ตอนที่แล้วตอนที่ 132 ยึดย่านร้านค้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 134 ฝูงสัตว์น้ำกลายพันธุ์ 2

ตอนที่ 133 ฝูงสัตว์น้ำกลายพันธุ์ 1


ตอนที่ 133 ฝูงสัตว์น้ำกลายพันธุ์ 1

ชารอนเดินนำหน้าตาเดียวเข้าไปที่ตึกสมาพันธ์นักล่า ที่จริงแล้วตั้งแต่ที่ไนเรลรักษาบาดแผลให้กับตาเดียวดวงตาของมันก็ไม่ได้บอดจริง ๆ แต่อาจจะเพราะความเคยชินจึงได้ปิดดวงตาไว้ข้างหนึ่ง

แต่ว่ายิ่งตาเดียวมีผ้าปิดตาและสีหน้าที่เงียบขึมก็ยิ่งสร้างแรงกดดันให้กับคนที่พบเห็น กลุ่มของนักล่าที่ยืนกันหนาแน่นทำธุระกรรมกันอยู่ด้านในตึกพากันเดินหลบให้กับตาเดียวอย่างรีบร้อนเมื่อเห็นมันเดินมา

ในตอนนั้นเองก่อนคนทั้ง 10 จะไปได้ไกลกว่านั้น ก็มีเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาหาชารอนด้วยความนอบน้อม พร้อมทั้งเชิญทุกคนไปที่ด้านนอกเพื่อขึ้นรถต่อไปในทันที โดยไม่ให้หยุดพัก

นักล่าส่วนใหญ่สังเกตเห็นแต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะพวกมันรู้สึกว่าภาพที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาสมาพันธ์นักล่านั้นดูจะวุ่นวาย คนระดับสูงยันล่างวิ่งเข้าออกอยู่ตลอดเวลา

จนถึงขนาดว่าเวลาทำการสมาพันธ์นักล่ากลายมาเป็นเปิดตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว

......

ที่เขตย่านการค้า เมืองซานติเกีย ตอนนี้ทุกอย่างเป็นรูปเป็นร่างและมั่นคงมากขึ้น ไนเรลก็สั่งให้คูเปอร์และโลแกนนำกองกำลังออกไปกวาดล้างอีกสองเขต

ตามแผนกำหนดการที่เขาวางไว้มันคือเวลา 4 เดือนยึดเมืองซานติเกีย ต้องเสียเวลากับการรับสมัครคนและคัดเลือกพร้อมทั้งเดินทางมาที่เมืองซานติเกียจนถึงเวลานี้ก็ร่วมเกือบ ๆ 1 เดือนแล้ว

ถ้าดูจากภาพรวมก็คงต้องบอกว่าพวกเขาทำเวลาได้ดี แต่ถึงกระนั้นไนเรลก็รู้ว่ายิ่งยึดเมืองซานติเกียเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะตามจริงแล้วระยะเวลา 4 เดือนนั้นมันรวมถึงการที่บูรณะเมืองขึ้นมาใหม่ ซึ่งโครงการที่ใหญ่สุดคงเป็นกำแพงที่ล้อมรอบเมือง

เขามองดูกองกำลังหมาป่าและกองกำลังพยัคฆ์กำลังเคลื่อนตัวออกราวกับฝูงมดที่ได้กัดกินน้ำตาล เพียงแต่น้ำตาลที่ว่านี้คือซอมบี้ก็เท่านั้น

ในขณะนั้นเองเขาก็สังเกตถึงหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอลิสซ่า เธอเองก็มีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน

ในช่วงที่ผ่านมาไนเรลให้อิสระกับเธอในการรับคนเข้ารวมกองกำลังมากขึ้น แต่ยังต้องคำนึงถึงข้อหนึ่งนั้นก็คือเรื่องที่มนุษย์ชั้นสูงในกองกำลังนี้จะต้องบินได้ แต่ใช่ว่าเขาจะบอกว่าต้องบินอยู่ตลอดเวลา

อันที่จริงพูดให้เข้าใจล่าย ๆ ก็คงเป็นลอยตัวหรือต่อสู้บนอากาศ

เขาตั้งความหวังกับกองกำลังเวหานี้มาก เพราะเมื่อถึงคราวต้องสู้จริง ๆ พวกเขาจะมีบทบาทมากจนคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

อลิสซ่ากำลังนำคนประมาณ 5 คนที่มีความสามารถสู้บนอากาศที่พึงคัดเลือกมาได้ไล่สังหารซอมบี้ปีกที่บินอยู่กลางอากาศ ในกองกำลังนั้นมีคนที่ใช้ความสามารถพลังธาตุลมหนุนส่งตัวเองจนบินได้ชั่วคราว บางคนก็ใช้เปลวไฟเป็นดังจรวด ซึ่งก็อยู่ในสองธาตุนี้ที่สามารถพลิกแพลงได้ ทำให้พวกมันสังหารซอมบี้ปีกได้

ในขณะนั้นเองเสียงของซีโร่ก็ดังขึ้น

“ท่านไนเรล คนทั้งสิบที่ท่านให้ตามหาขณะนี้กำลังเดินทางมาจากเมืองย่อย 101 จะถึงที่นี้ในวันพรุ่งนี้อย่างช้าสุด”

“อืม...ในที่สุดก็มากันแล้ว” ไนเรลพยักหน้าตอบจากนั้นก็หันไปเล่นปืนพกเรียวกันที่อยู่ในมือ

ตั้งแต่ที่เมสันนำปืนต้นแบบทั้ง 10 กระบอกมาให้ไนเรล เขาก็ทดสอบมันไปหลายครั้ง เริ่มตั้งแต่รูปร่างที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไปขนาดประมาณปืนลูกโม่ทังสตนของไนเรลไม่มากนัก

กระสุนในการบรรจุแต่ละครั้งนั้นได้ประมาณ 20 ลูก พลังงานในการยิงมีด้วยกัน 3 ระดับตามการทำลายล้าง

สูงสุดคือระดับ 3 ที่สามารถสร้างความเสียหายต่อสัตว์ระดับ 4 ได้ และระดับ 3 และ 2 ลดหลั่นกันลงไป

ถึงจะมองว่าพลังมันสามารถสร้างความเสียหายได้แค่ระดับ 4 ไม่อาจจะสั่งหารได้ในนัดเดียวเหมือนปืนใหญ่พลังงาน E1 และ E2 แต่อย่าลืมว่าปืนเรียวกันก็มีข้อได้เปรียบในเรื่องของการพกพา

ที่สำคัญกว่านั้นคือถ้าสมมุติมีปืนเรียวกันแบบที่อยู่ในมือไนเรลสักหนึ่งพัน ไม่สิหนึ่งร้อยกระบอก ต่อให้เป็นสัตว์กลายพันธุ์ระดับ 4 ร่างก็คงแหลกเหลวเช่นกัน

จับปืนเล่นอยู่สักพักชายหนุ่มก็รู้สึกเบื่อขึ้นมา เพราะกว่าที่ตาเดียวและชารอนจะมาก็อีกวัน แต่ด้วยความว่างงานก็ไม่รู้จะไปทำอะไร จะออกไปล่าสัตว์กลายพันธุ์ระดับสูงนอกเมืองก็ไม่ได้ เนื่องจากตอนนี้เขาคุมเชิงอยู่ที่ย่านการค้าเมืองซานติเกีย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นเขาจะได้ไปช่วยทัน แต่จนถึงตอนนี้ทุกอย่างก็ราบรื่นไปหมด

แต่พอคิดไปคิดมาดูเหมือนว่าเขาจะยังมีงานอยู่อีกอย่าง เมื่อคิดได้ดังนั้นไนเรลไม่รีรอรีบตรงไปจัดการทันที

เขายืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำที่เมื่อก่อนเคยลานกว้างชมวิวทิวทัศน์ มีรูปปั้นและตึกอาคารอยู่จำนวนมากโดยเฉพาะโรงแรมที่หรูหรา แต่ในตอนนี้มันกลับเต็มไปด้วยความเสื่อมโทรม ต้มไม้ใบหญ้าขึ้นอยู่หน้าแน่น

ตัวตึกอาคารก็พังถล่มอยู่หลายแห่งเห็นแล้วยิ่งรู้สึกหดหูใจ

แต่ในความรู้สึกลึก ๆ ไนเรลกลับคิดว่ามันก็สวยงามไปอีกแบบ ถึงชายหนุ่มจะคิดแบบนั้นมันเพียงชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น

ยิ่งไนเรลเดินไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งได้กลิ่นเหม็นเน่า เพราะข้างหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยซากศพของซอมบี้ที่ถูกขนย้ายมาจากทุกที่ในเมืองซานติเกีย

ผู้พิทักษ์สมาพันธ์นักล่าที่เห็นไนเรลก็แสดงความเคารพทักท้ายอย่างสุภาพ เมื่อคนที่ย้ายเข้ามาใหม่เมื่อวันสองวันเพื่อเป็นแรงงานเห็นแบบนั้นก็หยุดมือและทักทายเขาด้วยเช่นกัน

ชายหนุ่มเห็นแบบนั้นก็พยักหน้ารับและบอกพวกเขาว่าให้ไปทำงานต่อส่วนตัวของไนเรลก็เดินไปตามจุดที่มีซากของซอมบี้วางอยู่และลงมือใช้ความสามารถ [เร่งการเจริญเติบโตของพืช A] และ [การตอบรับของธรรมชาติ A]

ต้นกาบหอยแครงปีศาจที่โตขึ้นอย่างฉับพลันสร้างเสียงฮือฮาให้กับพวกคนงานที่อยู่รอบข้างเล็กน้อย เนื่องพวกเขาทั้งหมดเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ถึงจะเคยเห็นและสัมผัสกับมนุษย์ชั้นสูงมาบ้าง แต่ที่ทำได้แบบไนเรลเกรงว่าจะมีน้อยมาก

ไนเรลไม่สนใจพวกคนงานอีก เพราะตอนนี้เขากำลังเดินไปอีกจุดและเริ่มใช้ความสามารถแบบเดิม ๆ อีกครั้งและอีกครั้ง

โดยไม่คิดจะหยุดพักเลยแม้แต่น้อย ถ้าจะบอกว่าไนเรลไม่เหนื่อยเลยก็คงจะเป็นการโกหกเกินไป แต่เพราะเขามีแก่นพลังงานที่พึ่งได้รับมาใหม่พอสมควร ความเร็วในการฟื้นพลังงานที่เสียไปจึงเร็วกว่าปกติ

อีกอย่างไนเรลก็ไม่ได้ใช้ความสามารถ [เร่งการเจริญเติบโตของพืช A] จนพวกต้นกาบหอยแครงปีศาจพัฒนาเกินไปกว่าระดับ 3

ถ้าไนเรลเร่งการเจริญการเติบโตมันเป็นระดับ 4 หรือ 5 มันก็คงจะกินพลังงานและเวลาเกินไป เขาต้องการแค่ให้พวกมันจัดการกับสัตว์กลายพันธุ์ระดับต่ำ เพื่อไม่ให้สัตว์พวกนี้แอบมาสร้างความเสียหาย หรือกินคนงานของเขาก็เท่านั้น ส่วนพวกระดับ 4 ขึ้นไปก็ให้มนุษย์ชั้นสูงของสมาพันธ์นักล่ามาจัดการเอาเอง

เพราะหลังจากนี้เมื่อยึดเมืองซานติเกียได้ทั้งหมด ก็ต้องสร้างกำแพงล้อมรอบอยู่แล้ว

แม้ไนเรลจะพูดว่าให้พวกพืชกาบหอยแครงปีศาจพวกนี้อยู่แค่ระดับ 3 คอยจัดการสัตว์กลายพันธุ์ระดับต่ำ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าต้นกาบหอยแครงปีศาจของไนเรลมันสามารถกินและเติบโตได้ด้วยตนเอง ซึ่งถ้ามันยังอาหารอุดมสมบูรณ์แบบนี้อีกไม่นานก็คงพัฒนาเป็นระดับ 4 หรือ 5 ก็ได้

และตอนนั้นมันจะกลายเป็นผู้พิทักษ์รอบเมืองซานติเกียที่สุดยอดเสียยิ่งกว่าพวกผู้พิทักษ์สมาพันธ์ซะอีก

หลังจากปลูกต้นกาบหอยแครงปีศาจต้นที่ 400 เสร็จไนเรลก็ปาดเหงือบนหน้าพร้อมกับคิดไปถึงอสูรเผ่านิมฟ์ที่สามารถปลูกต้นไม้จำนวนมากโดยไม่เสียเหงือสักเม็ด

“ดูท่างานสวนคงไม่เหมาะกับเรา” ไนเรลพึมพำออกมาขณะที่มองไปที่ท้องฟ้ากับสายฝนที่ยังคงตกมาเหมือนเช่นในทุก ๆ เวลา เขาเดินกลับไปพักผ่อน

โดยยังคงมีคนงานขนศพซอมบี้มาทิ้งอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุดแข่งกับฝน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีซอมบี้จำนวนมากพอสมควรในสองเขตที่เหลือ

......

ทางด้านของคูเปอร์ที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาควบคุมกองกำลังมนุษย์ชั้นสูงสลับหมุนเวียนเข่นฆ่าซอมบี้ท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความระมัดระวัง

เพราะในตอนกลางคืนจะมีซอมบี้เงาระดับ 2 ออกอาละวาดอยู่หลายครั้ง บวกกับทัศนวิสัยที่มองเห็นได้ยากและความเหนื่อยล้าที่ต้องสู้มาทั้งวัน

คูเปอร์ที่มักจะออกไปสู้ในแนวหน้าเปิดฉากโจมตีอยู่เสมอ เมือกวาดล้างซอมบี้ในคลังสินค้าที่ติดกับท่าเรือของแม่น้ำได้แล้ว เขาก็คิดจะถอยก่อนในวันนี้

เพราะตอนนี้คนในกองกำลังของเขาแสดงสัญญาณถึงความเหนื่อยล้าแล้ว อันที่จริงแล้วทุกคนนั้นเหนื่อยมากมานานแล้ว แต่เพราะความที่คูเปอร์เคยเป็นทหารมาก่อนทำให้เขาติดนิสัยที่ว่าต้องถึงขีดสุดเท่านั้นถึงยอมถอย จึงทำให้คนในกองกำลังกัดฟันสู้ต่อไป

“ถอยกันก่อน พอศพคนที่ตายกลับไปด้วย ถึงอย่างไรมันก็เป็นทหารของกองกำลังพยัคฆ์เรา อย่าลืมแทงใช้เหล็กศีรษะมันด้วย” คูเปอร์สั่งขณะที่เช็ดน้ำฝนออกจากหน้า

ทหารกองกำลังพยัคฆ์ที่ได้ยินสัญญาณถอยก็ดีใจ พากันถอยมารวมกลุ่มกันเดินทางกลับ โดยมีแสงไฟสปอตไลท์จากรถฮัมวี่ และมนุษย์ชั้นสูงที่มีความสามารถสนับสนุนที่มองเห็นและตรวจจับในตอนกลางคืนคอยนำทางออกไป

“ฝนตกแบบนี้น่าเป็นห่วง” เอมเบอร์ที่เดินตามคูเปอร์พูดด้วยความกังวล ขณะที่มองตามท่อละบายน้ำที่ละบายน้ำฝนอย่างต่อเนื่อง จนบางครั้งน้ำก็ไหลไม่ทันท่วมขังบางที่

“คงต้องพูดคุยกับไนเรลดูถึงเรื่องนี้ เพราะถ้าฝนยังตกแบบนี้อยู่คงมีปัญหาแน่ ๆ แต่ยังไงเราก็ต้องกวาดล้างซอมบี้ให้หมดตามเวลาที่กำหนด”

“ถ้าขอให้กองกำลังผู้พิทักษ์สมาพันธ์มาช่วยด้วยจะดีไหม เพราะอย่างไรเขตอุตสาหกรรมก็กว้างมาก ถึงจะไม่เท่าที่พักอาศัยและซอมบี้ก็ไม่เท่าที่นั้น แต่กลับมีสัตว์กลายพันธุ์อาศัยอยู่จำนวนมากกว่ากันเยอะพอควร”

“คนของกองกำลังพยัคฆ์ก็พึงกลายมาเป็นมนุษย์ชั้นสูง อีกทั้งส่วนใหญ่จะอยู่แค่ระดับสีเทาเท่านั้น ถ้าเป็นแบบนี้คนตายต้องเพิ่มมากขึ้นแน่นอน”

“ฉันจะไปถามไนเรลให้” คูเปอร์พยักหน้าเห็นด้วย เพราะวันนี้เขาก็สูญเสียกำลังคนไปมากกว่า 10 นายแล้ว ซึ่งถ้าปกติแล้วคนตาย 10 คนมันถือว่าน้อยมาก แต่เพราะทุกคนคือมนุษย์ชั้นสูงทำให้ราคาของมันสูงกว่ามาก

“งั้นก็....เดียวเสียงอะไร”

แต่ก่อนที่ทั้งสองจะได้พูดกันต่อ อยู่ ๆ ด้านหลังของพวกเขาก็เกิดเสียงสั่นไหวของเหล็กกระทบกัน

ทุกคนในกองกำลังพยัคฆ์แปลกใจกับเสียงที่ดังผ่านสายฝน ทุกคนพากันหันกลับไปมองยังจุดที่พวกมันพึงจะเดินจากมา

แต่ยังไม่ทันที่ทหารของกองกำลังพยัคฆ์ได้ตกใจก็ต้องหวาดกลัวซะก่อน เพราะฝูงสัตว์น้ำกลายพันธุ์จำนวนมหาศาลจนแม้แต่เอมเบอร์ยังต้องศีรษะด้านชาถ้าจะต้องนับจำนวนพวกมัน กำลังทยอยขึ้นมาจากน้ำ พร้อมกับเสียงกระทบกันไปมาของกล้ามพวกมัน

“แจ้งเตือน ส่งสัญญาณเตือนภัยเร็ว” เสียงของคูเปอร์ดังปลุกทุกคนจากความกลัว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด