ตอนที่ 3 การเปลี่ยนแปลงของโชคชะตา
ใบหน้าของฉินหยูแข็งกระด้างแต่ในไม่ช้าเขาก็แสดงท่าทีตกใจออกมา"ซูเจี้ยน เจ้ามาทำอะไรที่นี่? อย่าได้มาสร้างปัญหาให้ข้าเพราะข้าไม่กลัวเจ้า!"
อาจเป็นเพราะอารมณ์ที่พลุ่งพล่านหลังจากที่เขาพูดจบเขาก็เกิดอาการไอรุนรงพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเซียวและความเจ็บปวดที่ยากจะเกินทน
ชายวัยกลางคน ในชุดคลุมสีเงินได้เดินตามหลังเข้ามาพร้อมกับขมวดคิ้วแน่นและกวาดสายตามองไปทุกหนแห่ง ที่อยู่อาศัยของศิษย์นอกมักจะคับแคบและมีคนจำนวนมาก การที่เขาต้องมาเยือนที่นี่ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ อีกทั้งอาการบาดเจ็บของศิษย์คนนี้ก็น่าสงสัยอย่างยิ่ง
ซูเจี้ยน จ้องมองไปที่ฉินหยูละกล่าวพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน"เมื่อคืนวานศิษย์พี่ฮานตงและเวยเว่ยถูกสังหารตอนนี้นิกายได้ปิดตายเพื่อตามหาตัวฆาตกร ผู้อาวุโสหลี่ต้องการคำตอบจากเจ้าหากเจ้ากล้าพูดโกหกเจ้าไม่รอดแน่!"
หลังจากพูดจบใบหน้าที่ดุร้ายของเขาก็เปลี่ยนกลายเป็นประจบสอพลอ
หลี่มู่ทุ่ย ได้เพิกเฉยต่อรูปลักษณ์ที่น่ารังเกียจของศิษย์สายนอกเหล่านี้และพูดออกมาตรง ๆ "บอกข้ามาว่าเมื่อคืนเจ้าอยู่ที่ไหนทำอะไร ทำไมเจ้าถึงได้รับบาดเจ็บ?"
ฉินหยูรู้สึกตกใจแต่ด้วยสติปัญญาของเขา เขากล่าวด้วยเสียงสั่นเทา"ศิษย์อยู่ที่นี่ทั้งคืน เพราะความเจ็บป่วยของข้าปะทุขึ้นทำให้วันนี้ข้าไม่ได้ไปทำงาน ดังนั้นผู้อาวุโสโปรดผ่อนปรนด้วย!"
หลี่มู่ทุยขมวดคิ้วแน่นกับคำตอบของศิษย์คนนี้ แต่เขาก็จ้องมองไปที่ ซูเจี้ยนและกล่าวถาม"เขาป่วยงั้นเหรอ?"
ซูเจี้ยน รู้สึกมีความสุขมาก เขาไม่กล้าที่จะเพิกเฉยและตอบกลับด้วยความเคารพ"เรียนผู้อาวุโส ฉินหยู ถูกลงโทษเมื่อครึ่งปีก่อนเนื่องจากเหตุการณ์สวนสมุนไพรถูกทำลาย จนถึงตอนนี้เขายังรักษาไม่หาย"
หลี่มู่ทุย มองไปที่ สีหน้าที่หวาดกลัวของ ฉินหยู และ สั่นศีรษะ"ระดับกลั่นปราณขั้นที่ 1 ลำพังแค่จะประคองอาการบาดเจ็บก็ยังแทบจะไม่ได้ และ ด้วยพฤติกรรมที่ขี้ขลาดของเขาไม่มีทางที่เขาจะเป็นฆาตกรได้เลย แต่เนื่องจาก ข้ามาที่นี่แล้ว ควรจะลองตรวจสอบสักหน่อย!"
เขาได้โบกมือขึ้น"ค้นให้ทั่ว!"
ซูเจี้ยน และ คนอื่น ๆ ได้รีบไปทำงานทันที เกือบทุกอย่างภายในห้องนี้ได้ถูกพลิกคว่ำจนหมด
แน่นอนว่าพวกเขาไม่พบเจออะไร
หลี่มู่ทุย ได้สั่นศีรษะและเตรียมจะจากไป"ไปเถอะ"
ฉินหยู ได้ก้มศีรษะลง และซ่อนใบหน้าที่ตื่นตระหนกของเขา 'ฮานตงและเวยเว่ยถูกค้นพบเร็วจริงๆ' โชคดีที่เขาซ่อนตะเกียงไฟและสิ่งของอื่น ๆ ไว้ไม่เช่นนั้นคงจะถูกค้นพบและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะมีจุดจบอย่างไร!
"หัวหน้าหยู!,หัวหน้าหยู ข้าเพิ่งเห็น ซูเจี้ยน เมื่อครู่ เขามารังแกท่านหรือไม่? ข้าจะไปจัดการมันเอง!"เด็กหนุ่มที่มีรูปร่างสูงใหญ่และกำยำคล้ายกับปราการเหล็กมนุษย์ ได้รีบวิ่งเข้ามา แม้ว่าเขาจะโกรธ แต่ด้วยใบหน้าที่ยังเด็ก ทำให้มีลักษณะที่ดูนุ่มนวลและไม่ค่อยดูดุร้าย
นี่คือเหตุผลที่ ฉินหยู เรียก หลางตู่ ว่า ถู๋โต้ว อย่างติดตลก
ฉินหยู ได้โบกมือขึ้น"ไม่ต้องสนใจพวกเขาช่วยพยุงข้าลุกขึ้นมาหน่อย"
หลางตู่ รู้สึกตกใจและรีบจับแขนของเขา"ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?"
ฉินหยู ได้หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น เมื่อครู่ทันทีที่เขาเห็น ซูเจี้ยน และ คนอื่น ๆ เข้ามาเขาก็แสร้งทำเป็นตกใจ แม้ว่าเขาจะแสร้งทำ แต่ในใจของเขาก็รู้สึกสั่นสะท้าน ตอนนี้ มือของเขารู้สึกชาด้าน แต่ด้วยความช่วยเหลือของ ถู๋โต้ว เขาก็กลับขึ้นไปบนเตียงและใช้เช็ดเหงื่อที่หน้าผากของเขา
"หัวหน้าหยูนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"หลางตู่ กล่าวถามอย่างกังวล
ฉินหยู ได้บอกเขาด้วยประโยคสั้น ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ใบหน้าของ หลางตู่ แสดงท่าทีที่หวาดกลัวออกมา โดยไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันอันตรายแค่ไหน แต่ในไม่ช้าเขาก็เริ่มล้อเลียน ฉินหยู จนเกือบทำให้อีกฝ่ายโกรธ
"โชคดีที่ท่านอ่อนแอมากแม้จะฆ่าไก่สักตัวก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ดังนั้นไม่มีทางที่ท่านจะเป็นฆาตกรได้อย่างแน่นอน"
ฉินหยู จ้องมองไปที่เขา"อย่าได้พูดเรื่องไร้สาระเจ้าสิอ่อนอ! เร็วเข้ารีบไปทำอะไรให้ข้ากินข้ารู้สึกหิวมาก!"
หลางตู่ ได้พยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มโง่ ๆ "ท่านโชคดีแล้ววันนี้ เมื่อวานข้าได้ตุ๋นไก่ฟ้าเอาไว้และมันยังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง ข้าจะให้ส่วนที่เหลือกับท่าน"หลังจากเตรียมจะเดินออกไปเขาก็เกาหลังศีรษะเล็กน้อย"ส่วนเรื่องงานของส่วนวันนี้ข้าจะช่วยท่านจัดการให้เองท่านไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องการลงโทษหรอก"
เมื่อเขาเห็นท่าทีอีกฝ่าย ฉินหยู ก็รู้สึกอบอุ่นอย่างมาก เขารู้จักนิสัยของ ถู๋โต้ว ดี ไม่ต้องพูดถึงไก่ฟ้าตัวเดียว แม้จะมีสักสิบตัวก็ไม่พอท้องของอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้น เขากลับพูดว่าจะแบ่งส่วนที่เหลือครึ่งนึงให้กับตัวเองเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายทำให้เขา
หลังจากได้ทานซุปเสร็จ ฉินหยู ก็วางตะเกียบลง ตอนนี้ เขารู้สึกว่าตนเองได้ฟื้นฟูพละกำลังกลับมา
หลางตู่ ได้จากไปแล้ว พรสวรรค์ ในการบ่มเพาะพลังของเขาไม่ดีนัก แต่เขามีร่างกายที่แข็งแรง จึงเลือกฝึกฝนโดยการเดินบนเส้นทางของนักสู้ เขาใช้ก้อนหินหลายก้อนในการฝึกฝนแต่ละวัน และ ด้วยความขยันหมั่นเพียรของเขาทำให้คนอื่นยังรู้สึกอาย แน่นอนว่า ก่อนที่เขาจะจากไป ยังช่วยซ่อมประตูที่พังให้อีกด้วย
หลังจากที่วางทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉินหยู ก็ออกกำลังกายเบา ๆ และ เข้านอน ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ลับขอบฟ้า ภายในห้องค่อย ๆ มืดลง แต่เขาก็ยังไม่เคลื่อนไหวและหายใจอย่างสงบมั่นคงราวกับว่ากำลังหลับไป
เมื่อดวงจันทร์ลอยขึ้นเหนือฟ้าค่ำคืนที่ยาวนานก็ได้มาถึง
กึก!
ฉินหยู ได้เปิดเปลือกตาของเขาขึ้นโดยไม่มีร่องรอยของความเหนื่อยล้า เขาแสร้งทำเป็นลุกขึ้นและรับฟังสิ่งรอบข้างขณะที่นั่งอยู่บนเตียง หลังจาก ตรวจสอบแน่ชัดแล้ว เขาก็เดินไปที่ช่องลับในกำแพงอย่างระวัง
แสงสีฟ้าเข้มได้ถูกปลดปล่อยออกมาโชคดีที่มันมีรัศมีครอบคลุมแค่หนึ่งฟุตและในไม่ช้าเขาก็ผ่อนลมหายใจ
แม้จะไม่รู้ว่าตะเกียงไฟที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือนี้คืออะไร แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าแสงสีฟ้าที่เปลี่ยนกลางคืนเป็นกลางวันนั้นไม่ธรรมดา!
ฉินหยู กลับไปที่ เตียง และ หยิบมีดออกมาทำแผลเล็ก ๆ ที่ปลายนิ้วของเขาและปล่อยให้เลือดไหล ไม่ว่าจะเป็น ผู้ฝึกยุทธ์ หรือ คนธรรมดา พวกเขาก็มีความรู้พื้นฐาน เช่นสิ่งที่เขากำลังทำ คือหนึ่งในวิธีการที่ทำให้ สมบัตินนี้จดจำเจ้านายของมันด้วยการหยดเลือดเพียงหยดเดียว
หลังจากหยดเลือดลงไปแล้วตะเกียงไฟก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใด ๆ ฉินหยู รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยและค่อนข้างโล่งใจในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนว่าสมบัตินนี้จะไม่สามารถจดจำเจ้านายได้อย่างง่ายดาย เขาพลิกมันไปแต่ละด้านและใช้พลังปราณอันน้อยนิดภายในร่างกายของเขาเพื่อตรวจสอบตะเกียงไฟนี้
ฉินหยู วางตะเกียง ลง และเปิดถุงโอสถ เขาไม่ลืมว่าเขากำลังป่วยหนัก ถ้าเขาไม่รีบกินโอสถรักษา เกรงว่าเขาอาจจะไม่โชคดีเหมือนเมื่อคืน
ในตัวของ เวยเว่ย มีขวดหยกอยู่สี่ขวดภายในนั้นเต็มไปด้วยโอสถเม็ดจำนวนมาก สิ่งนี้เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทุกคนหวาดกลัว ฉินหยู ใช้เวลาพอสมควร ในการระบุพวกมัน แต่เขาก็รู้จักเพียงอย่างเดียว หนึ่งในนั้นเป็นสิ่งที่นิกายมอบให้กับศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดซึ่งจะเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะพลัง โอสถรวมปราณ
นี่เป็นเพราะฉินหยูเคยเห็นศิษย์ของนิกายแสดงโอสถเม็ดนี้ ส่วนอีกสามประเภทเขาได้วางไว้เฉย ๆ เพราะเขาไม่รู้ว่าพวกมันคืออะไร จึงไม่สามารถใช้อย่างไม่ระวังได้
เมื่อหยิบโอสถรวมปราณขึ้นมา กลิ่นอันหอมหวานก็ลอยเข้าไปเตะจมูกของฉินหยู สมแล้ว ที่ เวยเว่ย เป็นศิษย์หลักคงจะมีไม่มีกี่คนที่ร่ำรวยเหมือนกับเขา
ตอนนี้สิ่งของทั้งหมดของอีกฝ่ายได้กลายเป็นของเขาแล้ว!
ฉินหยูได้สูดลมหายใจเข้าลึกและหวังจะกลืนโอสถรวมปราณเข้าไป เขาได้หลับตาลง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ใช้โอสถในการบ่มเพาะพลัง เนื่องจากเขาไม่มีประสบการณ์ ทำให้เขาระมัดระวังและไม่กล้าที่จะประมาทแม้แต่น้อย
โอสถรวมปราณได้ไหลเข้าสู่ท้องน้อยของเขา ในไม่ช้า กระแสน้ำอุ่นก็เริ่มเคลื่อนไหวไปทั่วร่างกายของเขาทำให้เขารู้สึกสบายตัวราวกับว่ากำลังลงไปแช่น้ำร้อนอยู่ พลังงานอันแสนอบอุ่นได้ผสานเข้ากับเนื้อในของเขาและเปลี่ยนเป็นพลังปราณบริสุทธิ์ไหลเข้าสู่ตันเถียน
ฉินหยู รู้สึกตกหลุมรักกับความรู้สึกนี้ เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีวิธีที่น่าพึงพอใจเช่นนี้อยู่ เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงพลังปราณในร่างกายที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและทำให้เขารู้สึกเสพติดมัน
หลังจากไม่ทราบระยะเวลาที่กระแสน้ำอุ่นไหลผ่านไป ฉินหยู ได้เปิดเปลือกตาขึ้นโดยไม่ลังเลก่อนที่จะกลืนเม็ดโอสถอื่น
เขาปิดตาลงอีกครั้งและเริ่มบ่มเพาะพลัง
กลางคืนผ่านไปโดยไม่รู้ตัวแสงอาทิตย์ยามเช้าได้ขึ้นทางทิศตะวันออก พลังงานภายในร่างกายของฉินหยู ค่อย ๆ เปลี่ยนไป กระแสลมได้พัดผ่านโดนร่างกายของเขา
กลั่นปราณขั้นที่ 2
ฉินหยู รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก เขาเปิดเปลือกตาขึ้น และตรวจสอบร่างกายของตัวเอง ตอนนี้พลังการบ่มเพาะพลังของเขาที่ถดถอยไปได้รับการกู้คืนกลับมาภายในคืนเดียวเท่านั้น ช่วงเวลาตลอดทั้งคืนเขากลับไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย
เมื่อพลังกลั่นปราณขั้นที่ 2 แผ่ออกมา ความเจ็บปวดที่ ฉินหยู ได้รับก่อนหน้านี้ ก็แทบจะไม่ส่งผลอะไรกับตัวเขา เขารู้สึกมีความสุขบนใบหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ การบ่มเพาะพลังของเขาไม่เพียงแต่ได้รับการฟื้นฟู อาการป่วยของเขาก็กลับมาหายเป็นปกติ นี่ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขอย่างแท้จริง
สิ่งนี้ทำให้ ฉินหยู เข้าใจถึงพลังของโอสถ ที่มีความสำคัญสำหรับการบ่มเพาะพลัง เขาฝึกฝนนานถึง 7 ปี กว่าจะไปถึง กลั่นปราณขั้นที่ 2 ได้ แต่เมื่อเทียบกับความเร็วในคืนเดียว เขาก็รู้สึกพูดไม่ออก! หากเขาสามารถเดินไปบนเส้นทางนี้ได้ตลอดแม้จะมีพรสวรรค์โดยเฉลี่ย เขาก็ยังสามารถทำให้คนอื่นประหลาดใจในความเร็วของการฝึกฝนของเขาได้
แต่เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวของเขา ฉินหยู ก็รีบสบัดทิ้งและเยาะเย้ยตัวเอง โอสถรวมปราณ ไม่ใช่สิ่งของธรรมดา มันเป็นของหายากที่มีราคาแพง และ มีอัตราความล้มเหลวในการปรุงสูง ไม่ต้องพูดถึงนิกายภูเขาศักดิ์สิทธิ์ขนาดเล็กแม้แต่นิกายอันดับหนึ่งที่ลือกันในดินแดนของอาณาจักรทางตอนใต้ที่มีชื่อเสียงในด้านการปรุงยา เช่น หุบเขาอมตะ ก็ไม่มีใครสามารถทำสำเร็จได้โดยง่าย
"เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเพียงฝันลม ๆ แล้ง ๆ ดังนั้นรีบตื่นดีกว่า!"ฉินหยู ได้พึมพัมในใจของเขา
แม้ว่าเขาจะจัดการเรื่องเมื่อคืนวานได้ แต่เขาก็ยังต้องระมัดระวังตัวเองและกินโอสถให้ช้าลง มิฉะนั้น หากการบ่มเพาะพลังของเขาก้าวหน้าเร็วเกินไป มันจะทำให้ คนอื่น ๆ สงสัย และ เขาจะเพลิดเพลินไปกับช่วงเวลานี้ได้ไม่นาน
เขามองไปที่ ตะเกียงไฟสีฟ้าที่มีแสงจาง ๆ ปล่อยออกมา นี่ไม่ใช่สมบัติธรรมดาอย่างแน่นอน ด้วยสิ่งนี้ ถึงทำให้ ศิษย์พี่เวยเว่ย ต้องตาย
ดวงตาของ ฉินหยู เผยให้เห็นถึงความสำคัญของมัน แม้ว่า โอสถจะดีมาก แต่สิ่งที่เขาเชื่อว่าดีที่สุดก็คือ ตะเกียงไฟอันนี้ ขณะที่ เขากำลังจะนำโอสถรวมปราณส่วนที่เหลือและตะเกียงไฟกลับไปที่ช่องลับคิ้วของฉินหยูก็ขมวดแน่นด้วยความสับสน
ท่ามกลางโอสถรวมปราณที่กระจายอยู่บนเตียงของเขาดูเหมือนจะมีบางอย่างแปลกไป พวกมันให้แสงสว่างจาง ๆ ที่ค่อนข้างอ่อนแอ แต่ก็เพียงพอที่ ฉินหยู จะสัมผัสถึงมันได้ เขาได้หยิบมันขึ้นมาวางไว้ข้าง ๆ โอสถรวมปราณธรรมดา เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่าง
โอสถรวมปราณนั้นมีลักษระเหมือนกันทั้งหมด ฉินหยู ชัดเจนในเรื่องนี้ ก่อนที่เขาจะกินมันลงไปเมื่้อคืน ตอนนี้ เขาได้ถือโอสถที่เรืองแรงและส่งกลิ่นหอมเข้าไปเตะจมูกของเขาทำให้เขารู้สึกสั่นสะท้าน!
โอสถเม็ดนี้ไม่ธรรมดาเลย
แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ในคืนเดียวโอสถเหล่านี้อัพเกรดตัวเอง? เขาได้เปลี่ยนความคิดในหัวของเขาเพื่อหาคำตอบ แต่ก็ไม่เข้าใจเหตุผลที่ถูกต้อง
ทำไมกัน?
เป็นไปได้ยังไง?
ทันใดนั้น สายตาของเขาก็จ้องมองไปที่ตะเกียงในมือของเขา ราวกับฟ้าผ่าหมอกในหัวของเขาทันที
ตะเกียงไฟ!
ใช่ น่าจะเป็นมัน!
ในขณะนี้ ความทรงจำของ ฉินหยู ค่อย ๆ เด่นชัดขึ้น เขานึกถึงเมื่อคืนที่เขาวางตะเกียงไฟไว้ด้านข้าง จากนั้นก็กินโอสถรวมปราณหลายเม็ด แต่หนึ่งในพวกมัน ได้อาบแสงสีฟ้าที่อยู่ใกล้ ๆ ตะเกียงไฟ
ฉินหยู รู้สึกตื่นเต้นมาก จนแทบจะกัดลิ้นตัวเอง เพื่อบังคับให้เขาสงบสติอารมณ์
นี่เป็นเพียงการคาดเดา เขาจะต้องรอจนถึงคืนนี้ถึงจะรู้ความจริง แต่เขาก็รู้สึกว่าการคาดเดาของเขาไม่น่าจะผิด เพราะ ศิษย์พี่เวยเว่ย จู่ ๆ ก็มีพลังเพิ่มขึ้นอย่างกระทันหัน นี่เป็นข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุด!
ฉินหยู ใช้เวลาทั้งวันในการกู้คืนสติของเขาให้้กลับมา เขาไม่ได้ออกจากบ้านเลย หลางตู่ ได้มาพบเขาอีกครั้งและจากไปหลังจากที่ไม่พบสิ่งผิดปกติกับ ฉินหยู
หลางตู่ มักจะทำสิ่งนี้ประจำ เขาค่อนข้างขยันขันแข็งในแต่ละวันโดยแทบจะไม่ได้หยุดพัก
กลางคืนได้มาถึงตรงเวลา
ฉินหยู นั่งอยู่ในความมืดพร้อมกับแสงไฟสีน้ำเงินเข้มที่เปล่งออกมาจากตะเกียงไฟบนโต๊ะรัศมีหนึ่งฟุตของมันให้ความรู้สึกเหมือนกับทะเลลึก จากนั้น เขาก็วางโอสถอีกสิบชนิดใกล้ ๆ มัน แต่ละชนิด ได้จัดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ โดยครึ่งนึงได้วางอยู่ภายใต้แสงสีฟ้า และ อีกครึ่งหนึ่งอยู่ด้านนอก
คืนนี้ ฉินหยู ไม่ได้นอน
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นจากทิศตะวันออกเขาได้ผลักประตูและออกไปข้างนอกยืนอยู่ในลานเล็ก ๆ ต้อนรับแสงอาทิตย์ยามเช้า จากสี่สิบเม็ด ยี่สิบเม็ดที่อยู่ในรัศมีแสงสีฟ้า พวกมันทั้งได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น
สูดดด
ฉินหยู ได้สูดลมหายใจเข้าออกยาว ๆ เขาดูรู้สึกปลอดโปร่งอย่างมาก ท่าทีของเขาดูเงียบสงบแต่ในใจของเขากลับร้อนดั่งไฟเผา
วันนี้เป็นวันที่ชะตากรรมของเขาได้เปลี่ยนไป!