ตอนที่แล้วตอนที่75 - การเกณฑ์ทหาร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 77 - การต่อสู้ของวิญญาณดั้งเดิม

ตอนที่ 76 - สามอาณาจักรผู้ยิ่งใหญ่


ตอนที่ 76 - สามอาณาจักรผู้ยิ่งใหญ่

สนามต่อสู้มีขนาดใหญ่มากสามารถรองรับการรวบรวมกองทัพของกลุ่มต่างๆทั้งหมดได้ ที่นี่มีทหารจำนวนมากจากเผ่าพันธุ์ต่างๆทุกคนสวมชุดเกราะเย็นยะเยือกถืออาวุธที่คมกล้าในมือ

ในขณะเดียวกันบนท้องฟ้าปักษาดุร้ายต่างก็กางปีกออกทอดเงาลงมาปกคลุมพื้นดิน มีนักรบที่ทรงพลังนั่งอยู่บนหลังของพวกมัน

กองทัพที่ยิ่งใหญ่ทั้งหมดเตรียมออกไปทำศึก!

“เจ้าไม่ต้องการค้นหายาเซียนจริงๆหรือ? เข้าสู่สนามรบแบบนี้จะมีชีวิตหรือตายเป็นเรื่องที่กำหนดไม่ได้”นักรบที่สวมชุดเกราะสีเงินกล่าวด้วยเสียงต่ำพยายามโน้มน้าวเขาเป็นครั้งสุดท้าย

สือฮ่าวปลดปล่อยเสียงเยาะเย้ยและส่ายหัว การค้นหายาเซียนสักต้นจะเป็นเรื่องง่ายได้อย่างไร? ถ้าเขาไปที่นั่นเขาน่าจะตายเร็วกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเขาจะนำกลับมาได้สำเร็จเขาจะต้องส่งยาให้ใคร?

“เจ้ามาเพื่อชดใช้ความผิดให้ตะกูลหินผาใช่หรือไม่” ในท้องฟ้านักรบผู้ทรงพลังอีกคนพูดขึ้น เขายืนอยู่บนร่างของสิงโตสีขาว เขามองลงไปและพูดว่า“ช่างไม่เจียมตัว!”

สือฮ่าวอยากจะบอกว่าตระกูลสือไม่มีความผิด แต่เขารู้ว่าการโต้แย้งไปก็ไม่มีความหมาย สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้คือนำชนเผ่าหินผาออกจากอันตรายก่อน

เดิมนี่เป็นเผ่าที่ยิ่งใหญ่ที่เฟื่องฟูมีอำนาจมากในเมืองจักรพรรดิ์แต่ตอนนี้มีสมาชิกไม่ถึงพันคน หากยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้พวกเขาจะถูกกำจัดจนหมดสิ้น

“ในอดีตเมื่อตระกูลหินผามีผู้คนมากมายพวกเขาต้องการไถ่ถอนตัวเองด้วยการฆ่าศัตรูให้ได้แสนคนแต่ก็ไม่สามารถทำได้! ตอนนี้เมื่อมีเจ้าเข้าร่วมบางทีนี่อาจเป็นโอกาสของพวกเขาข้าหวังว่าเจ้าจะมีวันทำมันสำเร็จ ฮ่าๆๆ”

นักรบอีกคนกล่าวด้วยน้ำเสียงล้อเลียน มันทำให้สือฮ่าวรู้สึกรังเกียจอย่างมาก

เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้กำลังเย้ยหยันเขา!

สือฮ่าวหันกลับมามองไปทางคนผู้นั้น เขานั่งอยู่บนแรดเพลิงศักดิ์สิทธิ์ สัตว์ขี่ตัวนี้นี้มีความพิเศษอย่างยิ่งพลังงานสีม่วงพุ่งขึ้นมาจากเท้าของมันเปลวไฟม้วนงอไปมาชัดเจนว่าเป็นสัตว์ร้ายโบราณที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง

สำหรับนักรบคนนั้นเขาดูเด็กมากผิวของเขาขาวและละเอียดอ่อน แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชาย แต่ร่างกายของเขาก็อ่อนโยนหล่อเหลา

“เจ้าไม่จำเป็นต้องจ้องมองมาที่ข้าอย่างดุร้าย ข้ามีนามว่าจินจื่อเฟยลุงคนที่แปดของจินซาน เจ้าต้องรออีกหลายปีถึงจะมีโอกาสท้าทายข้า” นักรบผู้นี้ดูเหมือนจะไม่สนใจสือฮ่าว เขาหยิบมีดเล็กๆขึ้นมาเล็มเล็บตัวเอง

ความเหลาะแหละและความไม่เป็นระเบียบเช่นนี้เป็นการดูถูกสือฮ่าวอย่างยิ่ง

“เพียงแค่ก้าวเข้าสู่อาณาจักร แยกตัวเองแล้วเจ้ามีอะไรให้หยิ่งผยองกัน? หากเจ้ากับข้าสู้กันจริงๆก็ยากจะบอกว่าใครจะเป็นคนที่ตาย” สือฮ่าวตอบอย่างเย็นชา

หลังจากอาณาจักรธรรมปลอมก็จะเป็นอาณาจักร 'แยกตนเอง'คนเหล่านี้นับเป็นผู้เชี่ยวชาญที่หายากยิ่งในโลก เป็นเพราะไม่มีเส้นทางให้เดินหลังจากอาณาจักรนี้มากนัก!

“ข้าจะถือว่านี่คือการยั่วยุ? เป็นเพียงผู้ฝึกฝนตัวเล็กๆ ที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นธรรมปลอมแต่เจ้ายังกล้าประพฤติหยิ่งยโสต่อหน้าข้า” จินจื่อเฟยลดใบมีดตัดเล็บลงก่อนจ้องมองมาที่สือฮ่าว

“ถ้าเจ้ารู้สึกว่าตัวเองอยู่สูงกว่าและอยากจะข่มเหงข้าก็นับว่าเจ้าคิดผิดแล้ว” สือฮ่าวกล่าวอย่างใจเย็น

ในช่วงเวลานั้นผู้คนมากมายในสนามต่อสู้ต่างมองมาทางนี้

เจ้าหนูจากอาณาจักรธรรมปลอมกำลังท้าทายผู้เชี่ยวชาญในอาณาจักรแยกตนเองสิ่งนี้ทำให้เกิดความสนใจในวงกว้าง เป็นเพราะการท้าทายผู้ที่อยู่ในที่สูงกว่านั้นยากเย็นเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจินจือเฟยเป็นอัจฉริยะที่กำลังอยู่ในช่วงที่สมบูรณ์ที่สุดในชีวิตปราณโลหิตของเขายังคงหนาแน่นไม่เสื่อมโทรม!

อัจฉริยะที่เอาชนะคู่ต่อสู้ในอาณาจักรแห่งการบ่มเพาะที่สูงกว่าไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามหากผู้ที่อยู่อาณาจักรการบ่มเพราะสูงกว่าเป็นอัจฉริยะเช่นเดียวกันเรื่องนี้ก็นับว่าเป็นไปไม่ได้

“ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าตอนนี้มีแมวและสุนัขบางตัวไม่ต้องการแสดงความเคารพผู้อาวุโส หากข้าไม่ได้สั่งสอนเจ้าให้รู้สำนึกเจ้าก็จะไม่รู้ถึงความห่างระหว่างสวรรค์และปฐพี!” จินจือเฟยกล่าว

ความตั้งใจเดิมของเขาคือการกดหัวสือฮ่าวไว้ เพื่อเป็นการลดชื่อเสียงของเขา แล้วตำแหน่งของจินซานก็จะสูงขึ้นกว่าเดิมในสายตาของคนภายนอก เขาไม่เคยคาดหวังว่าปฏิกิริยาของอีกฝ่ายจะรุนแรงมากขนาดนี้

หลายคนสั่นสะท้านภายใน ไม่ควรมองข้ามจินจือเฟยเพราะผิวของเขาซีดขาวเหมือนกับคนป่วย เพราะนี่เป็นหนึ่งในอัจฉริยะเพียงไม่กี่คนของตระกูลจินซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีพลังมากมากที่สุดคนหนึ่งของตระกูล

ยิ่งไปกว่านั้นอายุของเขาก็มีเพียง 40 ปีเท่านั้น แต่เขาก็สามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญในอาณาจักรแยกตนเองได้แล้ว ความเร็วในการบ่มเพาะแบบนี้แทบไม่มีให้เห็น เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนสั่นสะท้านจากพรสวรรค์ของเขา

"เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? คิดว่าตัวเองยอดเยี่ยมนักหรือ?เชื่อหรือไม่ว่าหมาแมวที่เจ้าพูดถึงสามารถตบเจ้าตายในครั้งเดียวได้!” สือฮ่าวไม่ยอมลดราวาศอกแม้แต่น้อย

ทุกคนพูดไม่ออก เจ้าหนูคนนี้ไม่ใช่คนที่จะยอมอ่อนข้อให้ใคร ต่อให้เผชิญหน้ากับอัจฉริยะของตระกูลจินเขาก็ยังแสดงความแข็งกร้าวออกมา เขาไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่คาดไว้

สือฮ่าวมีคลื่นแห่งความโกรธที่ถูกกักขังอยู่ภายในมานานแล้ว เริ่มจากหวังฉางเหอคนแรกและต่อมาก็มีศัตรูคนอื่นที่โผล่ออกมาอย่างไม่จบสิ้น ตอนนี้มาถึงรอบของคนตระกูลจิน อารมณ์ของเขานับว่าระเบิดออกโดยสมบูรณ์แล้ว

“ทุกคนก็เห็นแล้วนี่คือทัศนคติของคนรุ่นหลังที่มีต่อผู้อาวุโส ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆนอกจากต้องสร้างวินัยให้กับเขาอย่างเหมาะสม” จินจื่อเฟยมองไปที่เล็บของเขาที่เขาตัดแต่งเสร็จแล้วจากนั้นดวงตาของเขาก็จ้องมองสือฮ่าวอย่างโกรธเกรี้ยว

ในความเป็นจริงอายุของเขาก็ไม่ได้มากขนาดที่ตั้งตัวเองเป็นผู้อาวุโสของสือฮ่าวได้

“แม้แต่คนอย่างเจ้ายังคิดว่าตัวเองจะสามารถรวมกลุ่มกับพวกผู้อาวุโสได้? ถามคนอื่นหรือยังว่าพวกเขาต้องการให้เจ้าเข้าร่วมหรือไม่ อย่าพยายามปิดทองใส่หน้าตัวเองเลย” สือฮ่าวกล่าวเย้ยหยัน

“เลิกสร้างปัญหากันได้แล้วหากคิดว่าตัวเองเก่งพวกเจ้าก็เอาไปใช้กับศัตรู! อย่ามาตะโกนไร้สาระอยู่ข้างใน?!” ในเวลานี้นักรบผู้ยิ่งใหญ่ที่ขี่สัตว์อสูรกลืนสวรรค์กล่าว

“ไม่ใช่ว่าข้าต้องการสร้างปัญหา แต่เป็นเจ้าคนมาใหม่ที่หยิ่งผยองเกินไป ข้าแค่อยากแนะนำกฎบางอย่างให้เขาทราบเท่านั้น” จินจือเฟยกล่าว

ดวงตาของนักรบผู้ยิ่งใหญ่กลายเป็นเย็นชา แม้ว่าเขาจะไม่ชอบจินจือเฟย แต่เขาก็รู้ดีว่าตระกูลจินเป็นตระกูลอมตะที่ไม่สามารถยั่วยุได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจินไท่จุนปกป้องทายาทของตัวเองอย่างไม่สนใจใครหน้าไหน

สือฮ่าวกล่าวว่า“แม้แต่คนอย่างเจ้ายังกล้าพูดถึงเรื่องกฎระเบียบ? ที่นี่มีนักรบผู้ยิ่งใหญ่ที่นับเป็นรุ่นอาวุโสมากมาย แต่เจ้ายังไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา? เห็นทีข้าต้องสั่งสอนให้เจ้ารู้จักคำว่าสัมมาคารวะสักหน่อยแล้ว”

ทุกคนหัวเราะรู้สึกเหมือนมีอะไรน่าสนใจให้ชม ทั้งสองเพิ่งพบกันแต่กำลังจะเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆ

“ผู้อาวุโสท่านก็เห็นแล้ว เจ้าเด็กคนนี้ท้าทายข้าซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง มันเป็นเรื่องยากลำบากที่ข้าจะไม่ตอบสนองเขา?”จินจือเฟยกล่าวพร้อมหัวเราะเบา ๆ

“ในความคิดของข้าหากปล่อยให้มีความขัดแย้งภายในอาจไม่ใช่เรื่องดีสำหรับกองทหารของเรา ควรปล่อยให้พวกเขาแลกเปลี่ยนคำชี้แนะกันสักหน่อยก็ดี” อัศวินที่นั่งบนสิงโตขาวกล่าว

“แค่แลกเปลี่ยนคำชี้แนะ อย่าให้ถึงกับเลือดตกยางออกข้าไม่ต้องการให้มีความสูญเสียในกองทหารของข้า!” อัศวินผู้ยิ่งใหญ่ที่ขี่สัตว์อสูรกลืนสวรรค์กล่าวอย่างเย็นชา

“ฮ่าฮ่าดีเราจะทำให้เสร็จโดยเร็ว มันจะไม่มีการสูญเสียอะไรทั้งสิ้น!” จินจือเฟยหัวเราะเสียงดัง

สิ่งนี้ทำให้เกิดความสนใจอย่างมาก ทุกๆคนที่อยู่ในบริเวณต่างก็รุมล้อมเข้ามา พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าอัจฉริยะสองคนจะต่อสู้กันก่อนออกไปทำสงคราม!

“การท้าทายขอบเขตการแยกตนเองในขณะที่อยู่ในอาณาจักรธรรมปลอมเจ้าหนูคนนี้หยิ่งยโสเกินไป เขาจะต้องทุกข์ทรมานอย่างมากแน่นอน!” ใครบางคนพูดพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ

“คนที่เขาท้าทายคืออัจฉริยะจากสวรรค์ไม่มีทางที่เขาจะข้ามอาณาจักรและเอาชนะได้!”

หลายคนส่ายหัวไม่คิดว่าสิ่งต่างๆจะจบลงด้วยดีสำหรับสือฮ่าว พวกเขาเชื่อว่าสือฮ่าวจะต้องได้รับความอับอายขายหน้าอย่างแน่นอน

สนามต่อสู้มีพื้นที่ขนาดใหญ่เปิดให้ทั้งสองต่อสู้กัน

สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในอาณาจักรแยกตัวเองถือได้ว่ามีจำนวนน้อยนิดในโลกนี้

เป็นเพราะในโลกนี้มีอาณาจักรการบ่มเพาะที่สูงกว่าขั้นแยกตัวเองอยู่เพียง 2 ขั้นเท่านั้นนั่นคืออาณาจักรแห่งการปลดปล่อยตนเองและสิ่งมีชีวิตระดับผู้สูงสุด

โดยปกติแล้วผู้คนของอาณาจักรการแยกตนเองมีพลังมากเกินไปมักถูกเรียกว่าผู้ยิ่งใหญ่!

แน่นอนว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากที่เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตของอาณาจักรปลดปล่อยตนเองยังคงไม่ถือว่าเป็นเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดพวกเขาต้องก้าวข้ามเข้าไปสู่อาณาจักรที่เรียกว่าผู้สูงสุดซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายก่อนจะก้าวไปถึงผู้อมตะ!

“ในสวรรค์และปฐพีนี้มีสิ่งมีชีวิตสิ่งมีชีวิตระดับผู้อมตะได้เพียงหนึ่งเดียว!” ไม่ทราบว่าใครเป็นคนพูดคำนี้เป็นคนแรก แต่ก็ถูกส่งต่อกันรุ่นสู่รุ่น แม้แต่ผู้นำของตระกูลอมตะหลายตะกูลก็ยังกล่าวว่าหากพวกเขาไม่สามารถสัมผัสกับอาณาจักรผู้สูงสุดได้ก็ไม่มีทางที่จะบรรลุความเป็นอมตะ

มีตัวประหลาดเฒ่าบางคนที่หลังจากทำการศึกษาแล้วรู้สึกว่าหากสภาพแวดล้อมของโลกไม่เปลี่ยนไปในยุคนี้ก็จะยังคงมีเพียงคนเดียวที่จะบรรลุความเป็นอมตะได้ในที่สุด นี่อาจเป็นคำอธิบายที่พอจะแสดงให้เห็นความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรนั้น

หลายคนเชื่อว่าในยุคหนึ่งสามารถมีผู้สูงสุดได้หลายคนแต่จะมีผู้อมตะได้เพียงคนเดียว

ตามขั้นพลังที่ตระกูลอมตะทั้งหลายได้กล่าวไว้ว่าอาณาจักรธรรมปลอมคือครึ่งเก้าของผู้ยิ่งใหญ่หลังจากนั้นจะเป็นการแยกตนเองและการปลดปล่อยตนเองสองขั้นพลังการบ่มเพาะนี้ถึงจะสามารถเรียกได้ว่าผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง

ตอนนี้เมิ่งเทียนเจิ้งและเซียนอมตะหวังต่างเป็นที่เชื่อกันว่าพวกเขามาถึงอาณาจักรผู้สูงสุดแล้ว และมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่จะต่อสู้เพื่อตำแหน่งผู้อมตะเพียงหนึ่งเดียวได้

อย่างไรก็ตามสภาพแวดล้อมของโลกเปลี่ยนไปความหวังของพวกเขาในการบรรลุความเป็นอมตะในขณะนี้ก็ริบหรี่แทบจะไม่มีทางเกิดขึ้น

สำหรับหยวนชิงที่ผู้คนเรียกขานว่าครึ่งเก้าผู้สูงสุด แต่นั่นก็เป็นเพียงการยกย่องที่เกินจริงเท่านั้น ในความเป็นจริงเขายังไปไม่ถึงอาณาจักรปลดปล่อยตนเองด้วยซ้ำ

สามารถกล่าวได้ว่าสิ่งมีชีวิตระดับผู้สูงสุดนั้นมีจำนวนน้อยกว่าน้อย ผู้คนที่เฝ้ารักษาแท่นบูชาบรรพบุรุษก็ควรจะมีขั้นพลังนี้เช่นกัน

ในสนามต่อสู้ สือฮ่าวยืนหยัดอย่างกล้าหาญต่อหน้าจินจือเฟย!

“ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้เรื่องยากขนาดนี้ เนื่องจากเราจะออกไปรบดังนั้นเราจึงควรยุติสิ่งต่างๆโดยเร็วที่สุด ทำไมเราสองคนไม่ใช้การโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของพลังศักดิ์สิทธิ์ในครั้งเดียวเพื่อตัดสินผล?” จินจือเฟยถาม

"เอาตามนั้นก็ได้!" สือฮ่าวตอบอย่างตรงไปตรงมา

การแสดงออกของผู้คนเปลี่ยนไปเพราะพวกเขาได้ยินข่าวลือว่าเจตจำนงแห่งสวรรค์ของจินจือเฟยนั้นไม่มีใครเทียบได้และทรงพลังอย่างถึงที่สุด

“เฮ่อเฮ่ เจ้าแปดจะชนะอย่างแน่นอน อาจกล่าวได้ว่าเขาจะบดขยี้ฮวงได้อย่างง่ายดายทำให้เจ้าหนูนี่ไม่สามารถเงยหน้าขึ้นอีกตลอดชีวิต” มีคนจำนวนมากจากตระกูลจินอยู่ที่นี่ พวกเขาส่งเสียงหัวเราะเฮฮา

เป็นเพราะมีข่าวลืออยู่เสมอว่าโชควาสนาของจินจือเฟยมีอยู่อย่างมากมาย ตอนที่เขายังเด็กเขาได้กินสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ที่หายากโดยบังเอิญ จนเป็นเหตุให้วิญญาณดั้งเดิมของเขาแข็งแกร่งทรงพลังมากกว่าคนปกติไปหลายเท่า

“ฮ่าฮ่า เด็กน้อยเข้ามาเถอะ ให้ข้าได้สั่งสอนคำว่าสัมมาคาราวะแก่เจ้า” จินจือเฟยที่นั่งอยู่บนแรดเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไม่มีเจตนาที่จะลงมือก่อน เขามองว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าสือฮ่าวอย่างมากมาย การลงมือก่อนย่อมนับว่าเป็นการเสียหน้าสำหรับเขา

มีระยะห่างระหว่างพวกเขาเล็กน้อย คราวนี้ไม่ใช่การต่อสู้ของกายเนื้อ แต่เป็นการโจมตีพลังศักดิ์สิทธิ์ มันจะต้องอันตรายอย่างมากแน่นอนเพราะมันเกี่ยวข้องกับการปะทะกันของวิญญาณดั้งเดิม!

“เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว! ถ้าเจ้าพ่ายแพ้ให้กับข้า เจ้าจะไม่รู้สึกอับอายอย่างมากสำหรับท่าทางในตอนนี้หรือ?” สือฮ่าวพูดอย่างไร้อารมณ์

“ความมั่นใจเป็นสิ่งที่ดี อย่างไรก็ตามอย่าให้มันพังทลายลงหลังจากที่เจ้าพ่ายแพ้ก็แล้วกัน หากเป็นเช่นนั้นเจ้าจะไม่สามารถบรรลุอะไรได้อีกเลยตลอดชีวิต” จินจือเฟยกล่าวอย่างเย็นชาดวงตาของเขาวูบไหวด้วยไอสังหารแสงสีทองกระพริบผ่านท้องฟ้าเหมือนดาวตก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด