ตอนที่แล้วChapter 31: เป็นเจ้าชายนี่มันโคตรเหนื่อยเลยจริงๆ – 4
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 33: เจ้าชายได้รับการดูแลจากพระผู้เป็นเจ้า -2

Chapter 32: เจ้าชายได้รับการดูแลจากพระผู้เป็นเจ้า -1


เด็กสาวผมเงินวิ่งไปคอยช่วยสนับสนุนทหาร พร้อมกับแบกฝักดาบไว้ในมือของเธอ รวมทั้งซองใส่ลูกธนูด้านหลังของเธอ

ฮาร์แมนตกตะลึงและอดที่จะมึนงงกับการที่เธอแบกของเหล่านั้นไว้ได้ที่แม้แต่ชายหนุ่มยังแบกของเหล่านี้เดินไปไหนมาไหนยังยากเลย

สำหรับเด็กสาวที่บอบบางและผอมเพรียวอย่างเธอแล้ว ความแข็งแกร่งทางร่างกายและความอึดของเธอก็เป็นที่น่านับถืออย่างมาก

‘ไม่ใช่ว่าเธอเป็นลูกสาวของชาวนาทั่วไปงั้นเหรอ?’

เขารู้จักเธอดีว่าเธอเป็นลูกสาวของกริลที่เป็นชาวนาและเธอเป็นแม่ชีที่คอยดูแลโบสถ์ที่เจ้าชายอาศัยอยู่

เธอได้สนับสนุนทหารที่คอยปกป้องประชาชนที่อพยพไปยังคฤหาสน์ของเจ้าเมืองไม่ทันและยังคงติดอยู่ภายในกำแพงด้านนอกเมือง เธอนั้นโฟกัสกับการส่งอุปกรณ์ที่สำคัญหรือการดูแลรักษาคนเจ็บ

ฮาร์แมนทำได้เพียงยิ้มเจื่อนๆ

แม้แต่ลูกสาวของชาวนา แม้ว่าจะไม่เป็นทหาร เธอก็ยังพยายามอย่างเต็มที่ แล้วเขากล้าที่จะทำตัวอ่อนแอและไม่สนใจเช่นนี้ได้ยังไงกัน?

“พวกเราสามารถที่จะอดทนไว้ได้ พวกเราจะป้องกันพวกมันและสำหรับเหตุการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดแล้วละก็...”

ฮาร์แมนเหลือบตามองออกไปด้านนอก

อันเดทหลายร้อยตัวต่างล้อมรอบแวมไพร์เคานต์ดั่งกับกำแพงป้องกัน

“...ฉันจะพุ่งผ่านและตัดหัวของเคานต์ด้วยตัวของฉันเอง!”

ฮาร์แมนกำหมัดตัวเองแน่น แต่ทันใดนั้นเอง...

ก้อนซอมบี้ลอยตกลงมาด้านหลังเด็กหญิงผมเงิน พวกมันถูกปาเข้ามาทั้งด้านนอกและด้านในเมือง

ฮาร์แมนสะดุ้งและรีบมองหาเธอ

เนื่องจากก้อนซอมบี้ที่ถูกมัดรวมกัน ทหารและนักโทษทั้งหมดที่อยู่บนกำแพงต่างถูกโยนลงมาบนพื้น มันมีซอมบี้มากมายเริ่มที่จะเคลือบคลานเข้าหาเด็กสาวแล้ว

“แม่งเอ้ย…!”

เขาตื่นตระหนกกับภาพที่เกิดขึ้น เขารีบชักดาบออกมาและพุ่งเข้าไปหาเธออย่างเร็วที่สุดเท่าที่เขาทำได้

ในเวลาเดียวกัน เธอสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวที่อยู่ด้านหลังเธอและหันกลับไปมอง ซอมบี้ตัวหนึ่งยืนจ้องลงมาที่เธอ

เธอดูมีทีท่าประหลาดใจ เมื่อเธอทิ้งดาบและลูกธนูที่เธอแบกไว้บนหลังลงกับพื้น

“เธอทำอะไรของเธอกัน?! เด็กน้อย วิ่งเร็วเข้า!”

ฮาร์แมนคำรามออกมา แต่เด็กสาวไม่ได้ขยับตัวเลยสักนิด

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอคงหวาดกลัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก

เธอมองไปที่ซอมบี้อย่างเงียบงัน ในชั่วพริบตาต่อมา อันเดทได้เคลื่อนไหว กรามของมันเปิดกว้างออกและพุ่งมาหาเธอ

‘แม่งเอ้ย ฉันคงไปไม่ทันแน่เลย!’

ฮาร์แมนกัดฟันแน่น

‘ฉันจะต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์แล้ว..!’

“โอ้ พระเจ้าสงครามเฮล์ม ได้โปรดส่งมอบพลังของท่านเพื่อปกป้องลูกแกะที่น่าสงสารตัวนี้ด้วย…”

เมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากร่างกายของฮาร์แมน แสงสว่างสีขาวปกคลุมทั้งแขน ขา และดาบ มันทำให้เขาเพิ่มความเร็วขึ้นอย่างมาก

เพียงแค่เขากำลังพยายามอย่างดีที่สุดที่จะตามไปถึงหญิงสาว...

ดวงตาของเธอคมกริบราวกับงูร้าย เธอหยิบดาบที่หล่นบนพื้นและกลิ้งลงด้านข้างหลบเงื้อมมือของซอมบี้ ในขณะที่เธอควบคุมลมหายใจของเธอเอง เธอก็ชักดาบออกมา

“...โอ้ เทพีแห่งความเมตตาและความรัก ไกอา”

ถึงแม้ว่าจะเบาบาง ดาบของเธอก็ปล่องแสงสีขาวนุ่มนวลออกมา

ฮาร์แมนตัวแข็งทื่อทันที แต่ขาของเขายังไม่หยุดที่จะวิ่งเข้าไปใกล้เธอ

“ได้โปรดประทานพลังเพื่อปกป้องคนที่ล้ำค่าของท่าน…”

หลังจากที่เตะพื้นและพุ่งไปด้านหน้าอย่างทรงพลัง เธอก็ก้มตัวต่ำผ่านร่างกายของซอมบี้

ขาขวาของเธอวางไว้บนพื้นและใช้มันเป็นตัวแรงถีบ ร่างกายทั่วทั้งร่างของเธอหมุน 360 องศา ดาบของเธอตัดผ่านหัวของซอมบี้ได้อย่างง่ายดาย

“…!”

การโจมตีมันสะอาดสะอ้านและรวดเร็วจนเหลือทิ้งไว้แต่ภาพติดตาของดาบที่ตัดผ่านอากาศ มันจึงทำให้ฮาร์แมนหยุดที่จะก้าวไปด้านหน้า

การโจมตีของเธอมันทั้งเงอะงะและมั่วซั่ว มันเหมือนกับว่าเธอลอกเรียนการเคลื่อนไหวแบบนี้มาจากตำราฝึกวิชาดาบ เขารู้สึกเหมือนกับว่าเธอได้ใช้วิชาดาบที่เธอไม่คุ้นชินผ่านพละกำลังของเธอเพียงอย่างเดียว

‘อย่างไรก็ตาม…’

ถึงมันจะหยาบกร้าน แต่ในเวลาเดียวกันมันก็คมกริบเช่นกัน

เหมือนกับการแสดงพลังทำลายล้างของเธอ คอสองในสามส่วนของซอมบี้ถูกตัดอย่างเรียบลื่น แต่ส่วนที่เหลือมันยังคงติดค้างไว้ยังงั้น มันเหมือนกับว่าเธอได้ฝืนตัดมันออกไป

หัวของซอมบี้กลิ้งลงบนพื้นใกล้กับฝ่าเท้าของเธอ เจ้าซอมบี้ไร้หัวโซซัดโซเซก่อนที่จะล้มลงกับพื้น

ดวงตาของฮาร์แมนกระตุก เมื่อเขามองไปที่คอของซอมบี้

‘นี่มัน…’

มันเป็นวิชาดาบของราชวงศ์ที่ถูกส่งผ่านตำแหน่ง ‘ภาคีอัศวินไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์’ ที่ปกป้องราชวงศ์มานานนับพันปี

แล้วเด็กสาวอย่างเธอที่มาจากหมู่บ้านบ้านนอกใช้วิชาดาบของราชวงศ์ได้ยังไงกัน?

เด็กสาว ชาร์ลอตต์มองไปยังซอมบี้ที่นอนตายอยู่และถอนหายใจอย่างโล่งอก

หัวใจของเธอยังคงเต้นอย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าเธอจะตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว เธอก็จัดการมันได้ในที่สุด

‘...การฝึกฝนของฉัน มันมีค่า’

เธอนึกถึงเนื้อหาในหนังสือที่อยู่ในโบสถ์ – มันเป็นหนังสือที่บันทึกวิชาทั้งหมดของราชวงศ์ พวกมันถูกใส่ไว้ในนั้น เพื่อให้เจ้าชายที่โดนขับไล่สามารถที่จะเรียนรู้มันได้ แน่นอนว่าเขาแค่เหลือบมองมันอย่างสงสัยก่อนที่จะยอมแพ้ในการเรียนพวกมัน

‘สิ่งที่เจ้าชายทำไม่ได้ ฉันจะทำแทนเขาเอง’

มันเป็นความรู้สึกตื้นตันที่เธอทำได้สำเร็จ ชาร์ลอตต์หันตัวกลับและสังเกตเห็นพาลาดินฮาร์แมนที่ยืนค้างอยู่อย่างั้น

“มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอคะ?”

“...”

เธอเอียงคอถามเขา แต่ฮาร์แมนยังคงยืนตัวแข็งทื่อ

**

“พวกเรา...พวกเราชนะแล้ว!!”

ทหารที่คอยปกป้องประชาชนของเจ้าเมือง มองไปยังกองศพซอมบี้และกูลที่อยู่ด้านหน้าของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการสูญเสียไปบ้างก็ตามที มันยังคงเป็นเรื่องดั่งปาฏิหาริย์สำหรับทหารธรรมดาทั่วไปอย่างพวกเขาที่สามารถเอาชนะกูลและดูลลาฮานได้

“...ฉันเกือบคิดว่าฉันกลายเป็นพาลาดินไปแล้วนะเนี่ย!”

ทหารพูดออกมาอย่างดีอกดีใจ ในขณะที่มองไปยังร่างกายของพวกเขาเอง พลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในร่างกายของพวกเขาเหมือนกับรู้ว่างานของมันได้จบลงแล้ว

ยังไงก็ตาม พวกเขายังคงใจเย็นไม่ได้ เมื่อพวกเขายังคงรู้สึกเหมือนกับการได้เป็นพาลาดินที่พวกเขาใฝ่ฝันมาโดยตลอด

คนที่รู้สึกสับสนและหงุดหงิดมีเพียงแค่เจนาลเท่านั้น เขาเป็นขุนนางที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลกฎ นั่นคือเหตุผลที่ว่าเขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าชายมามากกว่าใครเพื่อนในที่แห่งนี้

‘ชื่อเสียงของเขานั้นบอกว่าเขาขี้กลัวง่ายมาก ทั้งยังหื่นกามและยังเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต ซึ่งยังไม่รู้วิธีการใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ด้วยซ้ำไป แต่ว่าทำไม....’

….เขาเป็นคนขี้กลัว?

เด็กหนุ่มที่ใช้พลั่วโจมตีดูลลาฮานเป็นคนขี้กลัว? ไม่ละ การกระทำแบบนั้นไม่มีทางที่คนที่มีสติดีๆจะทำมันอย่างแน่นอน

และเขาไม่รู้จักการใช้พลังศักดิ์สิทธิ์?

‘โอ้พระเจ้า…ราชวงศ์ตัดสินว่าเจ้าชายองค์ที่เจ็ดเป็นคนล้มเหลวได้ยังไงกันเนี่ย? ใครบางคนที่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้นี่นะ?! หรือว่าการอวยพรของพวกคนจากราชวงศ์สามารถที่จะรักษาคนนับร้อยคนได้ในเวลาเดียวกัน? บางทีพวกเขาอาจจะชุบชีวิตคนตายได้ด้วยซ้ำ? มันถึงระดับนั้นเลยเหรอ?

มันเป็นแบบนั้นจริงๆเหรอ...?

เจนาลเดาะลิ้น

เขาคิดว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล แต่เมื่อเขามองไปยังระดับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าชายได้ใช้ก่อนหน้านี้ สิ่งที่เขาจินตนาการอยู่ก็ดูไม่ได้เว่อวังอีกต่อไปแล้ว

เขาเริ่มคิดถึงเรื่องเล่าทั้งหมดจากห้าสิบปีก่อน มันเป็นเรื่องเล่าในตำนานที่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้ทำมัน ซึ่งมันไม่ได้เป็นเรื่องแฟนตาซีที่ไม่มีพื้นฐานอีกต่อไป

“....เยี่ยม! ใช้แรงใจเหล่านี้ในการอพยพประชาชนที่เหลือมาอยู่ในคฤหาสน์ของฉันซะ! คุ้มกันเจ้าชายด้วย…!!”

เจนาลปาดเหงื่อบนหน้าผากของเขาด้วยผ้าเช็ดหน้า ก่อนที่จะเหลือบตามองไปที่เจ้าชาย

แต่เขาไม่อยู่ที่นั่นอีกแล้ว

“…!!”

เจ้าเมืองตกตะลึงกับสถานการณ์ที่พลิกผันและรีบกวาดตามองพื้นที่โดยรอบ เขาตะโกนเรียนทหารและถามที่อยู่ของเจ้าชาย

“...ท่านครับ ท่านต้องการรู้ว่าเจ้าชายอยู่ที่ไหนเหรอครับ?”

“เขามุ่งไปที่ไหนสักแห่งกับทหาร ผมคิดว่าเขาได้รับคำอนุญาตจากท่านแล้วเสียอีก”

“.....เขาไปพร้อมกับทหาร?” เจนาลถาม

“ครับ ท่าน เอ๋...? ครับ เขา...ไปอย่างแน่นอน..แต่ว่า...เอ่อ..”

ดวงตาของทหารดูสับสน เมื่อเขาพูดออกมา เขาเห็นว่าทหารที่อยู่ด้านหน้ามีจำนวนเท่าเดิม แต่ว่ามีเพียงแต่ศพเท่านั้นที่หายไป

แต่เจ้าชายไปพร้อมกับทหาร?

สีหน้าเจนาลและทหารต่างว่างเปล่า มันเหมือนกับว่าพวกเขาต่างตกอยู่ในวิชาไสยเวท แต่มันเป็นเวลาเพียงแค่วินาทีเดียวเท่านั้นที่เจนาลตระหนักได้ว่าเจ้าชายอาจตกอยู่ในอันตราย เขาตะโกนออกมาดังก้อง “พวกเจ้าสิบคน ตามฉันมา! พวกเราต้องไปตามหาเจ้าชายกัน!”

เจ้าเมืองและทหารของเขาต่างรีบออกจากเมืองเพื่อไปตามหาเจ้าชาย

**

(มุมมองอัลเลน)

“ให้ฉันพักบ้างเถอะนะ”

ฉันดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ลงไปและทิ้งขวดที่ว่างเปล่า เขาดื่มไปมากขนาดไหนกัน? บางทีอาจจะห้าขวด? ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกขอบคุณที่ยังมีชีวิตอยู่ ฉันก็รู้สึกว่าตัวแทบจะป่องแล้ว

มันเหมือนกับเอเนจี้ดริ้งค์ ฉันสัมผัสได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เริ่มฟื้นคืนกลับมา

ฉันเดินไปรอบๆภายในเมืองและไล่ตามกลิ่นของความตาย

-คุโอววว!!

ประตูที่อยู่ใกล้เคียงพังลงและกูลกระโดดออกมา ปากของมันเปิดกว้างออกในขณะที่กรงเล็บของมันเตรียมที่จะตัดฉันลง

แต่ว่าแย่หน่อยนะ....

เคี้ยก

กูลพบว่าตัวมันลอยอยู่กลางอากาศ

หลังจากที่มันก้มมองต่ำ มันก็พบกับหอกนับสิบเล่มแทงมาที่ท้องของมัน

ฉันมองไปที่ยังเหล่า [วิญญาณทหารแห่งความตาย] ที่ล้อมรอบฉัน พวกมันต่างสวมชุดเช่นเดียวกันกับทหารของโรเนีย ตั้งแต่ที่พวกเขาสวมชุดเกราะ ใบหน้าของพวกเขาต่างถูกปกปิดด้วยหมวกและผ้าคลุม

ปกติแล้วฉันคงเรียกโครงกระดูกที่ถูกสร้างออกมาโดยพลังศักดิ์สิทธิ์ ยังไงก็ตาม ฉันพยายามที่จะเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ของฉันไว้และใช้ศพที่มีอยู่โดยสกิลของฉัน ซึ่งมันทำให้อันเดทเหล่านี้ต่างยังคงมีร่างกายครบทุกส่วน

หอกและดาบที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ในนั้นมันทำให้กูลสั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด

วิญญาณทหารอีกตนหนึ่งชักดาบออกมาและกระโดดขึ้น มันหมุนตัวและตัดผ่านหัวกูลอย่างเรียบเนียน

มันเป็นการตัดหัวอย่างดงาม

“...ถึงแม้ว่ามันจะดูทื่อไปบ้าง มันก็ยังใช้งานได้ละนะ”

นี่คือวิชาดาบพื้นฐานทั่วไปของราชวงศ์

เมื่อฉันพยายามที่จะทำมันในอดีต ฉันก็สูญเสียการทรงตัวและแทบจะล้มลงกับพื้น แต่ตอนนี้วิญญาณแห่งคนตายสามารถใช้งานได้อย่างปกติ ถึงแม้ว่ามันจะยังเงอะงะไปบ้างก็ตามที

ฉันดมอากาศอีกครั้งหนึ่ง

พวกเรากำลังเดินทางไปรอบเมือง ค้นหาหลุมที่มีพลังมารอยู่บนพื้นดินเพื่อทำลายพวกมัน เนื่องจากว่ามันไม่ได้มีมากเท่าไหร่และส่วนใหญ่ต่างอยู่ใกล้กัน การหาพวกมันจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร

เมื่อฉันยังคงเดินดมกลิ่นเหม็นเน่าของคนตายอยู่ กลิ่นฉุนเหม็นเน่าก็โชยเข้าใส่ฉัน ฉันปิดจมูกลงในทันทีพร้อมกับขมวดคิ้ว

ฉันพึ่งจะสังเกตเห็นว่าฉันได้มาถึงกำแพงด้านนอกของโรเนียแล้ว มันเป็นสนามรบที่ดุเดือดมากที่สุด

“รีบเตรียมอุปกรณ์เร็วเข้า!”

ผู้คนที่น่าจะเป็นประชาชนทั่วไปกำลังยุ่งกับการแบกซองธนูที่อยู่บนหลัง ในขณะที่มีดาบและหอกอยู่ในมือของพวกเขา

“น้ำมัน! เอาน้ำมันและราดไฟให้มากกว่านี้!”

“พวกเราต้องการหินมากกว่านี้!”

“แม่งเอ้ย เหี้ย..! พวกมันยังมากันอีก! เวรเอ้ย!”

“อ๊ากกกก! ฉันโดนกัดแล้ว! ฉันโดนกัดเข้าให้แล้ว!”

แม้ว่านักโทษจะตะโกนออกมาดังก้อง พวกเขายังคงไม่ลืมที่จะต่อสู้กับฝูงอันเดทที่บุกเข้ามาในเมืองจากด้านบนกำแพง รวมทั้งด้านล่างกำแพงด้วยเช่นกัน

“ฉันต้องการคนรักษาฉันหน่อย…!”

“มันมีคนเจ็บมากเกินไป”

“ตั้งแต่พิษและพลังมารฝังเข้ามาในเนื้อของเขา พวกเราจำเป็นต้องตัดเนื้อส่วนนั้นทิ้งออกไป!”

นักบวชนับไม่ถ้วนต่างวิ่งไปมาอย่างวุ่นวาย พวกเขาต่างเคลื่อนย้ายคนที่ได้รับบาดเจ็บและคอยรักษาพวกเขาไว้

“มันวุ่นวายมากจริง” ฉันพูดพึมพำก่อนที่จะใส่หน้ากากจงอยนก

แน่นอนว่าวิญญาณทหารแห่งความตายของฉันมันแตกต่างจากซอมบี้ทั่วไป แต่แม้ว่าจะเป็นแบบนั้นฉันก็ยังคงจะตกอยู่ในอันตรายอยู่ดีถ้าพวกเขาพบเจอมัน แน่นอนละว่าฉันได้ซ่อนตัวตนของฉันไว้ก่อน ตั้งแต่ที่ทุกคนต่างสวมหน้ากาแบบเดียวกัน การแยกคนที่แตกต่างออกไปคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ฉันเดินไปหากลุ่มนักบวชที่กำลังรักษาคนเจ็บอย่างเร่งรีบ

ผ้าขนาดใหญ่วางกองอยู่บนพื้น ทหารและนักโทษที่ได้รับบาดเจ็บต่างนอนอยู่บนพวกมัน นักบวชที่สวมหน้ากากจงอยนกกำลังดูแลคนที่ติดพิษและโดนพลังมารกัดกร่อน พวกเขาเลิกแขนเสื้อขึ้นและเหงื่อเย็นยะเยือกก็หยดออกมาจากร่างกายของพวกเขา

“พลังมารและพิษได้บุกเข้าไปในอวัยวะภายในของเขาแล้ว!”

“ให้เขาดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้ไหม?”

“ไม่ได้ ร่างกายของเขาอ่อนแอมากเกินไป การดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์จะทำให้อวัยวะภายในของเขาได้รับความเสียหาย เนื่องจากปฏิกิริยาย้อนกลับ เขาจะตายแน่นอน ถ้าเขาพบเจอกับปฏิกิริยานี้เข้า แม่งเอ้ย! พวกเราต้องตัดกระเพาะของเขาแล้ว!”

“เตรียมผ่าตัด! เอายาฟื้นฟูมา ไม่ใช่น้ำศักดิ์สิทธิ์! แล้วยาสลบละ?”

“พวกเราไม่มีวเลาแล้ว! ต้องผ่าตัดโดยไม่ใช้มัน พวกเราจำเป็นตัดพลังมารที่บุกเข้าสู่อวัยวะภายในของเขาแล้ว ถ้าไม่งั้นแล้วลำไส้ของเขาจะเริ่มเน่าเปื่อย!”

พวกคนที่สวมหน้ากากจงอยปากเคลื่อนที่ไปมาอย่างเร่งรีบ ในขณะที่หยิบมีดผ่าตัดและอุปกรณ์ที่ไว้ใช้ผ่าตัดมา หลังจากนั้นพวกเขาก็ตัดผ่านกระเพาะของผู้ป่วยอย่างระมัดระวัง

“โอ้ยย...โอ้ยย…เจ็บบบ!!”

ตาของทหารโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อท้องของเขาถูกตัดออก เขาร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นร่างกายของเขาถูกตัดด้วยตาของเขาเอง

แม่ง นี่ไม่ใช่หนังที่มาจาก ‘ซอว์’(saw เกมตัดต่อตาย) นะ แต่ว่าทำไมมันถึงเพียงนี้….ดูน่ากลัวชิบ…

“ไม่ หยุดนะ! ได้โปรดละ! หยุดทีเถอะ! พวกนายกำลังจะฆ่าฉันแล้ว…”

ตั้งแต่ที่เขาไม่โดนยาสลบ เขากรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

“โอ้ย! เจ็บ! ฉันไม่ต้องการที่จะตาย! ฉันยัง...ฉันยัง...ไม่ได้สารภาพรักกับเธอเลย..”

เห้ย เพื่อน นั่นมันการปักธงตายแล้วนี่นา

ฉันจ้องไปที่ทหารที่ใกล้ตายด้วยความตกตะลึง

เพียงแค่ฉันเริ่มคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดวงตาของเขาที่เป็นส่วนขาวเริ่มโผล่ขึ้น ลมหายใจของเขาเหมือนจะขาดหายไปได้ในทุกวินาที ฉันไม่สามารถที่จะยืนทนดูได้อีกต่อไป

หลังจากที่หยิบขวดน้ำศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากช่องเก็บของ ฉันเดินไปหาพวกเขา

“แม่งเอ้ย…! จับเขาไว้! ฉันบอกว่าจับไว้ไง! ถ้าเขาสติหลุดไปเมื่อไหร่ มันก็คงจบแล้ว...เอ๋? นายเป็นใครกันวะ?”

ฉันเทน้ำศักดิ์สิทธิ์ลงไปยังกระเพาะที่ถูกเปิดออก นักบวชคนที่อื่นต่างตกตะลึงและกรีดร้องออกมา

มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้

เนื่องจากว่าอวัยวะภายในต่างปนเปื้อนโดยพลังมาร มันจะระเบิดปฏิกิริยาย้อนกลับในทันที นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเลือดถึงสาดกระจายไปทั่วทุกแห่งที่เนื้อกระทบเข้า

“เฮือก!”

“อะไรวะ…ไอ้เวร!”

หนึ่งในนักบวชจับคอของฉันอย่างโกรธเคือง เขาพยายามอย่างเต็มกำลังในการช่วยชีวิตผู้ชายคนหนึ่งไว้ ไม่ว่าผู้ป่วยจะเป็นทหารหรือนักโทษก็ตามที

“แกทำบ้าอะไรของแกกัน?! นี่ไม่ใช่เวลาล้อเล่นนะ..”

ฉันเคาะไปที่หน้ากาของเขาเหมือนกับการเคาะประตูและชี้ไปที่ทหารที่กำลังตาย

“...??”

นักบวชจ้องตามนิ้วของฉัน ก่อนที่จะมองไปยังทหารที่นอนอยู่บนพื้น

“...นี่มันบ้าอะไรกันวะเนี่ย?!”

อวัยวะภายในที่ได้รับความเสียหายเริ่มที่จะฟื้นตัว อวัยวะที่ระเบิดออกหายไป ก่อนที่อวัยวะที่ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่นั้นมาแทนที่ว่างเปล่า

“โอ้ย...โอ้ย....อ๊าก! เจ็บชิบหายเลย! แม่งเอ้ย! เหี้ย! นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย! ทิ้งฉัน.. แม่งเอ้ย ไอ้นักบวชเฮงซวย! พวกแกทำบ้าอะไรกับฉัน! อ๊ากกก! เจ็บ! โอ้ย! ไอ้สารเลว! ไอ้ปีศาจร้าย!”

ทหารที่อยู่ตรงปากทางเข้าของนรกกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด และเขาก็ไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้อีกต่อไปและหมดสติไป

“พวกแกมัวทำบ้าอะไรอยู่กัน? เขากำลังจะตายแล้วนะ เจ้าไปเย็บแผลของเขาซะสิ”

คำแนะนำอัน ‘สุภาพ’ ของฉันมันทำให้นักบวชสะดุ้ง พวกเขารีบไปปิดกระเพาะของผู้ชายและเย็บแผลทันที หลังจากนั้นพวกเขาก็ใส่พลังศักดิ์สิทธิ์ไปดูแลอาการบาดเจ็บ

ทหารคนนี้จะต้องรอดชีวิตอย่างแน่นอน ตั้งแต่ที่ลมหายใจของเขาดูสงบลงแล้ว ฉันหยิบขวดน้ำศักดิ์สิทธิ์จากหน้าต่างเก็บของและโยนให้กับนักบวช

“เวทย์....มิติ?”

นักบวชมองสลับระหว่างน้ำศักดิ์สิทธิ์และฉัน

“ทำให้มั่นใจว่าไม่มีคนตายเพิ่มขึ้นซะ มันไม่จำเป็นที่จะต้องเพิ่มจำนวนอันเดทแล้ว เข้าใจไหม?” ฉันพูด

“ครับ พวกเราเข้าใจแล้ว”

นักบวชตอบกลับอย่างสุภาพและพยักหน้า

มันเหมือนกับว่าพวกเขาต่างมีคำถามมากมายที่อยากถาม แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ตระหนักได้ว่านี่มันไม่ใช่เวลาที่จะถาม พวกเขารีบกลับไปดูแลผู้ป่วยคนอื่นอย่างรวดเร็ว

“สถานการณ์ตอนนี้มันแย่ถึงเพียงไหนกัน?”

อันเดทสองหมื่นตัว พวกมันมีแม้กระทั่งอาวุธไว้บุกโจมตีปราสาท ไม่ใช่ว่าพวกเราเสียเวลากับการดูแลเจ้าสิ่งมีชีวิตเชื่องช้านี้นานเกินไปแล้วงั้นเหรอ?

ฉันพาทหารคนตายของฉันออกไปยังด้านนอกกำแพง

32. เจ้าชายได้รับการดูแลจากพระผู้เป็นเจ้า -1 จบ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด