ตอนที่แล้วบทที่ 60 การเผชิญหน้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 62 ทีมของฉัน

บทที่ 61 โรแมนติกอิเดียด


(Editor note ออกเมนเตอร์ถูกเปลียนเป็นผู้เสริมหรือนักเสริมพลัง คอนเจอะเรอร์ถูกเปลียนเป็นนักร่ายเวทย์หรือผู้ร่ายเวทย์)

“อาร์จเราคุยกันได้ไหม?” ในขณะที่เธอแก้ไขคำพูดของตัวเอง เสียงที่สั่นเล็กน้อยในเสียงของเธอก็หายไป

“ได้สิดูเหมือนว่าจะมีบุคคลที่สามที่ต้องการจะให้เราพูดคุยกันอยู่แล้ว” ฉันนั่งพิงแขนของฉัน น้ำที่ใช้ล้างใบหน้าของฉันได้หยดลง

“เกี่ยวกับที่ฉันจะะะ...จูบนาย นายโกรธเหรอเปล่า?” ใบหน้าของเทสเปลียนเป็นสีแดงสดเผยให้เห็นว่าเธอรู้สึกประหม่าเพียงใดเมื่อเทียบกับการแสดงออกที่ตึงเครียดของเธอ

"ฉันไม่ได้โกรธแต่ฉันแค่ประหลาดใจ แต่จริงๆฉันก็ไม่ได้โกรธ” ฉันคงจะโกหกถ้าบอกว่าฉันไม่สังเกตว่าเทสแสดงความรู้สึกดีๆต่อฉันตั้งแต่ตอนที่ฉันอยู่กับเธอที่เอเลนนัวร์

มีความเงียบชั่วครู่ที่ฉันสามารถบอกได้ว่าเทสกำลังรอให้ฉันพูดอะไรบางอย่าง แต่ฉันกลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรในขณะนี้

ถ้าง่ายๆอย่างการเลือกระหว่างว่าชอบหรือไม่ชอบเทส แน่นอนว่ามันเอนเอียงไปข้อแรกมากกว่า แต่สถานการณ์นี้ไม่ได้เป็นสีดำและสีขาวง่ายๆแบบนั้น ในขณะที่ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่เด็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในราชวงศ์ที่จะแต่งงานตอนอายุสิบสามหรือสิบสี่ปี แต่ก็มีอีกปัจจัยหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทที่นี่:ฉันเห็นผู้หญิงที่อยู่ต่อหน้าของฉันตอนนี้เป็นเด็กอยู่

ฉันกลั้นความอยากที่จะบอกไปตรงๆโดนการหายใจเข้าลึกๆ

ฉันเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับประโยชน์ของประสบการณ์ในการต่อสู้และการเมืองขณะที่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเริ่มจากจุดไหนสำหรับเรื่องพื้นฐานอย่างเช่นความรัก - หรืออะไรก็ตามที่เป็นเช่นนี้

“อาเธอร์นายกำลังคิดอะไรอยู่?” เธอโน้มตัวเข้ามาใกล้ในขณะที่คิ้วของเธอขมวดมากขึ้น ความรุนแรงที่เธอจ้องมองมาที่ฉันทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจ แต่ปัญหานี้ไม่ใช่สิ่งที่ฉันสามารถปัดความรับผิดชอบออกไปได้

“เทสเรารู้จักกันตั้งแต่เราอายุสี่ขวบนะ ครั้งแรกที่ฉันเห็นคุณ คุณกำลังถูกลักพาตัวหลังจากการที่คุณทะเลาะกับพ่อแม่ของคุณ สิ่งแรกที่คุณทำเมื่อฉันช่วยชีวิตคุณคือร้องไห้ออกมาสุดแรงเกิด หลังจากที่เราเดินทางกลับไปยังอาณาจักรของคุณฉันก็โชคดีมากที่สามารถอาศัยอยู่ในปราสาทของคุณได้ซึ่งคุณปู่ของคุณและในที่สุดแม้แต่พ่อแม่ของคุณก็ให้ความอบอุ่นกับฉัน แม้กระทั่งตอนนี้ครอบครัวของคุณและของฉันก็เข้ากันได้ดีจนมันดูแปลกๆ …” ฉันหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะพยายามพูดต่อ

“ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่นายพยายามจะพูด” เทสทำใบหน้าเหมือนว่าเธอต้องการคำตอบไวๆ

“เทสเรายังเด็กมากนะ ฉันหมายความว่าฉันอายุแค่สิบสองและคุณก็อายุแค่สิบสามปีเอง! ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้หญิงอายุเท่าคุณจะแต่งงานในเมื่อคุณเป็นคนในราชวงศ์ แต่ฉันหมายความว่าฉันไม่มีภูมิหลังอะไรแบบนั้น” ฉันรู้ว่าฉันพูดติดอ่างเล็กน้อย

“อาร์ต ฉันรู้จักนายดีพอและตอนนี้นายก็กำลังแก้ตัว นายและฉันต่างก็รู้ดีว่าสิ่งที่ฉันหมายถึงนั้นไม่ใช่การแต่งงานกันในทันที ฉันแค่อยากให้เรื่องระหว่างเราค่อยๆก้าวหน้า ย้อนกลับไปตอนเราอยู่ที่เอเลนนัวร์นายก็ยังปฏิบัติกับฉันเหมือนว่าฉันเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา! เป็นเวลาเกือบแปดปีแล้วนะอาร์ต…ฉันยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้อีกมากมาย แต่ฉันก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นเด็กอีกแล้ว” สายตาที่ดุดันของเธอดูนุ่มนวลขณะที่เธอพยายามพูดด้วยเหตุผลกับฉันอย่างสิ้นหวัง

“เป็นเพราะฉันรู้จักคุณมาตั้งแต่เรายังเป็นเด็ก มันเลยยากมากที่ฉันจะมองว่าคุณเป็นอย่างอื่นอย่างน้อยก็ในตอนนี้นะเทส เราไม่ได้จากกันไปนานขนาดนั้นเช่นกัน” ฉันรู้สึกได้ว่าการโต้แย้งของฉันออกมามากขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นการแก้ตัวเล็กน้อยแต่ฉันก็ยังยืนหยัด

ผมม้าของเทสปกคลุมใบหน้าของเธอขณะที่หัวของเธอนอนลงไปที่พื้น จู่ๆเธอก็ดีดเท้าของเธอ ใบหน้าของเธอแดงและตึงเครียดราวกับว่าน้ำตากำลังจะไหลออกมา

“นายกำลังบอกฉันว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานายไม่เคยคิดว่าฉันเป็นอะไรมากไปกว่าเพื่อนสมัยเด็กของนายเลยเหรอ?” เธอถามผ่านริมฝีปากที่เย้ายวนนั้น

ฉันหลีกเลี่ยงการจ้องมองของฉันและไม่สามารถจ้องมองเธอได้อีกต่อไป

ฉันไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไร แน่นอนว่ามีหลายครั้งที่ฉันต้องถามตัวเองว่าฉันควรจะตอบสนองความรู้สึกที่เทสมีต่อฉันในตอนนั้นดีมั้ย แต่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของฉันก็หยุดฉันไว้อย่างแน่น ในขณะที่ฉันใช้เวลาสิบสองปีในร่างกายนี้โดยแสดง - ซะส่วนใหญ่ - ตามอายุของฉัน ฉันยังคงมีความทรงจำของชายที่อายุเกือบสี่สิบปีที่ฉันเคยใช้ชิวิตมาด้วย ด้วยความทรงจำวัยเด็กที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ฉันเติบโตขึ้น เด็กๆที่นั้นเรียกฉันว่า ‘ลุง’ ทุกๆครั้งที่ฉันไปเยี่ยม ฉันอดไม่ได้ที่จะนึกภาพว่าเทสเป็นหนึ่งในเด็กๆเหล่านั้น

“ฉันเข้าใจแล้ว” เธอพูดเบาๆโดยถือว่าความเงียบของฉันเป็นคำตอบ เทสเดินไปรอบๆ และเดินออกไปที่ประตูโรงฝึก

ขณะที่เธอเปิดประตูเธอพูดโดยไม่หันกลับมา“นายรู้ไหมอาเธอร์ นายมักทำอะไรด้วยมั่นใจในตลอด ไม่ว่าจะเวทมนตร์การต่อสู้หรือการใช้สมองของนาย นายมั่นใจในทุกสิ่งที่ทำเพราะนายทำมันได้ดี แต่นายรู้อะไรไหม? มีบางอย่างที่นายไม่ถนัด นายไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเอง นายมักจะสวมหน้ากากและแสร้งทำเป็นว่านายมีความสุขหรือไม่แยแสเมื่อนายไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์บางอย่างได้ ฉันคิดว่าในแง่นั้นฉันคิดว่านายมีวุฒิภาวะน้อยกว่า 'เด็กๆ' ที่นายเห็นในสถาบันนี้อีก นายแค่ใช้ความมั่นใจของนายเพื่อปกปิดความไม่ปลอดภัยที่นายมีในสิ่งที่นายรู้ว่านายไม่ถนัด!”

เมื่อเธอปิดประตูลงฉันถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวพร้อมกับความเงียบที่น่าขนลุกที่แม้แต่เสียงของน้ำตกก็ยังกลบไม่ได้

‘ปาป๊านี้ทืมจังเลย…’ ซิลวี่นอนขดตัวอยู่ห่างออกไปสองสามเมตรและหันหน้าหนีฉัน

ฉันนั่งอยู่หน้าบ่อน้ำตะลึงกับคำพูดสุดท้ายของเธอ ฉันต้องยอมรับว่าในบางแง่บางทีเทสอาจจะมีวุฒิภาวะมากกว่าที่ฉันเป็น แม้ในชีวิตที่ผ่านมาของฉันนอกเหนือจากการเป็นนักสู้ที่เก่งแล้วฉันก็ไม่ได้เป็นชายที่น่าประทับใจเลย ฉันมีเสน่ห์และลักษณะนิสัยที่ดึงดูดคนหมู่มากได้ก็จริงแต่เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวฉันคิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาๆหากมันเป็นวันที่ดี ฉันเติบโตขึ้นมาโดยหลีกเลี่ยงการมีความสัมพันธ์ที่ยืนยาวโดยมองว่าพวกมันไม่มีอะไรมากไปกว่าภาระที่จะนำมาใช้เป็นจุดอ่อนกับฉัน เพื่อที่จะเป็นนักรบที่เก่งที่สุดฉันต้องไม่มีจุดอ่อนและการมีคนรักจะทันนำฉันไปสู่ความตายในที่สุด

ฉันได้ตระหนักถึงสิ่งนี้มากยิ่งขึ้นตั้งแต่เข้ามาในโลกแห่งนี้ การมีครอบครัวที่ฉันสามารถยอมตายแทนได้อย่างมีความสุขเตือนให้ฉันรู้ว่าฉันอ่อนแอมากแค่ไหน ถ้ามีใครมาลักพาตัวสมาชิกในครอบครัวของฉันไปไม่ว่าฉันจะแข็งแกร่งแค่ไหนฉันก็จะเป็นตกฝ่ายที่ยอมรับทุกๆข้อเสนอของพวกเขา

ความคิดที่จะมีคนรัก คนที่ฉันสามารถเรียกได้ว่าเป็นอีกครึ่งหนึ่งของฉันได้เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันกลัวด้วย

หลังจากใส่สร้อยข้อมือที่ปิดผนึกธาตุไฟและธาตุน้ำของฉัน ฉันก็เดินกลับขึ้นไปข้างบนและมุ่งหน้าไปยังชั้นเรียนต่อไป ฉันควรเผชิญหน้ากับเทสในชั้นเรียนกลศาสตร์การต่อสู้แบบทีมได้อย่างไร แม้แต่ซิลวีเองยังทำหน้ามุ่ยใส่หัวฉันเพราะฉันทำให้เทสโกรธ

_________________________________________

“ดีใจที่ได้นายกลับมาเรียนได้แล้วนะอาร์ต” แคลร์วิ่งมาหาฉันและตบหลังฉันอย่างแรง

“นายรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง?” เคอร์ติสเข้ามาหาฉันเช่นกันโดยมีกราว์เดอร์ตามหลังเขามา

“ฉันอาจจะต้องนั่งเรียนแทนไปอีกสักสองสามคราส แต่ฉันไม่เป็นไรแล้วละ” ฉันตอบเขาและยิ้มให้อ่อนๆ เมื่อเรามาถึงสนาม

“ดีใจที่ได้เห็นคุณเดินได้แล้วนะคุณเลย์วิน!” ศาสตราจารย์กลอรี่มองส่องมาในขณะที่เธอเห็นพวกเราสามคนมาถึง แต่เมื่อเธอกำลังจะเดินมาหาพวกเรากลับมีเจตนาร้ายได้แผ่ออกมาจากทางข้างๆเธอ

ลูคัสมีสีหน้าแข็งกร้าวขณะที่เขาก้าวเข้ามาหาพวกเราอย่างมั่นใจ

ฉันจับจ้องไปที่เขาโดยที่เราทั้งคู่ไม่ได้หันหน้าหนีขณะที่เขาเดินเข้ามาหาฉัน เขาจับเสื้อของฉันขึ้นที่ชายคอเสื้อและดึงฉันเข้าไปใกล้กับใบหน้าของเขา

“ฉันคิดว่าเราต้องมีนัดล้างตา” ใบหน้าที่ดูสง่างามของเขาถูกลากเข้ามาอยู่ใกล้ๆหน้าในขณะที่เขาทำหน้าบึ้ง จมูกของฉันอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่นิ้ว

ฉันจับข้อมือของเขาและตอบด้วยใบหน้าที่เย็นชาและดวงตาที่ล๊อกเป้าไปที่เขา “นั้นเป็นวิธีที่ค่อนข้างหยาบคายในการขออะไรใครบางคน” ฉันจับแรงพอที่จะทำให้มือของเขาหมดแรง แต่ฉันก็ไม่หยุดแค่นั้น ฉันระเบิดมานาใส่ตัวเด็กผู้ชายคนนั้นทำให้หัวเข่าของเขาอ่อนแรง

ด้วยความเจ็บปวดลูคัสพึมพำจนไม่ได้ยินและในไม่ช้าก็มีเปลวไฟสีส้มเสกขึ้นมาในฝ่ามืออีกข้างของเขาพร้อมที่จะยิงมาที่ฉัน

"พอได้แล้ว!" ศาสตราจารย์กลอรี่คำรามขณะที่เธอเอาดาบที่หุ้มฝักออกมาขว้างไว้ระหว่างเรา

“อาเธอร์กลับไปนั่งพักผ่อนที่แท่นของผู้ชม คุณจะไม่อนุญาตให้เข้าร่วมกิจกรรมใดๆ ในชั้นเรียนนี้จนกว่าคุณจะหายดีตามคำสั่งของผอ.กู๊ดสกี้ สำหรับคุณลูคัสคุณต้องใจเย็นๆ ไม่ว่าคุณจะต้องการยุติความไม่พอใจเล็กน้อยด้วยการต่อสู้หรือด้วยการกอดก็ขอให้ทำหลังจากที่อาเธอร์หายเป็นปกติแล้ว ไม่ใช่เวลานี้” เธอถอนหายใจออกมาขณะที่เธอสะกิดให้ฉันไปที่แท่นผู้ชม หลังจากเดินมาครึ่งวันฉันไม่ต้องใช้ดาบเพื่อประคองแล้วแต่ฉันก็ยังเดินแบบปกติไม่ได้เช่นกัน

ฉันมุ่งหน้าไป ดวงตาของฉันมองหาเทสโดยไม่รู้ตัวแต่ก็หาเธอไม่พบ “ศาสตราจารย์กลอรี่ครับเจ้าหญิงเทสเซียอยู่ไหนหรือครับ?”

“เธอมาหาฉันก่อนที่ชั้นเรียนจะเริ่มเมื่อไม่นานก่อนที่พวกคุณจะมาถึง เธอบอกว่าเธอรู้สึกไม่สบายเธอบอกว่าจะตามให้ทันในชั้นเรียนถนัดไปทีหลัง แต่ดูเหมือนเธอจะไม่เป็นตัวของตัวเอง ไคลฟ์จึงพาเธอกลับไปที่หอพัก ทำไมหรือ? คุณรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอไหม?” ศาสตราจารย์กลอรี่ถาม

ฉันโกหกแล้วก็ส่ายหัว

“คุณเดินขึ้นไปที่แพลตฟอร์มผู้ชมโดยไม่ก่อเรื่องได้ใช่ไหม? พักผ่อนอีกสักสองสามวันนะ” เธอวางมือที่อ่อนโยนลงบนไหล่ของฉันก่อนที่จะวิ่งกลับไปยังหานักเรียนที่เหลือ

ฉันเห็นชั้นเรียนถูกแบ่งออกเป็นทีมต่างๆและได้รับการจัดรูปแบบต่างๆสำหรับสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป ในสถานการณ์เช่นการปิดล้อม ผู้ร่ายเวทย์จะมีบทบาทสำคัญดังนั้นผู้เสริมพลังจะเข้าสู่ตำแหน่งป้องกันได้มากขึ้นโดยมุ่งเน้นไปที่การปกป้องผู้ร่ายเวทย์เท่านั้น ในสถานการณ์ที่มีการต่อสู้แบบกองโจรจะมีผู้เสริมพลังเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ใกล้ๆกับผู้ร่ายเวทย์ในขณะที่คนอื่นๆ จะบุกด้วยตัวเอง

ชั้นเรียนใช้เวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ดังนั้นจึงเป็นเรื่องการรบที่ใช้ระบบธรรมดาๆมาก แต่เห็นได้ชัดว่าศาสตราจารย์กลอรี่รู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ ชั้นเรียนเข้าใจบทเรียนได้ดีในขณะที่สนุกสนานไปกับมัน มันเป็นภาพที่ดีที่ได้เห็น แต่จิตใจของฉันกำลังล่องลอยไปในวันนี้ ฉันไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ฉันพูดไปแต่ฉันกำลังตั้งคำถามกับตัวเองว่าฉันพูดออกมาได้ดีจริงๆหรือเปล่า

ชั้นเรียนต่อไปของฉันคือคลาสที่ฉันรอคอยมากที่สุดคือ 'ทฤษฎีเวทมนตร์ดีวีเอินท' น่าเสียดายที่ศาสตราจารย์ดรายเวลล์ของเราให้ความสำคัญสูงสุดกับการเรียนรู้พื้นฐานก่อนดังนั้นแม้เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์เธอก็แทบจะไม่ได้จบการสอนของพื้นฐานของเวทมนตร์ดีวีเอินทเลย

“เมื่อใดก็ตามที่เวทมนตร์ดีวีเอินทเข้ามาเกี่ยวข้องมันจะเน้นเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องจ่ายในการใช้เวทมนตร์ของพวกคุณ ทำไมพวกคุณถึงคิดว่ามันเป็นเช่นนั้น? เป็นเพราะเวทมนตร์ดีวีเอินทด้วยชื่อของมันซึ่งมันเบี่ยงเบนไปจากมานาของธาตุต่างๆตามธรรมชาติที่ปรากฏชัดในโลกของเรา มานาที่อยู่รอบๆตัวเราประกอบไปด้วยมานาไฟลมดินและน้ำเท่านั้น เวทย์ดีวีเอินทที่มาจากรูปแบบที่สูงกว่าขององค์ประกอบทั้งสี่นี้มีต้นทุนที่สูงกว่ามาก อย่างที่ฉันอยากจะบอกเมื่อเทียบกับองค์ประกอบดั้งเดิมทั้งสี่เนื่องจากไม่มีธาตุที่ถูกเรียกว่าสายฟ้าพืชแรงโน้มถ่วงโลหะแมกมาเสียงหรือน้ำแข็งที่อยู่รอบๆตัวเราในชั้นบรรยากาศ ในการสร้างปรากฏการณ์เหล่านี้ในคาถาของเรา นักเวทย์จะต้องสามารถปรับเปลี่ยนองค์ประกอบหลักของพวกเขาได้โดยตรงและปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นรูปแบบของดีวีเอินท” ศาสตราจารย์ดรายเวลล์พูดขึ้น เธอเป็นผู้หญิงที่มีอายุมากและแม้ว่าเธอจะมีภาพลักษณ์ของคุณยายแสนดีที่ดูเงียบสงบ แต่เธอก็ไม่เคยหยุดพูดเลย

"ศาสตราจารย์ค่ะ! แต่แรงโน้มถ่วงสายฟ้าโลหะแมกมาเสียงและน้ำแข็งล้วนมีอยู่ตามธรรมชาติในโลกของเราเช่นกัน ทำไมโลกของเราถึงไม่ผลิตมานาประเภทนี้ค่ะ?” หญิงรุ้นพี่คนหนึงถาม

“เป็นคำถามที่ดีมากเด็กๆ! จริงๆแล้วไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น! นักทฤษฎีมานาหลายคนเชื่อว่าเนื่องจากต้องมีการปฏิบัติตามเงื่อนไขบางอย่างเพื่อให้องค์ประกอบดีวีเอินทเหล่านั้นเกิดขึ้น มานาที่สัมพันธ์โดยตรงกับพวกมันจึงไม่มีอยู่จริง มันมักจะมีข้อยกเว้นเช่นไฟซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยไม่มีสาเหตุอย่างแน่นอน บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมนักเวทย์ส่วนใหญ่เชื่อว่าไฟเป็นรูปแบบสูงสุดของเวทมนตร์พื่นฐานเพราะมันใกล้เคียงกับเวทมนตร์ของดีวีเอินทนั้นเอง” ศาสตราจารย์ดรายเวลล์อธิบายขณะที่เธอเดินไปรอบๆ ห้องเรียน

“เวทมนตร์ดีวีเอินทที่แผ่ออกไปจากมานาของธาตุหลักทั้งสี่ในโลกของเรานั้นมีค่าใช้จ่ายที่แพงมากกว่า พวกคุณทุกคนรู้ไหมว่าอิมิตเตอร์คืออะไร พวกเขาเป็นนักเวทย์สายรักษา โดยพื้นฐานแล้วมานาที่พวกเขาใช้ไม่ได้อยู่ในหมวดของน้ำดินไฟหรือลม แต่ฉันกล้าพูดได้เลยว่าเป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์หรือธาตุแสงเพื่อให้แม่นยำยิ่งขึ้น เหล่าอิมิตเตอร์จะได้รับประโยชน์เพียงเล็กน้อยจากการดูดซับมานาจากชั้นบรรยากาศเนื่องจากไม่มีมานาธาตุแสงในโลกของเรา แต่พวกเขาได้ทำการดูดซับมานาและทำให้มันบริสุทธิ์ภายในแกนมานาของพวกเขา แม้จะใช้มานาน้อยลงแต่มันกลับมีผลอย่างมากในคาถาของพวกเขา” ฉันบอกได้เลยว่าศาสตราจารย์ดรายเวลล์หมดแรงเพราะเสียงหายใจของเธอนั้นแรงขึ้น

หลังจากที่เธอสอบจบในบทเรียนของวันนี้ เราก็มีช่วงให้ถามและตอบเป็นเวลาสั้นๆ แต่ก็ไม่มีใครมีคำถามที่จะถามเพราะกลัวว่าชั้นเรียนจะเลิกช้า ในที่สุดศาสตราจารย์ดรายเวลล์ก็ปล่อยพวกเราและฉันก็เดินไปที่ชั้นเรียนชั้นสุดท้ายของฉัน 'รูปแบบมนต์สะกด I'

นักเรียนส่วนใหญ่ในชั้นเรียนนี้เป็นผู้ร่ายเวทย์ แต่ผู้เสริมพลังที่ฉลาดบางคนรู้ว่าพวกเขาจะได้รับประโยชน์จากการเรียนชั้นนี้ ศาสตราจารย์เมย์เนอร์อาจารย์ของเราเป็นผู้ชายที่มีหน้าตาเหมือนนักวิชาการใส่แว่นตาข้างเดียวและผมของเขาก็แสกลงมาตรงกลาง หนวดของเขาถูกตัดแต่งอย่างดีและเขาสวมชุดสูทสีขาว

“ยินดีต้อนรับนักเรียนทุกๆคน ฉันได้รับแจ้งจากผอ.กู๊ดสกี้ว่ามีนักเรียนที่ชื่อว่าอาเธอร์เลย์วินจะเริ่มเข้าร่วมชั้นเรียนกับเราฉันพูดถูกมั้ย?” เขามองไปรอบๆด้วยแว่นข้างเดียวของเขาและจับแสงสะท้อนจากแสงในห้องเรียน

“ใช่ครับ ผมเองที่ชื่ออาเธอร์เลย์วิน ได้โปรดชี้แนะผมด้วยครับ” ฉันโค้งคำนับเล็กน้อยในขณะที่เขาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

"ดีมาก! คุณไม่ได้พลาดบทเรียนสำคัญๆเกินไปหรอกนะคุณเลย์วิน เรากำลังพูดถึงรูปแบบการสะกดที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่มนต์สะกดส่วนตัวไปจนถึงการสร้างมนต์สะกดที่ต้องทำเป็นกลุ่ม บอกพวกเราได้ไหมว่าคุณรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับการสร้างมนต์สะกด?” เขาปรับขาแว่นเมื่อเดินเข้ามาหาฉันหลังตรง

“ด้วยความรู้ที่ผมมีการสร้างมนต์สะกดคือการร่ายและ / หรือการปรับเปลี่ยนคาถาและทักษะพื้นฐานเพื่อสร้างปรากฏการณ์ที่แตกต่างไม่ว่าจะเป็นที่ผู้ใช้เองหรือไปยังจุดใดจุดหนึ่งในพื้นที่ที่คาถาถูกใช้งาน” ฉันตอบ

“เป็นคำตอบที่ยอดเยี่ยมมากคุณเลย์วิน ดีมาก” เขาปรบมือหนึ่งครั้งก่อนจะเดินกลับไปที่หน้าชั้นเรียนเพื่อเริ่มบทเรียน

“ก่อนอื่นฉันอยากให้พวกคุณทุกคนลองนึกภาพสถานการณ์ ลองนึกภาพโลกที่ทุกคนสามารถอ่านความคิดของกันและกันได้ ความคิดที่หายวับไปที่สามารถทำให้แม้แต่ผู้ชายที่บริสุทธิ์ที่สุดกลายเป็นวิปลาสได้หรือทำให้ผู้หญิงที่นิสัยดีคนหนึงดูโหดร้ายได้ ทั้งหมดล้วนถูกเปิดเผยให้คนอื่นรับรู้ได้ ฉันเชื่อว่าโลกนั้นจะเป็นโลกของนักเวทย์ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา” ชั้นเรียนกำลังรออย่างสับสนเพื่อให้ศาสตราจารย์ชี้ประเด็นของเขา แต่เขาก็เดินต่อไป

“ฉันจะกลับมาเรื่องนี่ในภายหลัง แต่สำหรับตอนนี้: ทำไมนักร่ายเวทย์หรือแม้แต่นักเสริมพลังจำเป็นต้องร่ายมนต์คาถาละ มันไม่ใช่เพราะคำพูดหรือเทคนิกที่เรียกใช้มนต์สะกดของพวกคุณออกมา ในทางกลับกันคำพูดนั้นมีอิทธิพลต่อจิตใต้สำนึกของผู้ใช้โดยช่วยเติมความคิดของเขาด้วย ‘แนวทาง’ ที่ถูกต้องเมือคุณต้องการที่จะหล่อหลอมมานาให้กลายเป็นคาถาที่ต้องการ” เสียงของทุกคนที่กำลังจดประเด็นนี้อย่างโกรธเกรี้ยวในสมุดบันทึกของพวกเขาดังไปทั่วห้อง

ศาสตราจารย์เมย์เนอร์เป็นวิทยากรที่ยอดเยี่ยมและเขาทำให้ชั้นเรียนมีส่วนร่วมกับเนื้อหาที่เขากำลังสอนได้เป็นอย่างดี

“เพื่ออธิบายตัวอย่างที่ค่อนข้างตลกขบขัน ถ้าฉันจะพูดกับผู้หญิงที่ชอบฉันว่า ‘ฉันรักคุณมาตลอด’ คุณพนันได้เลยว่าจะมีปฏิกิริยาบางอย่างจากผู้หญิงที่ฉันพูดออกไปแบบนี้ ‘คาถา’ ซึ่งก็คือ ‘ฉันรักคุณมาตลอด’ รับการตอบสนองหรือ ‘มนต์สะกด’ ไม่ว่าจะเป็นหน้าแดงร้องไห้หรือรอยยิ้ม ฯลฯ” ทั้งชั้นเรียนคำรามเสียงหัวเราะจากการเปรียบเทียบ แต่ฉันก็อดไม่ได้ถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย

“โดยรวมแล้วถ้าผู้ร่ายสามารถควบคุมสติของเขาเพื่อปั้นมานาให้เป็นคาถาตามที่เขาต้องการ คาถานั้นก็จะสั้นลงอย่างมากหรือพวกเขาอาจไม่จำเป็นต้องร่ายมันเลยด้วยซ้ำ เหตุผลที่ผู้เสริมพลังไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการร่ายมนต์มากนักเป็นเพราะว่าคาถาที่พวกเขาใช้มักเกี่ยวข้องโดยตรงกับการใช้ร่างกายของพวกเขานั้นเอง ในทางกลับกันผู้ร่ายเวทย์ต้องร่ายคาถาที่แม่นยำและซับซ้อนกว่ามากซึ่งต้องมีการร่ายมนต์เพื่อไม่ให้คาถาของพวกเขาแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชินจากสิ่งที่พวกเขาคิด นั่นคือเหตุผลที่ฉันบอกว่าถ้าหากมีโลกที่ทุกคนสามารถอ่านความคิดของกันและกันได้โลกนั้นก็จะมีนักเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเช่นกัน ทำไมนะหรือ? เพราะพวกเขาจะสามารถควบคุมความคิดของพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์ยังไงละ”

ชั้นเรียนดำเนินต่อไปและในโดยมีศาสตราจารย์เป็นวิทยากรแต่ฉันกลับไม่สามารถโฟกัสได้เพราะจิตใจของฉันยังคงติดอยู่ที่เทสและคำพูดที่เสียดสีของเธอขณะที่เธอจากไป

การซ่อนความไม่มั่นใจไว้ด้วยความมั่นใจ ...

นั่นคือสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่หรือเปล่า? ฉันใช้จุดเด่นในด้านเวทย์มนตร์เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสิ่งที่ฉันด้อยจริงหรือ?

บางทีฉันอาจจะเป็นพวกปากว่าตาขยิบ ฉันกำลังพูดถึงวิธีที่ฉันมองเทสเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเด็ก แต่จริงๆแล้วฉันเป็นคนที่ต้องโตขึ้นอย่างน้อยก็ในแง่หนึ่ง การแข็งแกร่งขึ้นในจุดแข็งของฉันไม่สามารถเติมเต็มจุดอ่อนของฉันได้แต่มันทำให้พวกมันเห็นได้ชัดขึ้นมากเมื่อนำมาเทียบกัน

เทสยังเด็กเธอยังไร้เดียงสาด้วยเช่นกัน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอนั้นโง่เขลา บางทีฉันอาจจะเป็นคนที่โง่เขลาเสียเอง

“ขอจบชั้นเรียนของวันนี้! ขอให้เป็นคืนที่ดีสำหรับทุกๆคน แล้วเจอกันในวันพรุ่งนี้!”

แม้ว่าฉันกำลังเดินกลับไปที่หอพักจิตใจของฉันก็วนเวียนอยู่กับที่จนเกือบจะสะดุดล้มอยู่หลายครั้ง

ไอ้บ้าเอ้ย

ฉันเปลี่ยนเส้นทางไปที่หอพักของสภานักเรียน วิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่ร่างกายของฉันจะยอมและฉันก็มาถึงอาคารที่ดูน่าสนใจกว่าหอพักของฉันมาก

ฉันมาถึงแล้ว ฉันจะพบกับเทสได้ยังไง? ไม่ใช่ว่าฉันแค่ตะโกนเรียกหาเธอแล้วเธอจะ...

‘ปาป๊าค่ะมาม้าอยู่ตรงนั้น’ ซิลวีชี้ไปทางทิศตะวันออกพร้อมอุ้งเท้าของเธอและฉันรีบวิ่งไปทางนั้นโดยไม่ต้องสงสัย

“ฉันบอกคุณแล้วไงว่าฉันไม่เป็นไร! ได้โปรดปล่อยเรื่องนี้ไปนะไคลฟ์” ฉันได้ยินเสียงของเทสที่ลานใกล้น้ำพุ

“ไม่! ไอ้สารเลวนั่นกล้าดียังไงมาทำให้คุณร้องไห้ ฉันรู้ว่าเขาจะสร้างแต่ปัญหาเท่านั้น! การที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างไม่ดีของเขาต้องเป็นสาเหตุอย่างแน่นอน ฉันคิดไม่ออกว่าทำไมผอ.กู๊ดสกี้ถึงอนุญาตให้ไอ้บ้านนอกนั้นเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงนี้และยังให้เข้าร่วมในฐานะกรรมการวินัยอีก!” ฉันสามารถเห็นโครงร่างบางๆของไคลฟ์ได้อย่างคลุมเครือในขณะที่เขาจับไปที่ข้อมือของเทส

ไคลฟ์สังเกตเห็นฉันเข้ามาใกล้และใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นหน้าบึ้ง “แกมาทำอะไรที่นี่? แกยังกล้ามาหาเจ้าหญิงเทสเซียหลังจากที่แกทำให้เธอไม่สบายใจหรือ? ถ้าฉันเลือกได้ละก็ฉันอยากจะฆ่าแกซะตอนนี้!”

ฉันมองไปที่เทสที่หันหน้าหนีไปโดยไม่สนใจรองประธานที่ผอมและดูเคร่งขรึม “เทสฉันขอเวลาคุณหน่อยได้ไหม?”

“แกไม่สนใจฉันเหรอ!” ไคลฟ์คำรามขณะที่เขาจับไหล่ของฉัน

ฉันรู้สึกราวกับว่ามีแมลงวันกำลังตอมอยู่รอบๆหูของฉันตลอดเวลาจนฉันหมดความอดทน “หลีกไป” ฉันคำรามใส่เขาด้วยมานาแบบเดียวกับที่ฉันเคยทำกับลูคัส

เมื่อปล่อยกระแสจิตมากเกินไปไคลฟ์ถูกผลักกลับออกไปและหยุดหลังจากที่ล้มลงกับต้นไม้ใกล้ๆ

“แก! ทะ..ทำอะไรนะ…” ไคลฟ์ลุกลี้ลุกลนเกินไปจนไม่สามารถทำอะไรที่สอดคล้องได้อีกต่อไปด้วยการจ้องมองของฉันที่ไม่ละสายตาจากเขา

"หยุดเถอะมันไม่คุ้มค่าที่จะทำให้เกิดเรื่องยุ่งๆ " เทสเข้ามาระหว่างไคลฟ์และฉันแล้วจับมือพาฉันออกไปจากลาน

ในขณะที่ฉันพยายามก้าวให้ทันเธอจนเกือบจะสะดุด ร่างกายที่บาดเจ็บของฉันยังไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการเดิน

“รอด้วยเทสเราวิ่งเร็วเกินไปแล้ว ฉันยังเจ็บอยู่เลย” ฉันสามารถพูดในระหว่างลมหายใจ

“โอ้ฉันขอโทษจริงๆ” เทสหันมามอง การแสดงออกที่เข้มงวดของเธออ่อนลงเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่จะแข็งตัวขึ้นอีกครั้ง

เราอยู่ในซอยระหว่างสำนักงานผอ.และหอพักของสภานักเรียนเมื่อเราหยุด หลังจากที่เทสปล่อยมือฉันเธอก็ก้าวถอยหลังและรอให้ฉันได้พักหายใจ

" แล้ว? นายต้องการอะไร?" เทสถาม เธอจ้องมองฉันอย่างดุร้าย

“…”

“เทส มีความจริงมากมายในสิ่งที่คุณพูดเกี่ยวกับตัวฉันก่อนหน้านี้ ในระดับหนึ่งฉันเองก็รู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไรกับฉัน แต่ฉันมักจะกลัวการเผชิญหน้ากับมัน เวทมนตร์และการต่อสู้นั้นง่ายกว่ามาก ยิ่งคุณฝึกฝนมากเท่าไหร่คุณก็จะยิ่งเก่งขึ้นและคุณจะได้เห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ความรักมันไม่ได้ทำงานแบบนี้โดยเฉพาะสำหรับฉัน” ฉันมองไปที่เทสแต่การแสดงออกของเธอก็ยังไม่เปลี่ยน

“บางทีคุณอาจคิดว่าฉันกำลังหาข้อแก้ตัวเมื่อฉันบอกว่าเรายังเด็กเกินไป แต่นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้สึกจริงๆ บางทีคุณอาจคิดว่าคุณพร้อมแล้วและบางทีคุณอาจจะพร้อมแต่ฉันรู้อยู่แก่ใจว่าฉันยังไม่พร้อม ฉันเข้าใจว่าเราอายุใกล้กันแต่ทุกคนก็เติบโตในจังหวะที่แตกต่างกัน” จิตใจของฉันทำงานอย่างโกรธเกรี้ยวและพยายามหาคำพูดที่เหมาะสมเพื่อบอกเทสว่าฉันยังไม่พร้อมที่จะคบหากับเธอในขณะที่อายุทางจิตภาพของฉันยังเป็นของคนแก่วัยสามสิบกว่าๆ “ฉันเป็นห่วงคุณและคิดถึงคุณเมื่อฉันกลับมาถึงบ้าน ฉันควรจะบอกเรื่องนี้ก่อนหน้านี้และฉันขอโทษที่ไม่ได้บอกคุณ แต่ฉันหวังว่าคุณจะไม่เกลียดฉันเพราะเรื่องนี้นะ”

“นายมั่วแต่พูดอ้อมค้อมอยู่นั้นแหละ” เทสตอบการแสดงออกของเธออ่อนลง

“คือตอนนี้ฉันไม่สามารถมีความสัมพันธ์กับคุณได้” ฉันพูดอย่างหนักแน่นและรวดเร็ว

เทสเลิกคิ้ว “ในตอนนี้?”

“ก็จนกว่าพวกเราจะมีอายุมากขึ้นกว่านี้” ฉันพูดโดยทำให้คำพูดของฉันฟังดูเหมือนคำถามมากขึ้น

เพื่อนสมัยเด็กของฉันเดาะลิ้นของเธอและกอดแขนของเธอ “นายพูดเหมือนว่าฉันจะรอนายอะ ช่างเถอะฉันพนันได้เลยว่านายพูดแบบนั้นก็เพื่อที่หาเวลาไปคบกับผู้หญิงคนอื่น”

ในใจของฉันนึกภาพฉันที่อายุสิบสามปีกำลังกอดแขนกับผู้หญิงที่อายุเท่าๆกันกับแม่ของฉันจนฉันก็ส่ายหัวทันที

“ฉันจะไม่คบกับใครในเร็วๆ นี้แน่นอน” ฉันมั่นใจ

"นายรู้ได้ยังไงละ? ฉันจะเชื่อใจได้ยังไงว่านายจะไม่ตกหลุมรักคนอื่นขณะที่ฉันรอนายอยู่ ฉันไม่แน่ใจว่านายสังเกตเห็นมั้ยแต่ฉันเป็นเห็นแก่ตัวจริงๆถ้าพูดถึงความรัก ถ้านายเรียกร้องสิ่งนี้แต่กลับไปสนุกสนานกับผู้หญิงคนอื่นๆ…“เสียงของเทสดังออกมาในขณะที่เธอเริ่มสั่น”ฉันคงอยากให้นายบอกว่านายไม่ได้มองว่าฉันเป็นอย่างอื่นนอกจากเพื่อนในสมัย... -”

สักครั้งหนึ่งในชีวิตขอเวลาไม่กี่วินาทีที่ฉันยอมปิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและจัดการจูบที่ริมฝีปากของเธอเบาๆ ฉันระงับเสียงกรีดร้องอย่างไม่พอใจของเธอและค่อยๆถอยห่างออกจากเทส ใบหน้าของฉันร้อนด้วยความเขิลอายจนฉันรู้สึกกลายเป็นเด็กอายุสิบสองปีจริงๆในช่วงเวลานี้

“ฉันหวังว่านี่จะซื้อเวลาให้ฉันได้บ้างเพราะนั่นคือมากที่สุดเท่าที่ฉันทำได้” ฉันพูดขณะที่เช็ดปากด้วยแขนเสื้ออย่างรวดเร็วโดยไม่สามารถมองตาเทสได้

ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ดังนั้นฉันจึงแอบมองดูเทสด้วยความงุนงง ดวงตาของเธอวาววับเมื่อนิ้วกลางและนิ้วชี้แตะอยู่ที่ริมฝีปากของเธอ

“เทส?” ฉันกระซิบ

เพื่อนสมัยเด็กของฉันกระพริบตาและถอนนิ้วออกจากริมฝีปากอย่างรวดเร็ว "ได้! แต่นายระวังเอาไว้ให้ดี - ฉันนะป๊อปปูล่ามากนะ! ถ้านายปล่อยให้ฉันรอนานเกินไป คนอื่นอาจจะแย่งฉันไปละ!”

"ตกลง" ฉันยิ้มด้วยความโล่งใจที่ในที่สุดก็สามาถจัดการเรื่องต่างๆกับเทสได้สักทีเมื่อจู่ๆเธอก็เขย่งแล้วจูบฉันที่แก้ม

ฉันรีบถอยออกมาทันทีด้วยความประหลาดใจ “เทสฉันคิดว่าฉันบอกไปแล้วว่า... -”

“ไม่ต้องกังวลไปหรอกเจ้าทื่ม นั่นเป็นเพียงคำขอบคุณที่ช่วยฉันไว้ในชั้นเรียนเมื่อสัปดาห์ก่อน” เธอแลบลิ้นออกมาก่อนจะหมุนตัวและวิ่งหนีเข้าไปในหอพักของเธอ

ซิลวีซึ่งได้เห็นทุกสิ่งอยู่บนศีรษะของฉันก็แอบมอง

เงียบเลยซิลวี ฉันหายใจเข้าลึกๆแล้วฉันก็เดินกลับไปที่หอพัก ฉันสงสัยว่าเพื่อนสมัยเด็กของฉันเต็มใจที่จะรออีกสักสองสามปี…หรือแม้แต่หนึ่งทศวรรษไหม แต่ฉันก็เลือกที่จะไม่คิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป

ปัญหาของวันพรุ่งนี้จะได้รับการแก้ไขโดยตัวฉันในอนาคต

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด