก้าวเข้าไปในทางเข้าซึ่งดูเหมือนจะเป็นบันไดแคบๆ ที่นำไปสู่ความมืด

ในการเดินเรียงแถวหน้ากระดานเราทุกคนเริ่มเดินลงบันไดและฉันสาบานได้ว่าอุณหภูมิในดันเจี้ยนลดลงอย่างเห็นได้ชัดในทุกๆย่างก้าว

“อะอะ...อะไรกันเนี่ย? ทำไมมันถึงเย็นจัง?” โรแลนด์พยายามพูดระหว่างที่เขากัดฟันสั่น

“เสริมร่างกายตัวเองด้วยไอ้บื้อ” ฉันได้ยินเสียงของไคลฟ์เปล่งออกมาจากด้านหลัง มันมืดมากจนมองไม่เห็นอะไรมากไปกว่าโครงร่างที่คลุมเครือของแต่ละคน

ในขณะที่เราเดินลงบันไดฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างมาเกาะอยู่ที่ข้อมือฉัน แต่ก่อนที่จะดึงมันออกฉันก็รู้ว่ามันคืออะไร เมื่อหันกลับไปมองข้างหลังฉัน ฉันก็เห็นหัวรางๆของเทสแม้จะมองเห็นไม่ชัดก็ตาม แต่ฉันบอกได้ว่าเธอต้องหน้าแดงอยู่แน่ๆเพราะมือของเธอนั้นอบอุ่นมาก เมื่อฉันเลิกสนใจการกระทำของเธออันเป็นผลมาจากความรู้สึกกลัวเราก็เดินไปตามบันไดที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุดอย่างเงียบๆ

แม้จะไม่ได้เสริมตัวเองแต่ฉันกลับสามารถทนอุณหภูมิที่หนาวจัดในดันเจี้ยนได้เนื่องจากร่างกายที่หลอมรวมกับเจตจำนงของฉัน แต่เมื่อดันเจี้ยนสว่างขึ้นความทนทานนั้นก็เปลี่ยนไปในไม่ช้า ลมเย็นกระโชกแรงพัดผ่านช่องที่ปลายอุโมงค์ทำให้ฉันต้องเอาผ้าคลุมไหล่มาบังตัวเอง เมื่อสายตาของฉันปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของแสงฉันก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นเมื่อได้เห็นห้องใต้ดินชั้นแรกของสุสานแม่ม่าย

ถ้ำนั้นกว้างออกไปหลายร้อยหลาทำให้ฉันสงสัยว่ามันประคองตัวมันเองได้อย่างไร หินที่อยู่ในถ้ำเปล่งประกายด้วยแสงสีฟ้าสลัวขณะที่ชั้นน้ำแข็งบางๆปกคลุมไปทั่วพื้นและก่อตัวเป็นน้ำแข็งอยู่บนเพดาน เมื่อมองใกล้ๆฉันสามารถเห็นมอสที่เกือบจะโปร่งใสได้ปกคลุมผนังถ้ำและเพดานซึ่งมันสะท้อนแสงที่ให้ความรู้สึกเงียบสงบออกมา

“เป็นเรื่องที่แปลก ปกติแล้วเราน่าจะได้เห็นพวกสแนร์เลอร์แล้วที่จุดๆนี้ แต่ทำไมไม่ -”

ทันใดนั้นเสียงที่น่ากลัวก็ดังก้องขึ้นรอบๆตัวเรา มีสายตาจ้องมองออกมาจากด้านหลังของก้อนหินเป็นจำนวนมากและจากถ้ำเล็กๆหรือจากผนังถ้ำ มันเป็นดวงตาสีแดงที่นับจำนวนไม่ได้

“พวกมันมากันเยอะมากเลยนะ…” ฉันได้ยินเสียงของโรแลนด์สะอึกในขณะที่ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่ตกใจเมื่อเห็นสิ่งนี้แต่ทุกๆคนในชั้นเรียนก็ด้วย แม้แต่เคอร์ติสและแคลร์เอง ฉันมองไปที่ศาสตราจารย์กลอรี่และจากการแสดงออกของเธอฉันเดาได้ว่าเธอคงไม่คาดคิดที่จะได้เห็นสแนร์เลอร์มากมายขนาดนี้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด